ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
เคยสงสัยกันไหม คำว่า “โมง” หรือ “ทุ่ม” ที่แบ่ง เวลา กลางวัน-กลางคืน มาจากไหน ใครกำหนด?
ความรู้ความเข้าใจเรื่องเวลาของชาวสยามในอดีต หรือยุคสังคมแบบจารีต ค่อนข้างผูกกับความเชื่อเรื่องจักรวาลวิทยาทางพุทธศาสนา การเวียนว่ายตายเกิด ภพภูมิ และเรื่องของ “กรรม” ชาวสยามจึงถูกปลูกฝังให้ยอมรับชะตากรรม และดำเนินชีวิตปัจจุบันโดยเชื่อว่าเป็นผลมาจากการกระทำในอดีต (ชาติ)
อย่างไรก็ตาม ชาวสยามเรียนรู้ที่จะนับเวลาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่เรียกว่าการนับเวลาตามจันทรคติ และสุริยคติ ซึ่งใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน โดยเฉพาะระบบสุริยคติเริ่มใช้อย่างจริงจังในสมัยรัชกาลที่ 5
นอกจากนี้ ยังพบการนับเวลาจากการสังเกตปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เช่น “บ่ายควาย” หรือ “ควายเข้าคอก” เป็นการสังเกตดวงอาทิตย์เพื่อดูเวลาอย่างหยาบ เป็นต้น
แต่เพื่อจัดระเบียบการเรียกเวลาในแต่ละวันให้เป็นระบบและเข้าใจตรงกัน จึงมีการบัญญัติคำเรียกเวลาของแต่ละช่วงวัน โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงกำหนดวิธีเรียกเวลาแก่ราษฎรทั้งหลาย คือ การเรียกแบบ “โมง” และ “ทุ่ม” ซึ่งถือเป็นคำสำคัญที่ใช้แบ่งภาคกลางวันและกลางคืน เพื่อให้เรียกแยกกันอย่างชัดเจน
คำว่า “โมง” นั้น มาจากเสียงของฆ้อง เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ตีสัญญาณบอกเวลาตอนกลางวัน ส่วนคำว่า “ทุ่ม” เรียกตามเสียง “กลอง” อุปกรณ์ที่ใช้ตีสัญญาณบอกเวลาตอนกลางคืน
พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการเรียกระบบเวลาเช่นนี้มาก จนถึงกับทรงออกประกาศเตือนสติเรื่องว่าด้วยทุ่มโมง และประกาศลงราชกิจจานุเบกษาเรื่องทุ่มยาม เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและเรียกเวลาในแต่ละช่วงให้ถูกต้อง
อ่านเพิ่มเติม :
อ้างอิง :
พิศาลศรี กระต่ายทอง. “หอสูงกับการบอกเวลา”. ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม 2558.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2566