ผู้เขียน | ธนกฤต ก้องเวหา |
---|---|
เผยแพร่ |
ที่มาของ “ดงพระยาไฟ” ในมุขปาฐะกาลพินาศของเมืองขวางทะบุรี ก่อนมีเมืองนครราช (สีมา)
เรื่องราวดังกล่าวคือตำนานของชาวเวียงจันทน์ ซึ่งเล่าถึง “พระโพธิสัตว์” ในอดีตชาติ เป็นคำบอกเล่าที่เชื่อมโยงกับกลุ่มบ้านเมืองหลายแห่งในภาคอีสาน โดยเฉพาะในจังหวัดนครราชสีมา แถบอำเภอสูงเนิน เมืองเก่ายุคแรก ๆ ของโคราช ห่างจากตัวเมืองปัจจุบันไปราว 30 กิโลเมตร
ตำนานเล่าถึงเมืองโบราณชื่อ ขวางทะบุรีศรีมหานคร มีขุนบรมเป็นกษัตริย์ผู้สถาปนาเมือง ตั้งแต่แรกสร้างได้มีประกาศห้ามว่า ในวันที่ 7-8 และ 14-15 ค่ำ ทั้งข้างขึ้น ข้างแรม ชาวเมืองพึงละเว้นการกระทำใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม เช่น การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หากมีผู้ฝ่าฝืน ทั้งคนผู้นั้นและบ้านเมืองจะประสบความพินาศล่มจม ผู้คนก็รักษาขนบดังกล่าวเรื่อยมา ทำให้ขวางทะบุรีอยู่เย็นเป็นสุขมาช้านาน
กระทั่งมาถึงสมัยพระยาองค์หนึ่งครองเมือง แต่ไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม ยกพลไปรบราฆ่าฟันแย่งเอาทรัพย์สมบัติลูกเมียผู้อื่นจนเป็นที่เดือดร้อนไปทั่ว ทั้งนิยมชมชอบการทำปาณาติบาตสัตว์บกและสัตว์น้ำอยู่เป็นนิจ เมื่อพฤติการณ์ดังกล่าวทราบขึ้นไปถึงพระยาแถน เทวดาผู้เป็นใหญ่บนสวรรค์ จึงบันดาลงูร้ายจำนวนมากมาทำอันตรายชาวเมืองขวางทะบุรี
ชาวขวางทะบุรีถูกงูทำร้ายเจ็บป่วยล้มตายจนหมดสิ้น เหลือแต่ราชธิดาของพระยาผู้ครองเมืองเพียงองค์เดียว นามว่า “นางกองศรี” เพราะบิดาเอานางไปซ่อนไว้ในกลองใบใหญ่
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นมานพหนุ่ม นามว่า “คัทธกุมาร” ท่องเที่ยวมากับทหารคู่พระทัย 2 นาย มีสมญาว่า ชายไม้ร้อยกอ กับ ชายเกวียนร้อยเล่ม เมื่อพบเมืองร้างผู้คนจึงเกิดฉงนใจ แต่พอเห็นกลองยักษ์บนหอกลองก็นึกสนุกเอาไม้ตีเล่น ทำให้ทราบว่ามีคนอยู่ข้างใน
คัทธกุมารเอาพระขรรค์แหวะหนังหุ้มหน้ากลองออก เพื่อเอาราชธิดากองศรีออกมาสอบถามเรื่องราว นางจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง ทำให้ทราบว่าหากผู้ใดจุดไฟให้เกิดแสงสว่างและมีควันลอยขึ้นฟ้า เมื่อนั้นจะมีงูร้ายฝูงใหญ่แห่มาทำอันตรายทันที
พระโพธิสัตว์ทราบดังนั้นก็ให้ 2 นายทหารเที่ยวเก็บฟืนจำนวนมามากองไว้ แล้วจุดไฟเผาให้ควันลอยไปถึงแดนฟ้าถิ่นพระยาแถน เมื่อฝูงงูมาถึง คัทธกุมารจึงสังหารงูตายจนหมดสิ้น ก่อนจะสำแดงฤทธิ์เดชชุบพระยาขวางทะบุรี พระมเหสี และไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเมืองขวางทะบุรีให้ฟื้นกลับมาอีกครั้ง ส่วนกระดูกงูถูกบันดาลให้มีสายน้ำพัดพาออกไปจากเขตเมือง ไปกองรวมกันเป็นภูเขา เรียกว่า ภูหอ หรือภูโฮง
พอพระยาขวางทะบุรีฟื้นคืนพระชนม์จึงหยุดก่อกรรมทำเข็ญ ละเว้นการทำปาณาติบาตสัตว์ทั้งหลาย และเลิกพาผู้คนไปรบราฆ่าฟัน เมืองขวางทะบุรีศรีมหานครจึงกลับมาอยู่เย็นเป็นสุขอีกครั้ง และมีนามใหม่ว่า “เมืองนครราช” เป็นที่มาของชื่อเมืองนครราชสีมา (เสมา)
ส่วนกองไฟใหญ่ที่จุดเผาล่อฝูงงูกลายเป็นป่ารกชัฏ เรียกว่า “ดงพระยาไฟ” หรือดงพญาไฟ
ดงพระยาไฟนี้ได้กลายเป็นผืนป่าขนาดใหญ่กั้นระหว่างเมืองโคราชกับสระบุรี ลพบุรี แบ่งแดนภาคอีสานกับภาคกลางของไทย ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น ดงพญาเย็น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ด้วยพระราชดำริในสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะทรงเห็นว่าเป็นชื่อไม่มงคล ทำให้คนครั่นคร้าน

ส่วนชื่อเมืองขวาง (ทะ) บุรี หลงเหลือมาถึงปัจจุบันเป็นชื่อวัด คือ วัดพระนอนคลองขวาง หรือวัดธรรมจักรเสมาราม ในอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา สถานที่ประดิษฐานโบราณวัตถุขนาดใหญ่อย่างพระพุทธรูปนอนหินทรายกับธรรมจักรศิลา มีอายุตั้งแต่สมัยทวารวดีและสัมพันธ์กับศิลปะศรีวิชัย
แม้เรื่องราวของคัทธกุมารและราชธิดาในกลองยักษ์จะเป็นตำนานเรื่องเล่า แต่ก็มีประโยชน์ทางคติชนวิทยาอยู่ไม่น้อยในเชิงความรู้ทางภูมิสถานว่าด้วยชื่อบ้านนามเมือง

อ่านเพิ่มเติม :
- ตำนานนิทานเรื่อง นาคสร้างเมืองเชียงแสน
- “พญางำเมือง” สถาปนารัฐพะเยา กับตำนาน “แกงหวานบ้านแตก”
- นิทานจีนว่า บรรพบุรุษคนไทยกิน “ข้าวเหนียว” ที่หมา 9 หางขโมยจากสวรรค์
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
มานิต วัลลิโภดม. (2505). พิมาย และ โบราณสถานในจังหวัดนครราชสีมา. อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายทองหล่อ บุณยนิตย์, วัดเทพศิรินทราวาส 29 ธันวาคม 2505.
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. (2505). เที่ยวตามทางรถไฟ และ รวมเรื่องเมืองนครราชสีมา. กรุงเทพฯ : เอกศิลป์การพิมพ์. อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ อำมาตย์ตรี พระพลราษฎร์บำรุง (แสดง อุเทนสุต) ใน TU Digital Collections หอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2568