นอนมากไปไม่ดี!? “โคลงโลกนิติ” บอก “นอน 12 ชั่วโมงไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน”

สาวชาววังนอนกอดกันแนบชิด ปรากฏในจิตรกรรมฝาผนังสมัยรัตนโกสินทร์ (ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดคงคาราม จังหวัดราชบุรี)

โคลงโลกนิติ เป็นวรรณกรรมคำสอน ประพันธ์โดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 มีเนื้อหากล่าวถึงสัจธรรมของโลก รวมทั้งสอนเรื่องการดำเนินชีวิต การประพฤติปฏิบัติตนที่เหมาะที่ควร ปรากฏเป็นจารึกอยู่ที่วัดโพธิ์ ตามที่รัชกาลที่ 3 โปรดฯ ให้รวบรวมสรรพวิชาไว้ที่นั่น โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมที่มีความงดงามทางภาษาอย่างยิ่งผลงานหนึ่ง

เมื่อว่าด้วยการดำเนินชีวิต โคลงโลกนิติ จึงมีเนื้อหาตอนหนึ่งว่าด้วย “การนอน” ระบุจำนวนเวลาที่คนกรุงเทพฯ สมัยจารีตควรนอนไว้ว่า

“บรรทมยามหนึ่งไท้   ทรงฤทธิ์
หกทุ่มหมู่บัณฑิต   ทั่วแท้
สามยามพวกพาณิช   นรชาติ
นอนสี่ยามนั้นแล   เที่ยงแท้เดียรฉาน”

โคลงบทนี้มีความหมายว่า กษัตริย์นอนเพียง 3 ชั่วโมง เหล่าบัณฑิตนักปราชญ์นอน 6 ชั่วโมง พวกพ่อค้าและคนธรรมดาทั่วไปนอน 9 ชั่วโมง แต่ถ้าใครนอน 12 ชั่วโมง ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน (ที่มักใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนอน)

ถึงอย่างนั้นก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับคนนอนเยอะบ้าง อย่างที่ ดี. อี. มัลล็อค (D.E. Malloch) พ่อค้าชาวอังกฤษที่เดินทางมาติดต่อค้าขายกับสยามในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งข้อสังเกตว่า ชาวสยามคุ้นเคยกับการนอนถึง 14 ชั่วโมงต่อ 1 วัน ซึ่งข้อสังเกตของเขาอาจนับรวมเอาจำนวนชั่วโมงการนอนกลางวันเข้าไปด้วย เพราะปกติแล้ว ชาวสยามนิยมนอนกลางวันเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ แทนการออกไปเดินเล่นอย่างชาวตะวันตก

วีระยุทธ ปีสาลี ขยายความเรื่องการนอนไว้ในหนังสือ “กรุงเทพฯ ยามราตรี” (สำนักพิมพ์มติชน) ว่า เมื่อพิจารณาการนอนของคนกรุงเทพฯ สมัยจารีต พบว่าระบบเวลามาตรฐานยังไม่มีบทบาทต่อการกำหนดเวลาการเข้านอนและจำนวนชั่วโมงการนอนมากนัก ที่พบเป็นเพียงการกำหนดเวลาอย่างคร่าว ๆ ด้วยหน่วยวัดเวลาในสังคมเดิมคือ “ยาม” ไม่ใช่หน่วยนาฬิกาแบบโลกสมัยใหม่

เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าลักษณะการนอนของคนกรุงเทพฯ สัมพันธ์กับสภาพสังคมในขณะนั้นคือสังคมก่อนสมัยใหม่ ในยุคเกษตรกรรมที่ระบบเวลาในชีวิตประจำวันยังไม่เคร่งครัดอย่างในสังคมอุตสาหกรรม

“จนเมื่อกรุงเทพฯ กลายเป็นสังคมเมืองสมัยใหม่ที่มีระบบเศรษฐกิจแบบใหม่คือระบบทุนนิยมแล้ว เวลาการเข้านอนและจำนวนชั่วโมงการนอนของคนกรุงเทพฯ จึงมีความชัดเจนขึ้นตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป” วีระยุทธ ระบุ

อย่างไรก็ตาม ค่านิยมและวิถีปฏิบัติย่อมเปลี่ยนไปตามยุคสมัย หากเป็นยุคนี้ การนอนที่กินเวลา 12 ชั่วโมง อาจเป็นผลมาจากการทำงานหนักและวิถีชีวิตอันรีบเร่ง ที่หากมีเวลาว่างพอจะนอนเต็มอิ่มได้ หลายคนก็มักจะเลือกนอนเอาแรงเติมพลังให้เต็มที่ก่อนสู้ชีวิตกันต่อนั่นเอง 

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

วีระยุทธ ปีสาลี. กรุงเทพฯ ยามราตรี. กรุงเทพฯ : มติชน, 2557.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 13 มีนาคม 2566