ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมกราคม 2533 |
---|---|
ผู้เขียน | สันติ เล็กสุขุม |
เผยแพร่ |
ช่างไทยภาคกลางนิยมใช้ลายประดับแบบหนึ่ง ที่เรียกกันว่า “ลายประจำยามก้ามปู” ชื่อลายนี้คงตั้งเรียกกันตามลักษณะของลวดลาย คือ รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หรือ ประจำยาม และ ลายก้ามปู เป็นสำคัญ ที่มาของลวดลายนี้เก่าแก่ย้อนไปได้ถึงสมัย “ทวารวดี” เลยทีเดียว
รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน เรียกกันตามภาษาช่างว่า ประจำยาม เพราะลายนี้มักประดับตามตำแหน่งหลักอยู่กึ่งกลาง หรืออยู่ริม เพื่อเป็นหลักกำกับการออกลายชนิดอื่น
ภายในรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน มักแบ่งออกสี่ส่วนคล้ายกลีบดอกไม้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีการเรียกกันว่า ดอกประจำยาม อีกด้วย
ลายก้ามปู คือลายกระหนกสองตัวประกอบกันเป็นง่ามคล้ายก้ามปู บางครั้งประดับอยู่กับดอกประจำยาม
แต่อันที่จริงแล้ว ลายประจำยามก้ามปูยังต้องมีลายรูปวงกลมมีกลีบดอกไม้ ที่เรียกกันว่า ลายดอกกลม (หรือดอกจอก) ร่วมประกอบอยู่ด้วย จึงจะครบเป็นชุดใช้เรียงสลับต่อเนื่องกันไป มักมีการประดับลายก้ามปูอยู่กับลายดอกกลม มากกว่าประดับอยู่กับดอกประจำยามที่กล่าวมาแล้ว (รูปที่ 2)

ช่างไทยเว้นการออกชื่อลายดอกกลม ในขณะที่นักกวิชาการชาวตะวันตกเห็นว่าลายดอกกลม กับลายดอกเหลี่ยมขนมเปียกปูน เด่นเป็นหลักของลายนี้ จึงเรียกลายดอกกลมสลับสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ส่วนลายคล้ายก้ามปูเห็นเป็นลายประกอบจึงไม่รวมอยู่ในชื่อเรียกด้วย

ลายประจำยามก้ามปู มีเค้าอยู่ในศิลปะ “ทวารวดี” ทางภาคกลางของประเทศไทย ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 12 (รูปที่ 3)
ในประเทศกัมพูชาก็ปรากฏลวดลายแบบนี้ที่ศิลปะขอมก่อนสมัยเมืองพระนคร (รูปที่ 4) ในศิลปะจาม แบบมี่ซอน E1 (รูปที่ 5)
ศิลปะทั้งหลายที่กล่าวมานี้เกิดในพื้นที่ต่างกัน แต่อยู่ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน มีแหล่งบันดาลใจสำคัญจากแหล่งเดียวกัน คือ ศิลปะอินเดีย
ลายประจำยามก้ามปูปรากฏขึ้นในศิลปะขอมได้ระยะหนึ่งก็หายไป ต่อมาศิลปะขอมสมัยเมืองพระนครในต้นพุทธศตวรรษที่ 15 ลงมาถึงราวพุทธศตวรรษที่ 18 อันเป็นระยะปลายของศิลปะขอมสมัยเมืองพระนคร ก็เชื่อว่าไม่นิยมลายนี้ บรรดาลวดลายในอิทธิพลศิลปวัฒนธรรมขอมที่พบในประเทศไทย จึงไม่ปรากฏลายประจำยามก้ามปูไปด้วย

หลังการครอบงำทางศิลปวัฒนธรรมขอม คือในปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ต่อต้นพุทธศตวรรษที่ 19 ศิลปกรรมทางภาคกลางของประเทศไทยมีพัฒนาการจนเป็นลักษณะของตนเอง อาคารรุ่นแรกที่เริ่มมีรูปแบบเป็นไทย เช่น ปรางค์ประธานวัดมหาธาตุ ลพบุรี ลวดลายประดับก็ยังไม่มีลายประจำยามก้ามปูร่วมอยู่ด้วย
จนเมื่อมีพัฒนาการอีกระดับหนึ่ง ณ กรุงศรีอยุธยา ซึ่งได้รับการสถาปนาเป็นราชธานีของชาวไทยใน พ.ศ. 1893 ลายประจำยามก้ามปู จึงกลับมาได้รับความนิยม โดยมีเค้าโครงตามที่เคยมีอยู่ในศิลปะทวารวดี แต่ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้เหมาะสมร่วมยุคสมัยกับลวดลายอื่นๆ
ช่างไทยสมัยต้นกรุงศรีอยุธยานิยมใช้ลายประจำยามก้ามปูประดับลงในแถบแนวนอน เช่น ปั้นด้วยปูนประดับหน้ากระดานฐาน หน้ากระดานบัวหัวเสา หรือโคนเสาของปรางค์ ดังที่ปรางค์วัดส้ม ปรางค์รายในวัดมหาธาตุ (รูปที่ 2) และปรางค์ประธานวัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา งานดุนทอง เช่น ที่ฐานเจดีย์จำลอง ก็ประดับลายนี้ด้วย ดังที่พบภายในกรุของปรางค์ประธานวัดราชบูรณะ เช่นกัน

นับได้ว่า ลายประจำยามก้ามปูเหมาะสมแก่งานประดับหลายอย่าง จึงได้รับความนิยมแพร่หลายควบคู่กับลายประเภทเดียวกันที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งบางลายดัดแปลงไปจากลายประจำยามก้ามปู ได้รับความนิยมผ่านสมัยกรุงศรีอยุธยามาในสมัยรัตนโกสินทร์ด้วย
ลายแบบหนึ่งที่แตกออกจากลายประจำยามก้ามปู กลายเป็นลายใหม่ ได้แก่ ลายประเภทประจำยามลูกฟักก้ามปู ใช้กันเป็นประจำต่อเนื่องมาในศิลปะรัตนโกสินทร์ (รูปที่ 6)
การที่ลายประจำยามก้ามปูเป็นลายที่นิยมมากสุดลายหนึ่งในดินแดนทางภาคกลางของประเทศไทย ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะความเหมาะสมของจังหวะช่องไฟ ที่เกิดจากรูปร่างของลายที่แตกต่างกัน ทำให้ดูไม่เบื่อ ไม่ซ้ำซาก การปรับเปลี่ยนไม่ว่าจะประดับกระหนกก้ามปูกับลายดอกประจำยาม หรือกับลายดอกกลม ก็ได้ช่องไฟที่เหมาะสมเหมือนกัน จนแม้การยืดหรือหดลายก้ามปู ก็ไม่ทำให้จังหวะช่องไฟลดความงดงามลงไป กลับเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยปรับจังหวะของลายให้ได้สัดส่วนกับเนื้อที่ที่จะประดับ
ลายประจำยามก้ามปู มีระเบียบและมีความงดงาม รวมทั้งมีความคล่องตัวสำหรับการจัดวาง ให้ยักเยื้องได้ตามความเหมาะสมของพื้นที่ เป็นคุณสมบัติที่ตรงกับรสนิยมของคนไทยภาคกลาง
น่าจะหาความรู้กันต่อไปว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือมีเหตุผลอย่างใดหรือไม่ ที่ลายนี้ซึ่งเคยมีอยู่ในประเทศไทยสมัยทวารวดี จากนั้นก็ขาดช่วงไปหลายศตวรรษ จึงกลับมาได้รับความนิยมอีกในสมัยกรุงศรีอยุธยา และผ่านลงมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ด้วย
อ่านเพิ่มเติม :
- “ลายกระหนกเป็นของไทย” เป็นเรื่องไม่จริง – ไม่จริง – และไม่จริง!
- หน้าบันปูนปั้นแบบ “วิลันดา” ถึง “กระเท่เซ” สายสัมพันธ์ของวัฒนธรรมทางงานช่างไทย-เทศ
หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทความ “ลายประจำยามก้ามปู ‘ทวารวดี’ ถึง ‘ศรีอยุธยา’ และ ‘รัตนโกสินทร์'” เขียนโดย ศาสตราจารย์ ดร.สันติ เล็กสุขุม ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับมกราคม 2533
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 17 มิถุนายน 2565