ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับธันวาคม 2539 |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
บรรพบุรุษของคนไทยกิน “ข้าวเหนียว” เป็นอาหารหลักไม่น้อยกว่า 3,000 ปีมาแล้ว
“คนไทย” ที่เป็นบรรพบุรุษเมื่อประมาณ 3,000 ปีที่แล้วกับ “คนไทย” ปัจจุบัน ต้องแตกต่างกันแน่ ๆ ด้วยเหตุผลมากมายหลายอย่าง ส่วนใครจะเชื่อว่า “คนไทย” อพยพมาจากที่โน่นบ้างที่นี่บ้างก็ตามใจ แต่ผมยังว่า “คนไทยไม่ได้มาจากไหน” เพราะ “คนไทยอยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์” นี่ เคลื่อนไหวไป ๆ มา ๆ อยู่แถว ๆ นี้แหละ
ฉะนั้นที่บอกว่าบรรพบุรุษของคนไทยกิน “ข้าวเหนียว” เป็นอาหารหลักไม่น้อยกว่า 3,000 ปีมาแล้ว จึงผูกอยู่กับร่องรอยและหลักฐานที่ว่า “คนไทยอยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์”
คนในประเทศไทยรู้จักทําไร่ทํานาปลูกข้าวเมื่อไม่น้อยกว่า 5,000 ปีมาแล้ว นี่เป็นข้อสรุปของคณะสํารวจทางโบราณคดีของกรมศิลปากรร่วมกับมหาวิทยาลัยฮาวาย เมื่อ พ.ศ. 2509
ข้าวมาจากไหน?
หลายคนคงอธิบายว่าข้าวก็มาจากต้นข้าว แต่เดิมเป็นต้นข้าวป่า มนุษย์ไปพบเข้าโดยบังเอิญ เมื่อลองกินเข้าไปแล้วไม่ตาย แถมอร่อยอีกต่างหากก็พากันเอามากินเป็นอาหาร ต่อมาต้นข้าวก็แพร่หลาย
แต่ผมมีนิทานได้จากเมืองจ้วงกวางสีว่า หมาเป็นสัตว์ที่เอาพันธุ์ข้าวจากสวรรค์ลงมาให้มนุษย์ปลูกกิน มีเรื่องราวอย่างนี้
แต่ก่อนคนเรายังโง่ ยังไม่มีข้าวกิน เพราะไม่รู้จัก และไม่มีเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูก
ครั้งนั้นมีหมา 9 หางตัวหนึ่งขึ้นไปบนสวรรค์แล้วเอาหางทั้ง 9 จุ่มลงไปในกองข้าวของสวรรค์เพื่อขโมยพันธุ์ข้าวมาให้มนุษย์ พันธุ์ข้าวสวรรค์ก็ติดที่หางทั้ง 9 แล้วหนีลงมา แต่เทวดาเห็นก่อนจึงไล่ตาม แล้วใช้เทพอาวุธฟาดฟันหมาที่ขโมยพันธุ์ข้าว
เทพอาวุธฟาดถูกหางขาดไป 8 หาง หมาจึงเหลือหางเดียวพร้อมพันธุ์ข้าวที่ติดหางมาให้มนุษย์ นับตั้งแต่นั้นมามนุษย์ก็รู้จักปลูกข้าวกินแล้วยกย่องหมาเป็นผู้วิเศษที่ทําคุณแก่มนุษย์
เพราะฉะนั้นภาพเขียนบนผาหินที่กวางสีของชาวจ้วงที่เรียกกันว่าผาลายจึงมีรูปหมาขนาดใหญ่ยืนอยู่ท่ามกลางพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ภาพเขียนบนผนังถ้ำหลายแห่งในประเทศไทย ก็มีรูปหมา เช่นในถ้ำเขาปลาร้า จังหวัดอุทัยธานี และที่เพิ่งผาเขาจันทน์งาม อําเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้คนสมัยก่อนประวัติศาสตร์จึงยกย่องหมาเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นสัตว์บูชายัญ ใช้หมาเป็นเครื่องเซ่นสังเวยผี
บรรพบุรุษและผีบ้านผีเรือนทุกวันนี้ก็ยังปฏิบัติอยู่ทั่วไป แล้วต่างนิยมกินหมาเป็นอาหาร ถือเป็นของดีของวิเศษสุดเมื่อมีแขกไปใครมาเยี่ยมเยือนก็ต้องปรุงหมาขึ้นโต๊ะอาหารไว้ต้อนรับด้วยความเคารพนับถืออย่างยิ่ง ฉะนั้นคนเมืองที่ชอบประณามคนกลุ่มอื่นที่กินหมาเป็นอาหารขอได้โปรดทําความเข้าใจด้วย อย่าเอามาตรฐานวัฒนธรรม ตะวันตกมากําหนดคนอื่นเลย
ทีนี้ว่ากันเรื่องข้าวต่อไป
ข้าวในยุค 5,000 ปีมาแล้วมี 2 อย่าง ภาษาทางวิชาการเรียกว่า “ข้าวเมล็ดใหญ่” งอกงามบนที่สูง กับ “ข้าวเมล็ดป้อม” งอกงามบนที่ลุ่ม ข้าวทั้ง 2 อย่างนี้เมื่อหุงหรือนึ่งแล้วเมล็ดจะเหนียวติดกัน อย่างเดียวกับทุกวันนี้เรียกว่า “ข้าวเหนียว” (คนไทยบางกลุ่มเรียก “ข้าวนึ่ง”)
ข้าวเหนียว เป็นพันธุ์ข้าวพื้นเมืองของผืนแผ่นดินใหญ่ภูมิภาคอุษาคเนย์ นักวิชาการพบว่ามีแหล่งกําเนิดอยู่บริเวณสองฟากแม่น้ำโขงตอนบน แล้วแพร่กระจายออกไปทุกทิศทุกทางรวมทั้งบริเวณที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน
สรุปว่าข้าวเหนียวเป็นอาหารหลักของคนทั่วดินแดนประเทศไทย (และน่าจะรวมถึงประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ด้วย) ตั้งแต่ราว 5,000 ปีมาแล้ว
ราว พ.ศ. 1000 อารยธรรมอินเดียแพร่หลายเข้ามามีอิทธิพลในบริเวณที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน ทําให้เกิดพัฒนาการของบ้านเมืองขึ้นเป็น “รัฐ” ในดินแดนภาคอีสานก่อนแล้วจึงเกิด ขึ้นบริเวณที่ราบภาคกลาง ช่วงนี้เองเริ่มพบข้าวพันธุ์ใหม่ที่ภาษาวิชาการเรียก “ข้าวเมล็ดเรียว” เมื่อหุงแล้วเมล็ดจะร่วนและสวยไม่เหนียวติดกัน ภายหลังจึงเรียก “ข้าวเจ้า” สืบมาถึงทุกวันนี้
ข้าวเจ้า เป็นพันธุ์ข้าวต่างประเทศซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วไปว่า มีแหล่งกําเนิดแถบเบงกอล (อินเดีย) มีศัพท์ฝรั่งเรียกว่า Indica แพร่กระจายเข้ามาในภูมิภาคอุษาคเนย์ตั้งแต่หลัง พ.ศ. 1000 ลงมา
ในยุคนั้นอะไรก็ตามที่มาจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากอินเดีย ย่อมเป็นของดีของวิเศษ และย่อมเป็นสมบัติของ “ชนชั้นสูง” เท่านั้น นั่นคือ “เจ้า” ภายหลังเรียกพันธุ์ข้าวเมล็ดเรียวที่มาจากอินเดียนี้ว่า “ข้าวของเจ้า” แล้วกร่อนเหลือว่า “ข้าวเจ้า”
พวกไพร่ทั่วประเทศทั้งเหนือ อีสาน กลาง และใต้ก็กินข้าวเหนียวเหมือนเดิม ฉะนั้นข้าวเหนียวคือ “ข้าวไพร่” นั่นแหละ
หมายเหตุ : เนื้อหานี้คัดส่วนหนึ่งจากบทความ “บรรพบุรุษของคนไทยกิน ‘ข้าวเหนียว’ ที่หมา 9 หาง ขโมยมาจากสวรรค์” เขียนโดย สุจิตต์ วงษ์เทศ ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับธันวาคม 2539
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 19 ธันวาคม 2561