“อุตรกุรุทวีป” สะอาด ปลอดภัย ไร้หนาม ดินแดนอุดมคติในคัมภีร์พุทธ

อุดรกาโรทวีป (อุตรกุรุทวีป) และ บุพพวิเทหทวีป

ใน โลกบัญญัติปกรณ์ คัมภีร์พุทธศาสนาว่าด้วยภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ของโลก เล่าถึงมหาทวีปชื่อ “อุตรกุรุทวีป” ว่า “เสมอ ปลอดภัย สะอาด ไม่มีหนาม” ทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร?

อุตรกุรุทวีป หรือทวีปอุดรกาโร เป็นแผ่นดินที่อยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ กว้าง 8,000 โยชน์ มีแผ่นดินเล็ก 500 แผ่นดินล้อมรอบ เป็น 1 ใน 4 ทวีปตามหลักจักรวาลวิทยาของพุทธศาสนา ซึ่งได้แก่ ชมพูทวีป (โลกของเรา) อมรโคทยานทวีป บุรพวิเทหทวีป และอุตรกุรุทวีป

เขาพระสุเมรุ สมุดภาพไตรภูมิ
เขาพระสุเมรุในสมุดภาพไตรภูมิ

คัมภีร์จักวาฬทีปนี อธิบายถึงนิยามข้างต้นว่า เสมอ เพราะไม่มีเหว บึง สระ หรือบ่อโสโครกในทวีปนั้น ปลอดภัย เพราะไม่มีสัตว์ร้าย ราชสีห์ เสือ หมี หรือสัตว์ดุร้ายอื่น ๆ สะอาด เพราะไม่มีซากศพหรือซากมนุษย์ให้เห็น แม้แต่อุจจาระหรือปัสสาวะที่มนุษย์ในทวีปนั้นถ่าย แผ่นดินก็แยกช่องรับไว้แล้วเลื่อนปิดสนิทตามเดิม ส่วนที่ว่า ไม่มีหนาม เพราะไม่มีไม้หนาม หรือต้นไม้ที่ก่ออันตรายแก่มนุษย์เลย

คัมภีร์ยังระบุด้วยว่า “ในทวีปนั้นมีติณชาติชื่อ ฉวินยา” (ติณชาติ คือ พืชตระกูลหญ้า) ที่งดงามดุจสร้อยคอนกยูง สัมผัสดังลูกชะมด หรือของปูลาดที่ทำด้วยหนัง สูงจากพื้นไม่เกิน 4 นิ้ว โดยทั้งทวีปเต็มพืดไปด้วยติณชาติดังกล่าว

อุตรกุรุทวีปยังมีต้น “กัลปพฤกษ์” ที่มีเสื้อผ้าอาภรณ์โป่งงอกพาดห้อยย้อยอยู่เต็มต้น มนุษย์ทวีปนี้สามารถนำมาสวมใส่ได้ หรือหากปรารถนาข้าวปลาอาหาร ต้นไม้นี้ก็เสกบันดาลให้ดังประสงค์ กัลปพฤกษ์มีลำต้นกว้าง 100 โยชน์ สูง 100 โยชน์ กลม 300 โยชน์ เป็นรอบปริมณฑล

นอกจากนี้ยังมีไม้ผลนานาพันธุ์ที่ออกผลขนาดเท่าหม้อ รสหวาน บริโภคแล้วจะระงับความหิวไปอีก 7 วัน มีดอกไม้โชยกลิ่นหอมไปทั่วทุกแห่งหน แม่น้ำทั้งหลายมีน้ำใส ไหลเย็น ดื่มกินได้อย่างชื่นใจ ลำน้ำไหลเอื่อยเป็นทางน้ำงดงาม

ดินแดนดังกล่าวยังไม่มีอันตรายที่เกิดจากความหนาว ความร้อน เพราะมีอากาศกำลังพอดี รวมถึงไม่มีสัตว์อย่างเหลือบ ยุง สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ร้ายนำโรคทั้งปวง

อุดรกาโรทวีป อุตรกุรุทวีป บุรพวิเทหทวีป
อุดรกาโรทวีป (อุตรกุรุทวีป) และ บุรพวิเทหทวีป ด้านล่างคือเหลี่ยมเขาพระสุเมรุ (ภาพจากสมุดไตรภูมิฉบับกรุงศรีอยุธยา – ฉบับกรุงธนบุรี เล่ม 2)

มนุษย์แห่งอุตรกุรุทวีป

ใน อนาฏานาฏิยสูตร กล่าวว่า “มนุษย์ซึ่งเกิดในอุตรกุรุทวีปนั้น ไม่ยึดถืออะไรว่าของเรา ไม่มีความหึงหวง เขาไม่ต้องหว่านพืช ไม่ต้องทำไร่ไถนา บริโภคข้าวสาลีอันเกิดเองในภูมิภาคที่มิได้ไถ มีผลเป็นข้าวสารอันหอม ไม่มีแกลบ ไม่มีรำ หมดจด เขาหุงข้าวในหม้อซึ่งใช้ไฟขจัดถ่าน แล้วก็บริโภคโภชนะจากหม้อข้าวนั้นได้เลย”

ฎีกาอาฏานาฏิยสูตร บอกเล่าถึงมนุษย์ในอุตรทวีปด้วยว่าเป็นกลุ่มชนที่มีร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง งดงาม ที่สำคัญคือไม่แก่ชรา การเป็นอยู่ของพวกเขาทำให้ไม่เกิดระบบชนชั้น หรือการใช้แรงงานทาสด้วย ดังนี้

“แม้สรีระของมนุษย์เหล่านั้น ก็เว้นจากโทษมีความสูงเกินไปเป็นต้น สมบูรณ์ด้วยทรวดทรงส่วนสัด เว้นจากโทษมีตกกระและหงอกเป็นต้น เพราะชราไม่ครอบงำ เป็นต้น สรีระมีความเร็ว กำลัง ความบากบั่น และความงามไม่สิ้นสุด ตั้งอยู่,

มนุษย์เหล่านั้นไม่มีทุกข์ด้วยอำนาจจากการแสวงหาอาหารโดยชีวิโตบายมีกสิกรรมและพาณิชยกรรมเป็นต้น เพราะเป็นผู้อาศัยผลไม้ที่ไม่ต้องใช้ความอุตสาหะเป็นอยู่ เพราะเหตุนั้นแหละ จึงไม่ต้องมีการควบคุมผู้คนและมีทาสชายหญิงและกรรมกรเป็นต้น”

ความ “แฟนตาซี” ของชนแห่งทวีปอุดรกาโรยังไม่หมด เพราะที่ว่ามนุษย์ทวีปนี้ไม่แก่เฒ่านั้น กล่าวคือสตรีจะคงความสาวไว้ที่อายุ 16 ปี ส่วนบุรุษคงความหนุ่มที่อายุ 25 ปี พวกเขาจะครองคู่กันโดยยินดีในกามราคะเพียง 7 วันเพื่อสืบทายาท หลังจากนั้นต่างฝ่ายจะปราศจากความต้องการทางเพศ

ทารกในอุตรกุรุทวีปคลอดจากครรภ์มารดาอย่างง่ายดาย ไม่แปดเปื้อนด้วยเมือกใด ๆ เมื่อคลอดแล้วมารดาจะผละจากไปโดยไม่ต้องห่วงใย เพราะใครก็ตามที่พบเห็นทารกน้อย ไม่ว่าหญิงหรือชายก็สามารถให้ทารกดื่มนมจากนิ้วมือได้ ทารกจะเติบใหญ่แข็งแรงด้วยน้ำนมนั้นภายใน 2-3 วัน มารดากับบุตรจะจดจำกันไม่ได้ กระนั้นก็จะไม่เกิดราคะระหว่างกันด้วยอำนาจแห่งธรรมของทวีปนี้

“พวกเขาเห็นคนตายก็ไม่ร้องไห้ ไม่โศกเศร้า แต่จะประดับศพนั้นเก็บไว้อย่างดี ทันใดนั้น นกพวกหนึ่ง ซึ่งเหมาะแก่งานนั้น จะเข้าไปนำศพไปยังทวีปอื่น… (นกหัสดีลิงค์ บ้างว่าเป็นนกอินทรี หรือนกกด -ผู้เขียน) มนุษย์ที่ตายจากทวีปนั้น จะไม่เข้าถึงนรก กำเนิดดิรัจฉาน หรือวิสัยแห่งเปรตเลย

อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ‘มนุษย์เหล่านั้นเกิดในเทวโลกด้วยอานุภาพแห่งศีลห้าที่สำเร็จโดยธรรมดา’ มนุษย์เหล่านั้น มีอายุประมาณ 1,000 ปี คงที่อยู่ตลอดกาลทั้งปวง”

อาจกล่าวได้ว่า อุตรกุรุทวีปนั้นเป็นดินแดนที่ไม่มีอยู่จริง อย่างน้อยก็ไม่มีอยู่บนโลกที่เราอาศัยอยู่ การออกแบบหรืออธิบายทวีปนี้ในคัมภีร์พุทธศาสนาจึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างโลกในอุดมคติ เป็นสังคมยูโทเปีย (utopia) แบบพุทธ ที่ปราศจากความบกพร่องนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง : 

หอสมุดแห่งชาติ ตรวจชำระเรียบเรียง. (2523). จักวาฬทีปนี. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร.

ธัญญา สังขพันธานนท์. อุตรกุรุทวีป : สังคมอุดมคติเชิงนิเวศแบบพุทธ. “อ่าน” ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 มกราคม – มีนาคม 2554.

วัลยา ช้างขวัญยืน, ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. อุตรกุรุทวีป. สืบค้นเมื่อ 22 สิงหาคม 2567. (ออนไลน์)


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 22 สิงหาคม 2567