ผู้เขียน | วิภา จิรภาไพศาล |
---|---|
เผยแพร่ |
“ภาพยนตร์” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายว่า “ภาพฉายด้วยเครื่องทำให้เห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวได้, หนังฉาย.” แต่เรามักเรียกกันว่า “หนัง” มากกว่า โดยเริ่มการรับชมจาก “โรงภาพยนตร์” ชั่วคราว ที่เรียกว่า “วิก” พัฒนาเป็นแบบถาวร จนถึงการรับชมผ่านจอทีวี และผ่านมือถือในปัจจุบัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นช่องทางใด สำหรับผู้ชม/คนดู มันเป็นความบันเทิง เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ จากชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ, กดดัน, น่าเบื่อ ฯลฯ ไปหาความสนุกสนานเพลิดเพลิน แม้ภาพยนตร์ หรือหนังบางเรื่องจะดราม่ากว่าชีวิตจริงก็ตาม
แต่ทำไมผู้ชม ใน “โรงภาพยนตร์” ยุคบุกเบิกของไทยถึง “อ้วกแตก”
เรื่องนี้ สมชาย พุ่มสอาด เรียบเรียงไว้ในหนังสือ “ภาพยนตร์ในเมืองไทย” ที่สมาคมโรงภาพยนตร์ จัดพิมพ์ขึ้น เนื่องในงานฌาปนกิจศพ นายพิสิฐ ตันสัจจา (ซึ่งเป็นกรรมการ และสมาชิกของสมาคม) ณ สุสานหลวง วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 18 ธันวาคม 2514 ที่เล่าว่า
เมื่อประมาณ พ.ศ. 2447-2448 มีการฉายภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในไทย ภาพยนตร์ที่ฉายเป็นการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เนื้อหาจึงเป็นการแสดงแสนยานุภาพของญี่ปุ่น จัดฉายที่ “โรงภาพยนตร์” ชั่วคราว แถวเวิ้งนครเขษม ด้วยการล้อมผ้าเก็บค่าเข้าชมคนละ 25 สตางค์
หากภาพยนตร์ช่วงแรกเป็น “ภาพยนตร์เงียบ” และไม่มีการพากย์ จะมีบ้างก็การทำเสียงประกอบภาพยนตร์บางอย่าง เช่น เอากะลามาโขกกันให้เสียงดัง ที่ฟังดูคล้ายม้าวิ่ง, ใช้ทรายสาดลงบนแผ่นสังกะสี แทนเสียงเรือกำลังถูกคลื่นในทะลซัด ฯลฯ
แต่ที่เหนือความคาดหมายคือ การดู “ภาพยนตร์” เพื่อหวังพักผ่อน กลับให้ผลตรงกันข้าม ซึ่งสมชาย พุ่มสอาด บันทึกไว้ว่า
“การฉายภาพยนตร์ครั้งนั้นปรากฏว่ามีคนไทยและชาวต่างประเทศ แตกตื่นเข้าไปชมกันอย่างหนาแน่น เพราะเป็นของใหม่แปลกสำหรับคนไทยในยุคนั้น…
…ผู้ชมส่วนมากบ่นอุบอิบไปตามๆ กันว่า ดูภาพยนตร์เงียบมากๆ แล้วมักเกิดอาการวิงเวียน และปวดศีรษะ บางคนถึงกับอาเจียนก็มี…”
เหตุที่เป็นเช่นนั้น สมชายอธิบายไว้ว่า
“…การชมหนังชนิดนั้น [ภาพยนตร์เงียบ] นานๆ อาจเกิดความตึงเครียดง่าย เพราะว่าไม่มีเสียงเพลงและเสียงพากย์ ซึ่งผู้ชมจะต้องคอยติดตามเรื่องตลอดเวลา”
กว่าจะมีภาพยนตร์มีเสียงเรื่องแรกเกิดขึ้นก็เมื่อ พ.ศ. 2474 ก่อนหน้านั้นเจ้าของ “โรงภาพยนตร์” คิดหาทางช่วยผ่อนคลายอารมณ์ของผู้ชม ด้วยการหา “ลิเก” มาเล่นสลับฉากบ้าง
การแก้ปัญหาเช่นนี้ ช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนจนถึงกับอาเจียนของผู้ชมอย่างไร ไม่ทราบได้ ด้วยสมชายกล่าวไว้เพียงว่า
“…ผู้ที่นำมาฉายจึงได้คิดหาทางช่วยผ่อนคลายอารมณ์ของผู้ชมไปในตัว…ทางเจ้าของโรงภาพยนตร์ผู้ฉายจึงได้หาลิเกมาเล่นสลับฉากบ้าง ก็เป็นที่นิยมของผู้ชมบ้างตามสมควร เพราะลิเกเป็นมหรสพในสมัยนั้น จะขาดเสียมิได้เลยทีเดียว”
อ่านเพิ่มเติม :
- ศาลาเฉลิมไทย โรงหนังสแตนด์ อโลน ในตำนาน ความทรงจำยุค 90s
- ศาลาเฉลิมกรุง โรงภาพยนตร์สมัยใหม่แห่งแรกของไทย
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2567