ไขปริศนา พระพุทธรูปปาง “ยืนคลายเมื่อย” มีจริงหรือ?

พระพุทธรูปยืน หรือ พระพุทธรูปปางยืนคลายเมื่อย ที่ ศรีลังกา
พระพุทธรูปปางยืนคลายเมื่อย ที่คัลวิหาร เมืองโปลนนารุวะ ประเทศศรีลังกา (ภาพโดย Bernard Gagnon, via Wikimedia Commons)

“พระพุทธรูปยืน” ปางที่คนไทยคุ้นกันดีก็น่าจะมี ปางประทานพร ที่พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้น หงายพระหัตถ์ออกแสดงท่าให้พร รวมถึง ปางประทานอภัย (อภัยมุทรา) ที่ยกพระหัตถ์ซ้าย หรือขวา หรือทั้งสองข้าง ป้องไปข้างหน้า โดยหันฝ่าพระหัตถ์ออกมาแสดงท่าอภัย แต่ที่เราไม่ค่อยคุ้นกันก็คือ พระพุทธรูปปางยืนคลายเมื่อย ซึ่งพบที่ประเทศศรีลังกา

พระพุทธรูปปางยืนคลายเมื่อย ความสูงราว 7 เมตร ประดิษฐานอยู่ที่คัลวิหาร เมืองโปลนนารุวะ ประเทศศรีลังกา มีลักษณะพักเข่าในท่วงท่าตริภังค์ (ยืนโดยเอียงศีรษะ ไหล่ และสะโพก) พระหัตถ์ทั้งสองกอดพระอุระอย่างหลวมๆ เป็นท่ายืนพักผ่อน แต่พระเกตุมาลากลับหายไป ทำให้มีผู้สงสัยว่า หรือพระพุทธรูปองค์นี้จะเป็นพระพุทธสาวก หรือหากเป็นรูปพระพุทธเจ้าแล้วจะเป็นปางอะไร เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน

จากข้อมูลของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ ในหนังสือ “พระพุทธรูปปางต่างๆ ในสยามประเทศ” กล่าวว่า มีผู้อธิบายไว้ว่า พระพุทธรูปองค์นี้น่าจะเป็นพระพุทธรูปปางถวายเนตร ตามเหตุการณ์ในพุทธประวัติ หลังพระองค์เสด็จออกจากรัตนบัลลังก์ที่ตรัสรู้ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ไปยืน “กลางแจ้ง” ลืมพระเนตรบูชาพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา 7 วัน

แต่ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ คุณหญิงไขศรี ก็กล่าวว่า “ปางถวายเนตร” เป็นปางที่เพิ่งคิดในประเทศไทย เมื่อสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งไม่น่าจะเอาไปอธิบายการสร้างพระพุทธรูปที่คัลวิหารในศรีลังกา ซึ่งสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ได้

นอกจากนี้ หากพิจารณาร่องรอยแนวอิฐด้านข้างที่พังลงเหลือสูงจากพื้นดินเพียงฐานพระพุทธรูป ย่อมทำให้รู้ว่า พระพุทธรูปยืน องค์นี้สร้าง “ในอาคาร” ย่อมไม่น่าใช่พระปางถวายเนตรแน่ แต่น่าจะเป็นภาพพระพุทธองค์ทรงยืนอยู่ในพระคันธกุฎี ซึ่ง ศาสตราจารย์เกียรติคุณ คุณหญิงไขศรี อธิบายว่า

“เป็นการสร้างพระพุทธรูปในอิริยาบถยืนเพื่อสำราญพระอิริยาบถ คลายความเมื่อยล้าจากการเดินเป็นระยะทางไกลตามที่มีกล่าวในพระอรรถกถาแห่งพระกสิสูตร” นั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2567