หอกลอง สมัยอยุธยา-ต้นรัตนโกสินทร์ มีไว้ใช้ทำอะไร?

หอกลอง หน้าหับเผย
หอกลองที่หน้าหับเผย เป็นหอก่ออิฐถือปูน 4 ชั้น (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งกรมการรักษาดินแดน) ตึกที่เห็นเป็นแถวทางซ้ายมือของหอกลอง คือตึกแถวถนนเจริญกรุง ภาพนี้ถ่ายจากพระที่นั่งภูวดลทัศไนย (หอนาฬิกา) ในพระบรมมหาราชวัง (ภาพจากหนังสือกรุงเทพฯ ในอดีต)

“หอกลอง” สมัย กรุงศรีอยุธยา ต่อต้นรัตนโกสินทร์ ใช้เป็นสถานที่บอกเวลา ในยุคที่ยังไม่มี “นาฬิกา” ใช้ ทั้งยังใช้เป็นที่เตือนภัยได้อีกด้วย 

“ที่ตะแลงแกงนั้น มีหอกลองมีซุ้มหอทาสีแดง หอกลองนั้น 3 ชั้นสูง 1 เส้น 10 วา แลชั้นยอดนั้นคอยดูข้าศึกศัตรูชื่อ มหาฤกษ์ ชั้นกลางนั้นคอยดูแลเพลิงไหม้ ชื่อพระมหาระงับดับเพลิง ถ้าเพลิงไหม้ปากแม่น้ำนอกกรุงคาดกลอง 3 ที ถ้าเพลิงเชิงกำแพงแลในกำแพงกรุงฯ คาดกลองกว่าเพลิงจะดับ ชั้นต้นใส่กลองใหญ่สำหรับตีย่ำเที่ยงย่ำสันนิบาตเพลาตะวันยอแสง พลค่ำตามประเวณีกรุง แต่ก่อนมาชื่อพระทิวาราตรีแลกรมพระนครบาลได้รักษา ผู้รักษานั้นเลี้ยงวิลากันมิให้มุสิกะกัดกลอง ครั้นเวลาเช้าเย็นเก็บเบี้ยร้านตลาดหน้าคุก แต่ในจำหล่อจนหอกลองเข้าไปร้านละ 5 เบี้ย สำหรับซื้อปลาให้แมวกิน…”

ข้อความกล่าวถึง “หอกลอง” ข้างบนนี้ ได้มาจากหนังสือเก่าพรรณนาว่าด้วยภูมิสภาพพระนครศรีอยุธยา ซึ่งกรมศิลปากรสันนิษฐานว่า ผู้แต่งเกิดทันสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่มาแต่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

หอกลองอย่างนี้นอกจาก กรุงศรีอยุธยา แล้ว ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ก็มีเหมือนกัน ปรากฏว่าสร้างขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ 1 หอกลองดังกล่าวตั้งอยู่ใกล้คุกเก่าที่หน้าหับเผย (ปัจจุบันเป็นกรมการรักษาดินแดน) ตรงข้ามวัดพระเชตุพน มี 3 ชั้น และแขวนกลองสําหรับตี 3 ใบเถา คือ

กลองใบใหญ่ชื่อ ย่ำพระสุรสีห์ แขวนอยู่ในหอกลองชั้นล่าง สําหรับดีเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตก เพื่อเป็นสัญญาณให้เปิดและปิดประตูพระนคร

กลองใบกลางชื่อ อัคคีพินาศ แขวนอยู่ในหอกลองชั้นกลาง สําหรับตีเวลาเกิดไฟไหม้ เพื่อเป็นสัญญาณบอกให้ไปช่วยดับไฟ

กลองใบเล็กชื่อ พิฆาตไพรี หรือ พิฆาตไพรินทร์ แขวนอยู่ในหอกลองชั้นบนสุด สําหรับตีเวลามีข้าศึกศัตรูมาประชิดติดพระนคร เพื่อเป็นสัญญาณบอกให้ตระเตรียมผู้คน ป้องกันรักษาพระนคร

แต่หอกลองครั้งกรุงรัตนโกสินทร์นี้จะได้ขึ้นอยู่กับกรมพระนครบาล และเจ้าหน้าที่จะเก็บเงินตามร้านค้าบริเวณหอกลอง เพื่อเอามาซื้อปลาย่างให้แมวที่เลี้ยงไว้สําหรับป้องกันไม่ให้หนูกัดกลองหรือเปล่าไม่ทราบ เพราะไม่มีหลักฐานที่ไหนกล่าวไว้

หอกลองซึ่งสร้างขึ้นเมื่อรัชกาลที่ 1 ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 ชํารุดทรุดโทรม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดฯ ให้ซ่อมแซม แล้วให้แก้ทรงหลังคาจากยอดเกี่ยวเป็นยอดทรงมณฑป

หอกลองนี้มีมาจนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 5 จึงถูกรื้อลงเมื่อคราวสร้างสวนเจ้าเชต เนื่องจากหมดสมัยและหมดความจําเป็นจะต้องใช้กลองอย่างแต่ก่อน

ธรรมเนียมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นของคู่กันกับการตีกลองมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาก็คือ การยิงปืน ในกรุงรัตนโกสินทร์นั้น เดิมทีเดียวที่ป้อมมุมพระราชวังมีปืนใหญ่อยู่ป้อมละกระบอก เอาไว้สําหรับยิงเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่เวลาเช้าตรู่ทุกวัน เป็นสัญญาณให้เจ้าหน้าที่เปิดประตูวัง นอกจากนั้นยังใช้ยิงบอกสัญญาณเวลาเกิดไฟไหม้ด้วย คือถ้าไหม้นอกพระนคร ยิง 3 นัด ถ้าไหม้ในพระนครยิงมากกว่านั้น หรือจนกว่าไฟจะดับ การยิงนี้ยิงพร้อมกันทุกป้อมเพื่อให้ได้ยินกันทุกด้านทั่วมุมเมือง

มีการยิงปืนอยู่อีกอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่ายิง “ปืนเที่ยง” คือยิงเวลาเที่ยงเพื่อบอกให้ทราบเวลานั่นเอง ธรรมเนียมนี้เราไปจํามาจากสิงคโปร์ ครั้งแรกโปรด ฯ ให้ทหารเรือยิงที่ท่าพระตําหนักแพก่อน ต่อมาเมื่อกรมหลวงพระจักษ์ศิลปาคมจัดให้มีทหารปืนใหญ่ในกรมทหารล้อมวังขึ้นแล้ว จึงขอมายิงที่ป้อมทัศนากรอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่งมีไฟฟ้า ทางโรงไฟฟ้าจึงรับที่จะขยิบไฟฟ้าเวลา 20.00 น. เพื่อบอกเวลาแทน การยิงปืนเที่ยงจึงได้เลิกไป

เรื่องการตีบอกเวลานี้ ประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินเดียและพม่าก็ใช้เป็นเครื่องมือบอกเวลาไม่แตกต่างจากไทย สมแด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรางราชานุภาพ ทรงบันทึกไว้ว่า

“เมื่อวันแรกไปถึงเมืองพาราณสี เวลาคําข้าพเจ้านั่งกินอาหารกัง พวกที่ไปด้วยกัน และพวกข้าราชการอังกฤษยังไม่ทันแล้วเสร็จ พอเวลา ยามหนึ่ง (21.00 นาฬิกา) ได้ยินเสียงตีฆ้องโหม่งทางประตูวังย่ำลา 1 เช่น เดียวกันกับตีฆ้องระฆังย่ำยามในเมืองไทย ข้าพเจ้านึกประหลาดใจจึงถาม ข้าราชการอังกฤษที่อยู่ในเมืองนั้นว่าตีฆ้องย่ำเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร

เขาตอบว่า ‘เป็นสัญญาเรียกคนมาเปลี่ยนพวกที่อยู่ยาม’ พอข้าพเจ้าได้ยิน อธิบายก็จับใจแทบจะร้องออกมาว่า ‘อ้อ’ เพราะวิธีตีฆ้องระฆังยามในเมือง ไทยเมื่อถึงเวลาเช้า 6.00 นาฬิกา เวลาเที่ยงวัน เวลาค่ำ (18.00 นาฬิกา) และเวลากลางคืนยาม 1 (21.00 นาฬิกา) เวลาเที่ยงคืน เวลายาม 3 (3.00 นาฬิกา) ก็ตีทํานองเดียวกับได้ยินที่เมืองพาราณสี…”

หรือเมื่อคราวที่เสด็จเยือนประเทศพม่าก็พบ

“…ในเมืองพม่า ซึ่งข้าพเจ้าได้ไปรู้เมื่อ พ.ศ.2478 ต่อไป เพราะได้เค้าที่เหมือนกับไทยอีกอย่างหนึ่ง ที่ในพระราชวังเมืองมันดะเลมีหอนาฬิกาหลังหนึ่งเป็นหอสูง ข้างล่างมีห้องสําหรับไว้นาฬิกา ข้างบนเป็นห้องโถงสําหรับแขวนกลองกับฆ้องที่ตีบอกเวลา เขาว่าเคยมีหอเช่นนั้นทุกราชธานีในเมืองพม่าแต่ก่อนมา ข้าพเจ้าถามเขาว่า ฆ้องกับกลองที่แขวนไว้บนหอนั้น ที่ต่างกันอย่างไร ไม่มีใครบอกอธิบายได้ เพราะเลิกราชประเพณีพม่ามาเสียหลายสิบปีแล้ว

ข้าพเจ้านึกจับหลักได้ว่า ฆ้องสําหรับกลางวัน กลองสําหรับกลางคืน หลักนั้นอยู่ในคําพูดของไทยเราเองที่เรียกเวลาตอนกลางวันว่า “โมง” เช่นว่า 4 โมง 5 โมง แต่ตอน เวลากลางคืนเรียกว่า “ทุ่ม” เช่นว่า 4 ทุ่ม 5 ทุ่ม คําโมงกับทุ่มมาแต่เสียงฆ้องและกลองนั่นเอง ในเมืองไทยแต่โบราณก็เห็นจะใช้ทั้งฆ้องและกลองตี บอกเวลาอย่างเดียวกันกับในเมืองพม่า”

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


ข้อมูลจาก :

เทพชู ทับทอง. กรุงเทพฯ ในอดีต, ห้างหุ้นส่วนจำกัด อักษรบัณฑิต 2518

สมแด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรางราชานุภาพ. นิทานโบราณคดี หนังสืออนุสรณ์ในการเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพ นงมัณฑนา ดอศกุล ณ อยุธยา ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาสวรวิหาร วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2551


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 22 เมษายน 2562