“ศึกไสยเวท” ในวรรณคดี เมื่อปู่เจ้าสมิงพราย “ทำเสน่ห์” ใส่พระลอ!

ประติมากรรม ปู่เจ้าสมิงพราย วัดพระธาตุพระลอ
"ปู่เจ้าสมิงพรายเพิ่มความขลังของไสยเวทด้วยธงสามชาย" ภาพประติมากรรมภายในถ้ำจำลองของปู่เจ้าสมิงพราย ณ อุทยาทลิลิตพระลอ (วัดพระธาตุพระลอ) อำเภอสอง จังหวัดแพร่ (ภาพจาก Facebook เพจ อุทยานลิลิตพระลอ)

“ปู่เจ้าสมิงพราย” มีบทบาทใน ลิลิตพระลอ ไม่น้อยไปกว่า นางรื่นนางโรย นางพี่เลี้ยงของพระเพื่อนพระแพง ตัวเอกฝ่ายหญิง โดยเฉพาะเรื่องราวหลัง “กลวิธีสื่อรักขั้นแรก” คือการชักนำตัวเอกฝ่ายชายอย่าง พระลอ ให้มาสู่สองนาง นางพี่เลี้ยงได้มอบหมายให้นางรับใช้ไปขับซอยกย่องโฉมพระเพื่อนพระแพง เพื่อปลุกเร้าและท้าทายความทะเยอทะยานของพระลอ ให้อยากได้สองนางมาไว้เสริมบุญบารมี

หลังพระลอได้สดับคำขับซอ ชื่อเสียงความงามของสตรีอย่างพระเพื่อนพระแพงส่งเสริมความต้องการไขว่คว้าซึ่งเกียรติยศของพระลอ ความปรารถนานี้ยังไม่เกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติ แต่เป็นความอยากมีอยากได้ของกษัตริย์หนุ่มเอง

Advertisement

เมื่อนักขับซอกลับมาแจ้ง (ผลประกอบการ) ให้นางรื่นนางโรยทราบ นางพี่เลี้ยงจึงกราบทูลแก่พระเพื่อนพระแพงให้รับรู้ต่อไป และดำเนิน “กลวิธีสื่อรักขั้นที่สอง” โดยอาศัยอำนาจเวทมนตร์เหนือธรรมชาติเข้ามาส่งเสริมแรงปรารถนาของพระลอแบบทวีคูณขึ้นไปอีก

เรื่องราวต่อจากนี้เองที่ ปู่เจ้าสมิงพราย เข้ามามีบทบาทสำคัญยิ่ง ดังเนื้อความตามบทความวิจารณ์วรรณคดี โดย นิพัทธ์ แย้มเดช เรื่อง “ความอาย ความรัก และความตายของพระเพื่อนพระแพง” (ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกุมภาพันธ์ 2565) ดังนี้ [เว้นวรรคคำ ย่อหน้าใหม่ และเน้นคำเพิ่มเติมโดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม]


 

ใครเล่าจะเหิมกล้าทำเสน่ห์ใส่พระลอให้หลงใหล และเดินทางมาเป็นทาสรักพระเพื่อนพระแพง? 

ตัวละครผู้รับบทผู้กระทำไสยเวทให้พระลอเกิดความสะท้านใจ ไม่ใช่มีศักดิ์สถานะธรรมดา เพราะพระลอไม่ใช่คนสามัญทั่วไป แต่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน หรือ “ใจเมือง”

การจะเฟ้นหาหมอทำเสน่ห์เพื่อทำคาถาอาคมใส่บุคคลผู้อยู่สูงสุดในสังคมไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เจอหมอเสน่ห์คนใดคนหนึ่งแล้วตกปากรับคำทำคุณไสยใส่พระลอทันที เพราะหมอผู้เรืองฤทธิ์ต้องมีอำนาจอ่านตัวตน “ด้านใน” ของกษัตริย์ได้ และต้องอยู่ในสถานที่ห่างไกล ลึกลับ เข้าถึงตัวได้ยาก

ตอนแรกนางรื่นนางโรยไม่สามารถหาหมอทำเสน่ห์ได้ แม้จะใช้รางวัลทรัพย์สินมีค่าเข้าล่อ เช่น ยายมด ผู้ทำเสน่ห์ยาแฝด กล่าวปฏิเสธทำเสน่ห์ใส่พระลอ “ยายฟังสารยายสั่นหัว” เพราะ “ยายเคยลองแต่ตัวชั่วตัวช้า ยายจักลองจักหล้า บ่ได้หลานเอ๋ย” นั่นคือ ยายหมอผีเคยแต่ทำคุณไสยใส่คนทั่วไป จะให้ไปทำใส่พระเจ้าเหนือหัว ผู้สูงส่ง ไม่สามารถทำได้

หรือหมอผี 3 คนที่เป็นลูกศิษย์ ปู่เจ้าสมิงพราย ปฏิเสธเพราะ “ตูนี้ยศยังต่ำ ลองแต่ส่ำพอดี พอแรงผีแรงมนต์” ไม่อาจเอื้อมทำเสน่ห์ใส่พระเจ้าแผ่นดินที่มียศสูงยิ่ง

สุดท้ายมาลงเอยที่ ปู่เจ้าสมิงพราย หรือ “เทพเจ้าแห่งขุนเขา” ผู้ดำรงสถานะสูงส่ง เพราะ “ทั่วแหล่งหล้า ผู้ใดใครจักเทียมจักคู่” ไม่มีหมอทำเสน่ห์ผู้ใดทัดเทียมปู่เจ้าสมิงพราย “ธว่าให้ตายก็ตายทันเห็น ธว่าให้เป็นก็เป็นทันใจ จะลองใครใครก็มา จะหาใครใครก็บอยู่” ปู่เจ้าสมิงพราย ผู้เรืองฤทธิ์สูงสุดถึงขนาดจะให้ผู้ใดตายก็ตายทันที จะให้คนตายฟื้นก็ฟื้นคืนได้ จะให้ใครมาหาผู้นั้นก็มาหาได้

แรงอำนาจของปู่เจ้าสมิงพรายไม่อาจประมาณได้ เพราะปู่เจ้ามีอายุยืนยงคู่โลกถึงล้านปี “เสวยพิภพล้านเข้า ชั่วฟ้าล่มกาลป์” สั่งสมพลังอำนาจบุญบารมีมาอย่างต่อเนื่อง

พระเพื่อนพระแพงอยู่เบื้องหลังฉากฤทธิ์มนตร์แห่งกามา คอยชักใยตามแผนการที่นางรื่นนางโรยขันรับอาสา แผนการชักนำพระลอให้เดินทางมาหาดำเนินการอย่างต่อเนื่อง พระนางวางแผนอย่างรอบคอบและเร่งดำนินการอย่างรวดเร็ว แม้นางรื่นนางโรยก็นึกพิศวงว่าเป็นกลที่อยู่เหนือกล

นั่นคือ พระธิดาทั้งสองเสด็จไปหาเจ้าย่า ทำทีออดอ้อน แล้วแจ้งความประสงค์เรื่องความไม่สบายใจ โดยหมอดูทายทักว่าขวัญของพระนางหนีเตลิดไปในป่า ต้องรีบเชิญขวัญกลับคืนมา “ให้รับขวัญอย่าช้า พรุ่งเช้าวันดี”

ฝ่ายเจ้าย่าและท้าวพิไชยพิษณุกร ไม่รับรู้แผนลวงนี้ ต่างเป็นทุกข์เป็นร้อนแทน จึงสนับสนุนให้นางพี่เลี้ยงเดินทางไปเรียกขวัญพระเพื่อนพระแพงในเขาปู่เจ้า

พระเพื่อน พระแพง ลิลิตพระลอ
“พระเพื่อนพระแพง” พ.ศ. 2514 สีน้ำมันบนผ้าใบ ผลงานของอาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต

“ยาหยูกเขาโน้มน้าว ลูกให้ใหลหลง” : ชัยชนะของสองนาง

ปู่เจ้าสมิงพราย ไม่ใช่ตัวละครเหนือมนุษย์ที่ดำเนินเวทมนตร์ให้พระลอหลงใหลพระเพื่อนพระแพงยิ่งขึ้นเท่านั้น หากปู่เจ้าสมิงพรายยังเป็นตัวละครฝ่ายพระเพื่อนพระแพงที่มีบทบาทต่อสู้กับพระนางบุญเหลือ ผู้เป็นพระราชมารดาของพระลอด้วย

ดังเราจะเห็นว่าฝ่ายหนึ่งเป็นตัวแทนพลังลึกลับจาก “เชื้ออารมณ์ปรารถนา” ฝังอยู่ในตัวมนุษย์ เพื่อปลุกเร้าพลังรักลุ่มหลงของมนุษย์ให้รุนแรงขึ้น ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นตัวแทน “แสงสว่างอันพิสุทธิ์” แสงสว่างนี้ บ่มเพาะมนุษย์ให้ตระหนักถึงสายใยรักบริสุทธิ์ของผู้ที่โลกขนานนามว่า “แม่”

ฉะนี้แล้ว เมื่อคู่ตรงข้ามระหว่างพลังลึกลับเย้ายวนกิเลสมนุษย์ปะทะกับพลังรักหล่อเลี้ยงโลก ย่อมมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำเป็นธรรมดา

ปู่เจ้าเล็งญาณดู “กูจะช่วยควรฤๅมิควร” ครั้นแล้วก็ประจักษ์ “รู้ทั้งมวลทุกอัน ด้วยผลกรรย์เขาแต่ก่อน ทำหย่อนหย่อนตึงตึง ส่วนจะถึงบมิหยุด เท่าว่าจะพลัดสุดพลันม้วย ด้วยผลกรรมเขาเอง” ญาณที่ปู่เจ้าเล็งเห็น ส่องไปไกลยังจุดจบชีวิตพระเพื่อนพระแพงและพระลอในภายภาคหน้า ทั้งสองฝ่ายจะต้องตายจากผลกรรมเกี่ยวเนื่องในอดีตชาติ ที่ทำต่อกันอย่างขาด ๆ เกิน ๆ แสดงให้เห็นว่าการก่อวิบากรรมอย่างไม่สมดุล ตึงไปหย่อนไป ไม่พอเหมาะพอดี ส่งผลร้ายต่อชีวิตพระเพื่อนพระแพงและพระลอในภพภูมิต่อมา…

อำนาจฤทธิ์มนตร์ ปู่เจ้าสมิงพราย มีระดับความรุนแรงส่งผลกระทบต่อจิตใจพระลอไต่ระดับจากน้อยไปหามาก เริ่มต้นด้วยการดลบันดาลให้ใจพระลอปั่นป่วนด้วยฤทธิ์ลูกลม ปรากฏเป็นภาพพระเพื่อนพระแพงในความฝันนอนแนบข้างพระลอ ในลักษณะอาการที่ว่า “สองศรีสอดกรตระกอง กอดราช แลนา” เพื่อชักชวนพระลอให้ไปหายังเมืองของพระนาง

ต่อมาปู่เจ้าเพิ่มความขลังของไสยเวทด้วยธงสามชาย มีภาพพระลอ “อยู่กลาง เขียนสองนางแนบข้าง กอดเจ้าช้างรัดรึง ชักทึงท้าวชวนเต้า” โดยปักธงไว้บนยอดตะเคียนให้ต้องแรงลม “ลมสร้าวเสียวเฉียวฉิว ปลิวกระพือยาหยูก ถูกระองค์ท้านไท้ ถนัดดังสองนางไล้ ลูบให้แลเห็น องค์นา” คราวนี้พระลอมิได้เพียงฝันถึงพระนางทั้งสองในทีท่าชวนร่วมรักแล้ว แต่รู้สึกและเห็นภาพชวนเสียวซ่านแม้ตื่นลืมตาขึ้นเลยทีเดียว

ไม่เพียงเท่านั้น ปู่เจ้าส่ง “ผีผาภูตคณา นับโกฏิ เกรียงแฮ” จำนวนมากไปทำลายผีและอารักษ์รักษาบ้านเมืองของพระลอ เพื่อทำลายขวัญและกำลังใจของพระลอให้อ่อนแอลง อำนาจไสยเวทดังกล่าวทวีความรุนแรงถึงขนาดที่ว่า “ฟ้าหล้าเหลืองอุบาทว์ อากาศคลุ้มเปนควัน ฟ้าเครงครรชิตผ่า ใจเมืองบ้าดังผก หัวอกเมืองดังจะพัง”

…สุดท้ายปู่เจ้าส่งสลาเหินไปปะปนกับหมากเสวย เมื่อพระลอหยิบหมากสลาเหินเคี้ยวกิน แรงมนตร์ก็ซาบซ่านเข้าไปในใจพระลอ ทวีความหลงใหลพระเพื่อนพระแพงถึงขีดสุด ดังเกิดปฏิกิริยาว่า “ใจจะขาดรอนรอน แลนา ถึงสายสมรพี่น้อง คิดบลุเลยข้อง ขุ่นแค้นอาดูร”

ขณะที่ปู่เจ้าสมิงพรายดำเนินขั้นตอนโน้มน้าวพระลอให้รัญจวนถึงพระเพื่อนพระแพง พระนางบุญเหลือ ปรากฏบทบาทแม่ผู้อุทิศความรักและจิตวิญญาณให้แก่พระลออย่างแท้จริง พระนางคอยต้านทานพลังอำนาจร้ายมิให้แผ้วพานพระลอ เท่าที่จะหาหมออาคมมาปะทะกับปู่เจ้าสมิงพรายได้

ทุกเสี้ยววินาทีที่พระลอวิปริตผิดผู้ผิดคน คือทุกเสี้ยวเวลาที่ส่งผลกระเทือนต่อหัวอกพระนางบุญเหลือแทบรานสลาย เพลาใดลูกอาการคลุ้มคลั่งทุเลาลง เพราะมดหมอในเมืองแก้พลังปู่เจ้าได้ พระนางก็มีความเบิกบานใจ เพลาใดลูกอาการทรุดหนักอีก พระนางก็ห่วงหาอาทรและเป็นทุกข์อย่างถึงที่สุด

ด้วยประสบการณ์ความเป็นแม่ หยั่งเห็นภัยร้ายแรงที่จะเกิดแก่ลูก เมื่อแก้ไขด้วยหมอชำนาญไสยศาสตร์ก็เพลี่ยงพล้ำแก่ปู่เจ้าเรื่อยมา พระนางบุญเหลือจึงเรียกสติพระลอด้วยคำพูดห้ามปรามและเหนี่ยวรั้งสติที่เตลิดของพระลอ นั่นคือเมื่อเดินทางไปยังเมืองของศัตรูแล้ว “เนื้อสู่เสื้อฤๅเสือ จักไว้” ทั้งนี้ ก็เป็นความจริง เพราะภูมิหลังเมืองสรวงและเมืองสรอง ประหัตประหารทำสงครามกันตั้งแต่รุ่นพ่อของพระลอ… เมื่อพระลอเดินทางไปเมืองสรอง จึงเท่ากับเป็น “เนื้อ” เดินเข้าไปหา “เสือ” โอกาสรอดแทบไม่มีเลย

พระลอยอมรับกับแม่ว่า หากไปแล้วถึงแก่ความตาย หรือ “ตกนรกแสนศัลย์ หมื่นไหม้ เสวยสุขโสดเสวยสวรรค์ เพราะอยู่ ก็ดี” นั่นคือ ถึงตนจะตกนรกหรือสวรรค์ก็ไม่หวั่น การตัดสินใจเด็ดขาด “บอยู่เลยลาไท้ ธิราชแล้วจักไป” คือ จะไปไม่อยู่แล้ว เป็นอันว่าความพยายามที่พระเพื่อนพระแพงอาศัยมือปู่เจ้าสมิงพรายดึงตัวพระลอมานั้น “บรรลุผลสัมฤทธิ์”

พระลอยอมรับกับแม่เองว่า “ยาหยูกเขาโน้มน้าว ลูกให้ใหลหลง” แสดงว่าพระลอรู้สึกตัวว่าพระเพื่อนพระแพงโน้มน้าวด้วยยาอาคมให้หลงใหล แต่แท้จริงคำกล่าวนี้กลบเกลื่อนความรู้สึกผิด และสำนึกความพ่ายแพ้ต่อกามกิเลสภายในใจพระลอนั่นเอง…

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 8 มีนาคม 2566