20 มี.ค 1995 : โอมชินริเกียว ถล่มรถไฟใต้ดินญี่ปุ่นด้วย “ซาริน” โกลาหลทั่วโตเกียว!

โชโกะ อาซาฮาร่า เจ้าลัทธิ โอมชินริเกียว และ วินาศกรรม โจมตี รถไฟ ญี่ปุ่น วันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1995
(/ AFP PHOTO / JIJI PRESS / JIJI PRESS)

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538) สมาชิกลัทธิ “โอมชินริเกียว” หรือโอมปรมัตถ์สัจจะ ที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “โอม” ได้ก่อวินาศกรรมอันน่าสะพรึงกลัวกลางกรุงโตเกียว โดยการใช้ “ซาริน” ความเข้มข้น 30% ไร้สีไร้กลิ่น มีฤทธิ์ทำลายระบบประสาท ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บกว่าครึ่งหมื่น

เจ้าลัทธิชื่อดังคือ “โชโกะ อาซาฮาร่า”

เจ้าลัทธินี้คือโชโกะ อาซาฮาร่า มีชื่อจริงว่า ชิซูโอะ มัตสึโมโตะ เกิดเมื่อ ค.ศ. 1955 ที่เกาะคิวชูทางตอนใต้ของญี่ปุ่นในครอบครัวยากจน เขาตาบอดเกือบสนิทแต่ข้างขวายังพอมองเห็นเลือนราง เมื่อโตขึ้นได้เปิดคลินิกฝังเข็มด้วยการรักษาด้วยวิธีฝังเข็ม โยคะ และสมุนไพร โดยได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากภรรยาคือ “โทโมโกะ”

โชโกะ อาซาฮาร่า เจ้าลัทธิ โอมชินริเกียว
โชโกะ อาซาฮาร่า หรือ ชิซูโอะ มัตสึโมโตะ เจ้าลัทธิโอมชินริเกียว (Aum Shinrikyo) (AFP PHOTO / JIJI PRESS / JIJI PRESS)

ชิซูโอะทำตัวเป็นหมอเถื่อนรักษาคนไปทั่วด้วยการต้มยาทำเองแต่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง แม้จะถูกตำรวจจับในปี ค.ศ. 1982 ฐานกระทำการฉ้อโกงและถูกปรับเงินจำนวนหนึ่ง แต่เขาก็ได้เงินเป็นกอบเป็นกำไปเรียบร้อยแล้ว ชิซูโอะตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เป็นครั้งแรกที่ถามตัวเองว่าทำไมจึงมีชีวิตอยู่? อะไรคือสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการ? เพียงเอาชนะความว่างเปล่า? ข้าพเจ้าจะหาให้พบ บางสิ่งบางอย่างที่สมบูรณ์ที่สุด”

ช่วงเวลานั้นในสังคมญี่ปุ่นมีการเติบโตของลัทธิต่าง ๆ อย่างมาก อันเนื่องมาจากการล่มสลายของ “รัฐชินโต” คือพุทธศานานิกายชินโตของญี่ปุ่นที่จักรพรรดิมีสถานภาพเป็นเทพเจ้า ซึ่งถูกลบทิ้งไปโดยสหรัฐอเมริกาหลังจากชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ชิซูโอะจึงเป็นอีกหนึ่งคนที่มีความคิดจะผสมผสานจับเอาแก่นของลัทธิศาสนาเดิมเข้ากับเสน่ห์แห่งความเพ้อฝันมาผสมกันเป็นลัทธิของเขาเอง

ราวปี ค.ศ. 1985 เกิดการตื่นตัวเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ เช่น ยูเอฟโอ การหยั่งรู้ กายทิพย์ การลอยตัว และโทรจิต ชิซูโอะก็อาศัยความตื่นตัวนี้ลงภาพเขากำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศลงบนนิตยสารฉบับหนึ่งในปี ค.ศ. 1986 พร้อมตีพิมพ์คำพูดว่า “ข้าพเจ้าสามารถลอยตัวอยู่ราว 3 วินาที และจะเพิ่มนานขึ้นเรื่อย ๆ”

เมื่อแนวคิดของชิซูโอะมีเป้าหมายชัดเจนมากขึ้น เขาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น โชโกะ อาซาฮาร่า พร้อมกับเริ่มไว้หนวดเคราและสวมเสื้อคลุมขาวเหมือนผู้ทรงศีล อาซาฮาร่าปรับเอาแนวคิดจากความเชื่อ ลัทธิ แนวคิด จากศาสนาต่าง ๆ มาเป็นลัทธิของเขา เช่น พุทธศาสนา นิกายเซน โยคีฮินดู ลัทธิบำเพ็ญตบะ พราหมณ์-ฮินดู ลัทธิอะกอนชู นอสตราดามุส คริสตศาสนา-ไบเบิ้ล เป็นต้น

อาซาฮาร่ามุ่งเน้นไปที่ “วันสิ้นโลก” ที่จะเกิดเหตุการณ์ล้างบางมนุษย์ทุกคน แล้วอ้างว่าจะยุติหรือหลีกเลี่ยงได้หากมานับถือลัทธิของเขา ช่วงเวลานั้นอาซาฮาร่ามักจะออกมาให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่เขาทำนายไว้ เช่น สงครามนิวเคลียร์ สงครามโลกครั้งที่ 3 และเหตุการณ์แผ่นดินไหวโกเบเมื่อต้นปี ค.ศ. 1995 ซึ่งเขาก็ได้เคยทำนายไว้ว่าจะเกิดเหตุภัยพิบัติอย่างรุนแรงในญี่ปุ่น นั่นจึงทำให้ลัทธิโอมฯ เป็นที่นิยมและศรัทธามากยิ่งขึ้น

ลัทธิโอมฯ มีผู้เข้าร่วมหลายพันคนทั่วญี่ปุ่น มีศูนย์แพร่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก อาซาฮาร่ามาตั้งฐานปฏิบัติการของลัทธิใกล้กับภูเขาฟูจิ เรียกว่า “ศูนย์ฟูจิ” โดยใช้เงินกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สร้างเสร็จเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1993 โดยฐานปฏิบัติการแห่งนี้มีทั้งสำนักงาน แผนกวิจัยวิทยาศาสตร์ ห้องขัง โรงพิมพ์ คลินิก รวมทั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่แทบจะไม่มีใครเข้าไปถึงส่วนนี้ เป็นอาณาจักรครบวงจรเลยก็ว่าได้

นักวิทยาศาสตร์ของลัทธิโอมฯ มุ่งผลิตซารินด้วยความกระตือรือร้น โดยได้รับวัตถุดิบและอุปกรณ์ที่พร้อมสนับสนุนการปฏิบัติงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เครื่องกำเนินไฟฟ้าขนาดใหญ่ เครื่องวิเคราะห์และแยกส่วนประกอบก๊าซ เครื่องวัดปริมาณสีของสารละลาย และนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในทุก ๆ ส่วนเพื่อควบคุมการผลิตด้วยระบบอัตโนมัติ เสมือนเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดย่อม ๆ

“ใหญ่กว่า ทันสมัยกว่า และคุณภาพดีกว่าโรงงานก๊าซเคมีของอิรัก” คือคำพูดของสมาชิกระดับผู้เชี่ยวชาญที่มาตรวจฐานปฏิบัติการแห่งนี้ กลุ่มมีการตั้งเป้าไว้ว่าต้องการผลิตให้ได้ก๊าซทำลายประสาทวันละ 2 ตัน และจะใช้ซารินจำนวน 70 ตันจึงจะพอสังหารผู้คนได้หลายล้านคน

ซาริน มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทโดยเบื้องต้นเมื่อสูดดมก๊าซนี้จะทำให้น้ำมูกน้ำลายไหล แน่นหน้าอก ม่านตาหดเหลือเท่าหัวเข็มหมุด ตาพร่ามัว กล้ามเนื้อเกร็ง เหงื่อออกมากผิดปกติ คลื่นเหียน อาเจียน หายใจลำบาก ไม่สามารถกลั้นอุจจาระหรือปัสสาวะได้ จากนั้นอาการจะรุนแรงมากขึ้นจนเริ่มชักกระตุก ซวนเซ สับสน ปวดหัวรุนแรง อัมพาต โคม่า และจะเสียชีวิตเนื่องจากหายใจไม่ออกเพราะซารินไปทำลายระบบหายใจ

ซารินถล่มโตเกียว

สมาชิกลัทธิโอมจำนวน 5 คน มีเป้าหมายในการใช้ก๊าซพิษนี้โจมตีประชาชนชาวญี่ปุ่นที่กำลังเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินในกรุงโตเกียว โดยเลือกช่วงเวลาประมาณ 8 โมงเช้า เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีคนพลุกพล่านมากที่สุด ทั้ง 5 คนเลือกนั่งขบวนรถไฟที่จะผ่านย่านคาซูมิกาเซกิในเวลาพร้อม ๆ กันเพื่อปฏิบัติการ เนื่องจากย่านนี้เป็นย่านที่ตั้งของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาลญี่ปุ่น

สมาชิก 5 คน ประกอบไปด้วย

รถไฟสายชิโยดะ – อิกุโอะ ฮายาชิ ศัลยแพทย์โรคหัวใจ

รถไฟสายฮิบิยะ – มาซาโตะ โยโกยาม่า จบการศึกษาด้านฟิสิกส์ประยุกต์

รถไฟสายฮิบิยะ – โตรุ โตโยดะ กำลังศึกษาปริญญาโทฟิสิกส์โมเลกุล

รถไฟสายมารุโนอุชิ – เคนิชิ ฮิโรเซ่ จบการศึกษาด้านฟิสิกส์ประยุกต์

รถไฟสายมารุโนอุชิ – ยาสุโอะ ฮายาชิ วิศวกรไฟฟ้า

ผู้ปฏิบัติการทั้ง 5 คน ใน 5 สายรถไฟใต้ดินได้บรรทุกถุงใส่ซารินขึ้นไป พวกเขาจะห่อถุงก๊าซด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อีกชั้นหนึ่ง ก่อนจะนำไปวางในขบวนรถไฟแล้วใช้ของปลายแหลม เช่น ปลายร่ม ทิ่มถุงให้ทะลุ จากนั้นเวลาประมาณ 8.10 ทีมทั้ง 5 คนได้ขึ้นจากสถานีรถไฟใต้ดินแล้วก็แยกกันขึ้นรถที่คอยเตรียมไว้หลบหนีไปเซฟเฮาส์

ซารินมีสถานะเป็นของเหลว มันเจิ่งนองไปทั่วทั้งขบวนรถไฟแต่ไม่มีใครสงสัย กลับเหยียบย่ำของเหลวเหล่านั้นซึ่งยิ่งกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาและเกิดก๊าซพิษอย่างรวดเร็ว ผู้โดยสารในขบวนรถไฟเริ่มมีอาการเบื้องต้นตามที่กล่าวมาแล้ว กระทั่งเกิดความวุ่นวายโกลาหล มีการประกาศผ่านลำโพงในขบวนรถไฟว่าเกิดเหตุก๊าซระเบิด ชาวญี่ปุ่นเริ่มอพยพออกไปจากสถานีในสภาพน่าเวทนา บางคนล้มลงน้ำลายฟูมปาก บางคนมีอาการชักอย่างรุนแรง

เมื่อขึ้นมาบนถนนก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ต่างก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด บางคนเลือดออกจมูกและปาก คนจำนวนมากล้มตัวลงนอนเกลื่อนทางเท้า แต่กลับไม่มีเสียงร้องโอดโอยเพราะก๊าซพิษได้ทำลายระบบปอดจนเป็นอัมพาตทำให้พูดไม่ได้ เจ้าหน้าที่รถไฟได้รีบอพยพผู้คนออกมาจากสถานีแล้วปิดป้ายประกาศที่ทำอย่างลวก ๆ แปะว่า “ปิดบริการเนื่องจากถูกผู้ก่อการร้ายโจมตี”

มีชายคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่มีอาการอะไรมากกลับบ้านไปแล้วให้ภรรยารีดสูทเพื่อใส่ในวันรุ่นขึ้น แต่ปรากฏว่าสารซารินเพียงเล็กน้อยที่ติดอยู่ตามสูททำให้ทั้งคู่มีอาการคลื่นเหียนและปวดศีรษะมากพอ ๆ กัน ในโรงพยาบาลจึงมีการใช้มาตรการเผาเสื้อผ้าทิ้งให้หมด

ทหาร ญี่ปุ่น ทำความสะอาด รถไฟ หลัง โอมชินริเกียว โจมตี ด้วย ก๊าซพิษ
ทหารจากกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นสวมชุดป้องกันก๊าซพิษ เข้าไปทำความสะอาดรถไฟใต้ดิน เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1995 (Photo by JIJI PRESS / AFP)

ประหาร โอมชินริเกียว

จากเหตุวินาศกรรมนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 13 คน บาดเจ็บมากกว่า 6,000 คน มีสตรีคนหนึ่งที่โดนก๊าซพิษละลายคอนแทกต์เลนส์ถึงลูกตาจนแพทย์ต้องผ่าตัดควักออกทั้งสองข้าง พวกลัทธิโอมฯ พยายามย้ายของออกจากศูนย์ฟูจิ และพยายามทำตัวให้ “ปกติ” เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทางตำรวจและผู้สื่อข่าวต่างสงสัยว่าวินาศกรรมครั้งนี้ต้องมาจากพวกลัทธิใดลัทธิหนึ่ง แต่ไม่ได้พุ่งประเด็นว่า อาซาฮาร่ากับลัทธิโอมฯ จะอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้

ในวันที่ 22 มีนาคม ตำรวจบุกตรวจค้นศูนย์ที่ทำการของลัทธิโอมฯ ทั่วประเทศ โดยที่ศูนย์ฟูจิพบสารเคมีจำนวนมาก มีทั้งโซเดียมไซยาไนด์-ไฮโดรคลอริก แอซิด-คลอโรฟอร์ม-ฟีนีลาเซโทนีทริล สำหรับทำสารกระตุ้น กลีเซอรินสำหรับทำวัตถุระเบิด เป๊ปโทนจำนวนมากสำหรับเพาะเชื้อแบคทีเรีย และสารต่าง ๆ อีกจำนวนมาก ซึ่งรวมไปถึงสารประกอบสำคัญสำหรับซาริน

อย่างไรก็ตาม ตำรวจยังไม่สามารถเชื่อมโยงเรื่องเหล่านี้กับอาซาฮาร่าได้ว่าเป็นผู้อยู่เบื่องหลังการโจมตีด้วยซารินที่รถไฟใต้ดินกรุงโตเกียว ตำรวจตรวจค้นศูนย์ของลัทธิไปหลายวัน และยิ่งพบความดำมืดของลัทธินี้มากขึ้น เช่น การลักพาตัว มีห้องเผาศพ พบถังสารเคมีนับพันถัง และพบเงินจำนวนมหาศาล ตำรวจดำเนินการจับกุมสมาชิกลัทธิโอมฯ กว่า 100 คน แต่ยังไม่ได้ตัวอาซาฮาร่า กระทั่งตำรวจสามารถจับกุม โชโกะ อาซาฮาร่า ได้ในวันที่ 16 พฤษภาคม และทำงานอย่างหนักในการสืบหาข้อมูลเชื่อมโยงลัทธิโอมฯ กับวินาศกรรมที่เกิดขึ้น

ชาวญี่ปุ่นไม่ได้วางใจว่าการจับกลุ่มหัวหน้าลัทธิโอมฯ จะทำให้พวกเขาหายห่วงไปได้ จากวินาศกรรมที่เกิดขึ้นทำให้ธุรกิจรถแท็กซี่เติบโตขึ้นอย่างมากเพราะคนหวาดกลัวการใช้รถไฟใต้ดินจึงหันไปใช้รถแท็กซี่แทน บางส่วนที่จำเป็นต้องเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินก็เกิดความรู้สึก “ระแวง” ที่จะใช้บริการ

ชาวญี่ปุ่นจะดมกลิ่นในขบวนรถไฟ และมักตื่นตระหนกเมื่อได้กลิ่นแปลก ๆ ทั้งที่เป็นกลิ่นโชยมาจากห่อปลา บางคนจากที่เคยนั่งหลับก็จะตื่นตัวเสมอ เมื่อมีเสียง ไอ จาม หรือของตกพื้นก็ทำให้คนสะดุ้งทั้งขบวน

ท้ายที่สุด โชโกะ อาซาฮาร่า โดนดำเนินคดี 10 ข้อหา รวมทั้งฆ่าคนตาย 23 กระทง แต่ตัวเขายังปฏิเสธข้อกล่าวหา ทั้ง ๆ ที่สมาชิกลัทธิโอมฯ กว่า 99% สารภาพ

ปลายปี ค.ศ. 1995 ตำรวจยังจับกุมสมาชิกลัทธิโอมฯ ได้อีกกว่า 350 คน บางคนถูกปล่อยตัว บางคนก็ถูกดำเนินคดี และได้เริ่มดำเนินคดีทางกฎหมายกับอาซาฮาร่าและแกนนำคนสำคัญของลัทธิเมื่อปี ค.ศ. 1996 ในข้อหาฆ่าและพยายามฆ่า ลักพา ผลิตยาต้องห้าม และข้อหาอื่น ๆ ซึ่งเป็นข้อหาหนักทั้งสิ้น

กระทั่งได้มีการตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอแกนนำลัทธิโอมฯ 13 คน เมื่อ เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2018 ปิดฉากลัทธิโอมชินริเกียวที่ดำเนินมาเกือบ 30 ปี

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

David E. Kaplan and Andrew Marshall.  (2544).  โอมชินริเกียว ลัทธิมหาภัย.  แปลโดย โรจนา นาเจริญ.  กรุงเทพฯ: มติชน.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 20 มีนาคม 2562