ศาสนาผีมีจริง! และ “เซ็กซ์” ในศาสนาผีเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์

จิตรกรรมเชิงสังวาส วัดบางยี่ขัน
จิตรกรรมเชิงสังวาสในพระอุโบสถ วัดบางยี่ขัน กรุงเทพฯ

คนในดินแดนไทยหลายชาติพันธุ์ นับถือ “ศาสนาผี” มาตั้งแต่สมัยเริ่มแรกมากว่า 3,000 ปีมาแล้ว เพราะสมัยนั้นยังไม่รู้จักอินเดีย ไม่รู้จักศาสนาพุทธ-พราหมณ์ แม้ในอินเดียขณะนั้นก็นับถือศาสนาผี

โครงกระดูกมนุษย์อายุหลายพันปีที่นักโบราณคดีขุดพบที่บ้านเก่า (จังหวัดกาญจนบุรี) และที่บ้านเชียง (จังหวัดอุดรธานี) จึงเนื่องในวัฒนธรรมในศาสนาผี ซึ่งไม่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ-พราหมณ์ ดังนั้นจะอธิบายพิธีกรรมหลายพันปีมาแล้วตามแนวคิดของศาสนาพุทธ-พราหมณ์ เห็นจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว

Advertisement

บ้านเมืองโบราณทั่วโลกหลายพันปีมาแล้ว (ก็) นับถือศาสนาผี

ส่วนในไทย ชุมชนเมืองใหญ่ต่าง ๆ บริเวณภาคกลางที่พัฒนาจนมีคูน้ำคันดินรูปกลม-รีล้อมรอบก็นับถือศาสนาผี เมืองสำคัญ คือ บริเวณอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีอายุเมื่อราว 2,000 ปี มาแล้ว หรือตั้งแต่ พ.ศ. 500

นักวิชาการฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมเคยอธิบายว่า ไทยและอุษาคเนย์ในสมัยนั้นยังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนที่นับถือผี กว่าจะเติบโตเป็นเมืองก็หลังจากรับศาสนาจากอินเดียเข้าแล้ว แต่… หลักฐานโบราณคดีที่พบในเวลาต่อมาจวบจนทุกวันนี้ ล้วนยืนยันว่ามีบ้านเมืองใหญ่โตที่นับถือศาสนาผีดำรงอยู่ในพื้นที่เหล่านี้ก่อนผู้คนจะรับเอาศาสนาพุทธ-พรามหณ์เข้ามาอย่างแน่นอน

วิชาการสากลนั้นให้การยอมรับและยกย่องให้เป็นความเชื่อเรื่องผี นับได้ว่าเป็น “ศาสนา” เรียกว่าศาสนาผี (เช่นเดียวกับศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู) แต่นักวิชาการไทยจำนวนหนึ่งไม่ยอมรับเป็นศาสนาผี และเหยียดว่าเป็นเพียง “ความเชื่อ” ชุดหนึ่งเท่านั้น

ศาสนาผี มีความหมาย ดังนี้

1. นับถือผี ผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติ

2. ปรากฏการณ์ทั้งหลายไม่ว่าดีหรือร้ายเกิดจากการกระทำของผี

3. เชื่อเรื่อง “ขวัญ” แต่ไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ ไม่มีเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีโลกหน้า ไม่มีเทวดานางฟ้า ไม่มีสวรรค์-นรก และไม่มีพิธีกรรมการเผาศพ ฯลฯ

4. ผีกับคนสื่อสารกันได้ด้วยการเข้าทรงผ่านร่างทรงซึ่งเป็นผู้หญิง ส่วนร่างทรงชาย เกิดขึ้นในสมัยหลัง

5. หญิงเป็นใหญ่ มีอำนาจเหนือชายอย่างชัดเจนในพิธีกรรมทางศาสนาผี

เซ็กซ์ในศาสนาผีเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์

กิจกรรม “ร่วมเพศ” ในศาสนาผีหลายพันปีมาแล้ว เป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เพื่อเจริญเผ่าพันธุ์ และเจริญพืชพันธุ์

พบหลักฐานโบราณคดีไม่น้อยแสดงการสมสู่ร่วมเพศของหญิง-ชาย หรือสัญลักษณ์การสมสู่ร่วมเพศ เช่น ภาพเขียนบนเพิงผา หรือผนังถ้ำ และรูปหล่อสำริดประดับฝากปิดภาชนะสำริดใส่กระดูกคนตาย ฯลฯ

ลวดลาย บนภาชนะดินเผา ในวัฒนธรรม บ้านเชียง
อวัยวะเพศหญิง-ชาย สอดใส่สมสู่ร่วมเพศ เป็นลวดลายสัญลักษณ์บนภาชนะดินเผาในวัฒนธรรมบ้านเชียง ราว 2,500 ปีมาแล้ว (กรมศิลปากรคัดลอกจากภาชนะขุดพบที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัด อุดรธานี
ลายเส้น ชายหญิง กำลังร่วมเพศ จากภาพสลัก บนผนังถ้ำ ผาลาย จังหวัด สกลนคร
(ซ้าย) ชายหญิงสมสู่ร่วมเพศ (ลายเส้นของกรมศิลปากรคัดลอกจากภาพสลักราว 2,500 ปีมาแล้ว บนผนังถ้ำผาลาย ภูผายนต์ ตำบลกกปลาซิว อำเภอเมืองฯ จังหวัดสกลนคร) (ขวา) หญิงชายสมสู่ร่วมเพศ ลายเส้นจากประติมากรรมประดับบนฝาภาชนะสำริดบรรจุศพ พบที่หมู่บ้านเด่าติง (Dou Thinh) จังหวัดเอียนบ๋าย (Yen Bai) ทางตอนเหนือของเวียดนาม ราว 2,500 ปีมาแล้ว จัดแสดงใน Vietnam National Museum of History)

รวมถึงการปั้นเมฆขอฝนเป็นหญิง-ชายสมสู่ร่วมเพศกันกลางแจ้งในพื้นที่สาธารณะ คติความเชื่อดังกล่าวยังพบเห็นได้ในปัจจุบัน ที่บ้านนาตะกรุด อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2558 ชาวบ้านได้ขุดดินเหนียวมาปั้นเป็นมนุษย์ขนาดเท่าคนจริง ตั้งไว้บนถนนกลางทางสามแยก โดยเป็นรูปหญิง-ชาย ชื่อนางฝนกับนายเมฆ กำลังสมสู่ร่วมสังวาส และมีชายอีกคนหนึ่ง ชื่อนายหมอก นั่งอยู่ข้าง ๆ

นอกจากนี้ เพลงโต้ตอบกันของชาวบ้าน เช่น เพลงปรบไก่ เพลงฉ่อย เพลงพาดควาย ฯลฯ ที่มีคำหยาบเรียกว่า “กลอนแดง” ล้วนเป็นสัญลักษณ์สืบเนื่องมาจากพิธีสมสู่ร่วมเพศ “ขอฝน” ที่มีอายุหลายพันปีมาแล้วและตั้งใจสื่อถึงความเจริญเผ่าพันธุ์และเจริญพืชพันธุ์ด้วยเช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


หมายเหตุ : เนื้อหานี้เรียบเรียงจากเอกสารประกอบการบรรยาย“ศาสนาผี ในไทยหลายพันปี ก่อนประวัติศาสตร์ ถึงปัจจุบัน” โดยสุจิตต์ วงษ์เทศ, วันที่ 1 ตุลาคม 2565 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 3 พฤษภาคม 2566