ผู้เขียน | ธนกฤต ก้องเวหา |
---|---|
เผยแพร่ |
“ที่ไหนมีกระแสน้ำขึ้นลง ที่นั่นมีคนแต้จิ๋ว
ที่ไหนมีคนแต้จิ๋ว ที่นั่นมีงิ้วแต้จิ๋ว”
เป็นประโยคที่นิยาม งิ้วแต้จิ๋ว หรือการแสดงละครงิ้ว เมืองแต้จิ๋ว ประเทศจีน ซึ่งมีความเก่าแก่ร่วม 600 ปี โดดเด่นด้วยการขับร้องสำเนียงแต้จิ๋ว นักแสดงเคลื่อนไหวอย่างงดงามอ่อนช้อย คู่ดนตรีพื้นบ้าน ทรงคุณค่าจนได้รับการขนานนามว่า “ดอกไม้แห่งภาคใต้”
พ.ศ. 2568 เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน โอกาสพิเศษนี้ ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ผนึกกำลังพันธมิตร นำซอฟต์พาวเวอร์ ระดับโลกจากแผ่นดินจีน ศิลปะการแสดงงิ้วชั้นสูงสุดยิ่งใหญ่ ในชื่อ “มหาอุปรากรสะท้านปฐพี” โดยคณะกึงตังเตี่ยเกี๊ยะอิ๊กท้วง คณะอุปรากรแต้จิ๋วอันดับ 1 จากซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง บินตรงมาจัดแสดงที่ไทยแบบจัดเต็ม 7 วัน 16 เรื่อง!
ทำไมต้อง “งิ้วแต้จิ๋ว” ?
ปฏิเสธไม่ได้ว่า งิ้วแต้จิ๋วคือคณะงิ้วอันดับ 1 ของจีน เพราะมีเกียรติประวัติกึกก้องด้วยรางวัลระดับชาติ นำโดยศิลปินเจ้าบทบาท เยาเสวียนเชียว (Yao Xuanqiu) และผู้ชนะรางวัล The China Theatre Plum Blossom Award ที่สุดแห่งรางวัลเชิดชูเกียรติด้านการแสดงละครเวทีของสาธารณรัฐประชาชนจีน
งิ้วแต้จิ๋วเป็นศิลปะการแสดงอันเก่าแก่อายุเกือบ 600 ปี มีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่งและราชวงศ์หยวน มีเอกลักษณ์ท่วงท่าอ่อนช้อยสวยงาม เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเสียงดนตรีพื้นบ้าน และขับร้องด้วยสำเนียงจีนแต้จิ๋ว งิ้วแต้จิ๋วนับว่ามีชั้นเชิงศิลปะการแสดงที่เหนือกว่างิ้วอื่น ๆ เรื่องที่เล่นก็มีความหลากหลาย และมักเล่าเรื่องราวที่ร่วมสมัยกว่างิ้วอื่น จึงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของชาวจีนเชื้อสายแต้จิ๋วกว่า 30 ล้านคนทั่วโลก
ความยิ่งใหญ่ของงิ้วแต้จิ๋วยังเทียบได้กับการแสดงระดับโลกอย่าง “โอเปร่า” ของโลกตะวันตก เพราะมีทั้งการร่ายรำ ศิลปะการต่อสู้ผสานกับดนตรีสด รุ่มรวยไปด้วยสีสัน ความวิจิตรตระการตาของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และระบบแสง สี เสียง ที่ถูกยกระดับให้ทันสมัย ไม่ตกยุค ทั้งหมดล้วนเติมเต็มอารมณ์สุนทรีย์ให้ผู้ชมได้รับประสบการณ์อันยอดเยี่ยมระหว่างรับชมศิลปะการแสดงสุดล้ำค่านี้

ความเป็นมาของ “งิ้ว”
ศิลปะความบันเทิงประจำชาติจีนอย่าง “งิ้ว” เกิดขึ้นช้ากว่าชาติอู่อารยธรรมอื่น ๆ อย่าง อินเดีย, กรีก ฯลฯ ที่มีศิลปะความบันเทิงมาก่อน เนื่องจากอิทธิพล ลัทธิขงจื๊อ ที่ไม่เน้นความบันเทิง มองเป็นเรื่องไร้สาระ งิ้วจึงเพิ่งเกิดเมื่อราว 1,500 ปีก่อน ในสมัยราชวงศ์ถัง โดยเน้นสอนคุณธรรมตามหลักขงจื๊อ ก่อนจะพัฒนาจนเป็นต้นแบบงิ้วสมัยใหม่ในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ แล้วแพร่หลายไปตามมณฑลต่าง ๆ กลายเป็นงิ้วนับร้อยชนิด
อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์จีนบางคนชี้ว่า งิ้วอาจเริ่มมีตั้งแต่สมัยเลียดก๊ก หรือ 2,000 กว่าปีก่อน จากการแสดงผสานการขับร้องและบทเจรจาประกอบลีลา เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ แต่ดัดแปลง แต่งเติมให้สนุกสนาน โดยเริ่มจากแสดงภายในพระราชวัง
ถาวร สิกขโกศล นักวิชาการด้านจีนวิทยา ให้ความเห็นว่า การแสดงงิ้วกำเนิดขึ้นอย่างเป็นล่ำเป็นสันในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ (ค.ศ. 960-1279) ดังพบหลักฐานว่ามีการเล่นละครงิ้วที่เมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง
ไม่ว่าต้นกำเนิดของงิ้วคือสมัยใด งิ้วก็ได้แพร่หลายไปทั่วแผ่นดินจีน จนปัจจุบันประเทศจีนมีงิ้วอยู่ราว 200 ชนิด โดยมี “10 งิ้วที่ยิ่งใหญ่” ได้แก่ 1. งิ้วปักกิ่ง 2. งิ้วคุนฉี่ว์ หรือคุนจี้ว์ 3. งิ้วผิงอี้ว์ 4. งิ้วจิ้นจี้ว์ 5. งิ้วกุ้ยจี้ว์ 6. งิ้วฉินเซียง 7. งิ้วหวงเหมย 8. งิ้วเย่ว์จี้ว์ 9. งิ้วกวางตุ้ง และ 10. งิ้วแต้จิ๋ว
ส่วนหนึ่งที่ทำให้งิ้วแพร่หลาย เพราะงิ้วตั้งใจถ่ายทอด “คุณธรรม” ตามคำสอนขงจื๊อ การดูงิ้วจึงเป็นจุดบรรจบให้ผู้คนโบราณยุคที่การศึกษายังไม่ครอบคลุมสามารถพูดคุยถกเถียงเรื่องความผิดชอบชั่วดีกันได้ เพราะคนที่รู้หนังสืออ่านเรื่องเหล่านี้ได้จากตำรา ส่วนคนที่อ่านไม่ออกก็รู้จากการดูงิ้ว
คนไทยรู้จัก “งิ้ว” เมื่อไหร่ ?
หลักฐานงิ้วในไทยปรากฏอยู่ในบันทึกของ บาทหลวงชัวซีย์ ผู้เข้ามากรุงศรีอยุธยาเพื่อเจริญไมตรี เมื่อ ค.ศ. 1685 (พ.ศ. 2228) สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กล่าวถึงการแสดงในงานฉลองที่บ้านของพระยาวิชเยนทร์ (คอนแสตนติน ฟอลคอน) นักเดินทางและพ่อค้าชาวกรีก ที่ภายหลังรับราชการในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ดังข้อความตอนหนึ่งว่า “งานฉลองปิดท้ายรายการลงด้วยงิ้วหรือโศกนาฏกรรมจีน มีตัวแสดงจากมณฑลกวางตุ้งคณะหนึ่ง และจากเมืองจินเจาคณะหนึ่ง”
ในบันทึกของ ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศส ก็กล่าวถึงการแสดงงิ้วเพื่อต้อนรับราชทูตฝรั่งเศส แสดงให้เห็นว่า งิ้วในสมัยนั้นเป็นการแสดงที่มีสถานะ “วัฒนธรรมชั้นสูง”
เอกสารอีกชิ้นคืองานเขียนของ พระสันทัดอักษร คือหนังสือ “ศัพท์ไทย” เล่าถึง พ.ศ. 2367 (ค.ศ. 1824) ปีสุดท้ายของรัชกาลที่ 2 ว่า “ประวัติงิ้วในเมืองไทยที่เข้ามาเล่นเป็นครั้งแรกในไทยนั้นเรียกว่า ‘งิ้วลั่นถั่น’ หรือ ‘ไซฉิน’ ครั้งต่อมางิ้วลั่นถั่นกลายเป็นงั่วกัง…”
พระสันทัดอักษรยังบันทึกความนิยมงิ้วในสมัยรัชกาลที่ 5 ใน “ตำนานงิ้วเมืองไทย” ว่า
“ความนิยมงิ้วของเรามากขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งถึงเป็นเจ้าของก็มี เช่น คุณจ่ามีงิ้ว 1 โรง ขุนพัฒน์แหยมมีงิ้วถึง 4-5 โรง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ มีงิ้วงั่วกงโรงหนึ่ง และพระองค์ท่านยังมีงิ้วเล่าแป๊ะอีกโรงหนึ่ง
แม้ที่สุดกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ในรัชกาลที่ 5 ก็ทรงเป็นเจ้าของโรงงิ้วโรงหนึ่ง ยังเรียกกันติดปากจนบัดนี้ว่างิ้ววังหน้า ซึ่งทรงรวบรวมลูกจีนและมหาดเล็กเด็กชายในพระองค์หัดขึ้นจนออกโรงเล่นได้เป็นอย่างไรดี นอกจากนี้ยังมีเจ้านาย ข้าราชการ และคหบดีอีกมากมาย หลายพระองค์หลายท่านที่เป็นเจ้าของโรงงิ้ว”
มีหลักฐานว่าในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ งิ้วเป็นส่วนหนึ่งของพิธีในราชสำนัก อาทิ งิ้วประกอบพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในการสร้างพระเมรุมาศถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ ท้องสนามหลวง เมื่อ พ.ศ. 2354 (ค.ศ. 1811) ซึ่งมีการสร้าง “โรงโขน โรงละคร โรงงิ้ว สิ่งละ 2 โรง”
บันทึกสมัยรัชกาลที่ 5 ระบุด้วยว่า ชาวจีนในไทยยังนิยมว่าจ้างงิ้วจากจีนมาแสดงในงานประจำปี โดยมักจ้างเป็นระยะเวลาประมาณ 4 เดือน งิ้วจากจีนที่เข้ามาแสดงในไทยยุคนั้นไม่ใช่งิ้วแต้จิ๋ว ทว่าเป็นงิ้ว 4 ประเภทคือ งิ้วงั่วกัง งิ้วเจี่ยอิม งิ้วแป๊ะหยี่ และงิ้วไซฉิ้ง
ขณะที่งิ้วแต้จิ๋วเริ่มเข้ามาในภายหลัง และทำให้งิ้วชนิดอื่นลดความนิยมลง งิ้วต่าง ๆ ที่เคยถูกว่าจ้างให้แสดงในศาลเจ้าประจำทุกปีก็กลายเป็นงิ้วแต้จิ๋ว เนื่องจากชาวจีนในไทยเป็นชาวจีนแต้จิ๋วจำนวนมาก หลังจากนั้นงิ้วแต้จิ๋วก็แพร่หลายตามงานศาลเจ้าเรื่อยมา
กำเนิด “บุปผาแห่งแดนใต้”
พื้นที่ที่เราเรียกว่า แต้จิ๋ว ประกอบด้วย 3 จังหวัดใหญ่ ได้แก่ ซัวเถา แต้จิ๋ว และกิ๊กเอี๊ย อยู่ทางตะวันออกสุดของมณฑลกวางตุ้ง มณฑลชายฝั่งทะเลทางตะวันออกของแผ่นดินจีน แต้จิ๋วเป็นถิ่นอุดมสมบูรณ์ แต่ภัยธรรมชาติรุนแรง พื้นที่เชื่อมต่อทางบกสู่แผ่นดินตอนใตค่อนข้างปิด เพราะมีเทือกเขากั้น แต่เปิดโล่งทางทะเล หล่อหลอมให้คนจีนแต้จิ๋วมีอัตลักษณ์ของตนเองที่ต่างจากจีนกวางตุ้งและจีนแคะ แม้จะอยู่ในมณฑลกวางตุ้งด้วยกัน
อาจารย์ถาวร เล่าไว้ในหนังสือ “แต้จิ๋ว: จีนกลุ่มน้อยผู้ยิ่งใหญ่” (มติชน : 2554) ว่า คนจีนแต้จิ๋วเป็นคนเจ้าระเบียบ ประณีต ละเอียดอ่อน จนกล่าวได้ว่า “ติดกรอบไม่ใช่กวางตุ้ง มักง่ายไม่ใช่แต้จิ๋ว”

คนกวางตุ้งกับคนแต้จิ๋วมีจุดอ่อนร่วมกันคือขาดหลักการ มองการณ์ไกลไม่เก่ง แต่คนกวางตุ้งจะไม่ติดกรอบ เลยปรับตัวเร็วกว่าคนแต้จิ๋ว รับสิ่งแปลกใหม่หรือเทคโนโลยีจากตะวันตกมาปรับใช้ง่ายกว่า ส่วนความโดดเด่นของคนแต้จิ๋วคือ ชอบค้าขาย และรักในน้ำใจไมตรี (重情)
หลังมีงิ้วเป็นเรื่องเป็นราวในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ งิ้วภาคใต้ก็แตกออกเป็น 2 ชนิด คืองิ้วที่เข้าไปเมืองนานกิง กลายเป็น “งิ้วคุนซาน” กับงิ้วที่เข้าไปเมืองอื่น ซึ่งกลายเป็น “งิ้วแต้จิ๋ว” ช่วงแรกจะร้องเป็นภาษากลางยุคราชวงศ์หยวนก่อนแล้วจึงเริ่มแทรกภาษาแต้จิ๋ว พัฒนาเป็นตัวละครขุนนางร้องภาษาแต้จิ๋ว เจรจาเป็นภาษากลาง ส่วนตัวละครชาวบ้านจะร้องแต้จิ๋ว ภายหลังถึงกลายมาเป็นร้องแต้จิ๋วหมด
งิ้วแต้จิ๋วในยุคแรกยังสัมพันธ์กับ “ละครงิ้วเฉาโจว” ซึ่งบันทึกประวัติศาสตร์ระบุว่า มาจากละคร ลิวซีปี๊ยต้ากำจี้ เมื่อ ค.ศ. 1431 (พ.ศ. 1974) หรือเกือบ 600 ปีก่อน ณ บริเวณภาคใต้ของจีน ในมณฑลกวางตุ้ง
ละครงิ้วเฉาโจวคือเอกลักษณ์ท้องถิ่นแต้จิ๋วอย่างแท้จริง ไม่ว่านักแสดงชาย นักแสดงหญิง หรือนักแสดงตลก ล้วนมีบทบาทเฉพาะตัวโดดเด่น โดยเฉพาะตัวตลกที่ค่อนข้างหลากหลาย ท่วงท่าอ่อนช้อย งดงาม และประณีต ขณะเดียวกันยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวาจากการเคลื่อนไหวด้วยลีลาเร้าใจและทักษะเข้มงวด แสดงร่วมกับเพลงพื้นบ้านแต้จิ๋วกว่า 200 เพลง และเพลงทั่วไปอีกกว่า 1,000 เพลง โดยการร้องเพลงส่วนใหญ่จะใช้เสียงจริง และใช้โน้ตโบราณที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ งิ้วจึงช่วยรักษามรดกทางเสียงดนตรีเพื่อการศึกษาเสียงละครจีนด้วย
ทั้งนี้ เครื่องดนตรีละครงิ้วเฉาโจวจะปรับจูนกันอย่างดี เพื่อสร้างเสียงดนตรีประกอบที่มีความไพเราะ เสียงประสานหลายเสียงจึงเด่นชัดเป็นพิเศษ
หลังการก่อตั้งประเทศจีนใหม่โดยพรรคคอมมิวนิสต์ คณะงิ้วเฉาโจวดำเนินการปฏิรูปงิ้วภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ยกเลิกระบบนักแสดงเด็ก ก่อตั้งคณะงิ้วเฉาโจวมืออาชีพ และโรงเรียนเฉพาะเพื่อฝึกฝนบุคคลพร้อมทักษะในศิลปะละครและเพลงจีน ฟื้นฟูตัวเองด้วยความมีชีวิตชีวา มีพลังแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
คณะงิ้วเฉาโจวได้ไปจัดแสดงที่ปักกิ่งเป็นครั้งแรกในปี 1956 (พ.ศ. 2499) โดยมี เหมา เจ๋อตง (Mao Zedong), หลิวเส้าฉี (Liu Shaoqi), โจวเอินไหล (Zhou Enlai) ผู้นำพรรค และรัฐอื่น ๆ เข้าร่วมชมการแสดง
เหมยหลานฟาง (Mei Lanfang) ปรมาจารณ์งิ้วจีนแห่งกรุงปักกิ่งที่ร่วมชมด้วยถึงกับชื่นชมการแสดงครั้งนั้นว่า “ผมดูงิ้วทั่วประเทศจีนมาแล้วกว่า 200 ชนิด ไม่มีดนตรีของงิ้วชนิดใดไพเราะและอุดมด้วยศิลปะแห่งการแสดงเสมอด้วยดนตรีงิ้วแต้จิ๋ว”
ปี 1980 (พ.ศ. 2523) ซี จงซวิน (Xi Zhongxun) เลขาธิการพรรคกวางตุ้ง (สาขาย่อยพรรคคอมมิวนิสต์จีน) ชมละครคณะงิ้วเฉาโจว และกล่าวกับนักแสดงว่า คณะละครงิ้วเฉาโจวสมควรที่จะเป็น “ดอกไม้ในภาคใต้” รวมถึง สี จิ้นผิง (Xi Jinping) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ผู้นำจีนคนปัจจุบัน ก็ยกย่องสมบัติทางวัฒนธรรมจีนอย่างนักแสดงคณะงิ้วเฉาโจวอย่างมาก
ดังคำกล่าวว่า “ที่ไหนมีกระแสน้ำขึ้นลง ที่นั่นมีคนแต้จิ๋ว ที่ไหนมีคนแต้จิ๋ว ที่นั่นมีงิ้วแต้จิ๋ว” งิ้วแต้จิ๋วที่คณะงิ้วเฉาโจวนำเสนอและสืบทอดกันมานับร้อย ๆ ปี ได้แพร่กระจายติดตามชนชาวแต้จิ๋วจากมณฑลกวางตุ้งทางตอนตะวันออก มณฑลฝูเจี้ยนตอนใต้ สู่ไต้หวัน ฮ่องกง เกาะไหหลำ คาบสมุทรเล่ยโจว และไปยังประเทศไทย สิงคโปร์ กัมพูชา เวียดนาม และสถานที่ที่ชาวจีนโพ้นทะเลตั้งถิ่นฐาน
กลายเป็นสะพานวัฒนธรรม สายสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณที่เชื่อมโยงชาวแต้จิ๋วกว่า 30 ล้านคนทั่วโลก

“งิ้วแต้จิ๋ว” เบ่งบานในเมืองไทย
แม้ “งิ้วปักกิ่ง” ที่เกิดจากการผสมผสานงิ้วต่างถิ่นที่เข้าไปเล่นในกรุงปักกิ่ง จนพัฒนาเป็นงิ้วชนิดใหม่ที่มีสถานะทางศิลปะสูงสุดเมื่อปี 1790 (พ.ศ. 2333) เป็นงิ้วเมืองหลวงที่ได้รับยกย่องว่าเป็น “งิ้วประจำชาติ” ของจีน แต่ “งิ้วแต้จิ๋ว” ถือว่าเป็นงิ้วที่ทั้งเก่าแก่และแพร่หลายกว่ามากในถิ่นจีนโพ้นทะเล
ความโดดเด่นของงิ้วแต้จิ๋วคือการเป็นงิ้วเก่าแก่ที่มีพัฒนาการต่อเนื่อง เรียกว่าไม่เคย “ตาย”
นอกจากนี้ ยังเป็นเพราะไทยเองด้วยที่ช่วยสืบทอดไม่ให้งิ้วแต้จิ๋วเสื่อมหายไป จากยุคที่จีนเกิดจลาจล มีสงครามกลางเมือง และสงครามกับญี่ปุ่น ช่วงเวลานั้นงิ้วเก่าแก่หลายชนิด เช่น งิ้วคุนฉี่ว์ เกือบจะสูญสิ้นไปจากแผ่นดินจีนแล้ว รัฐบาลถึงกับต้องเชิญศิลปินเก่าแก่มาช่วยฟื้นฟูในช่วงหลัง งิ้วแต้จิ๋วกลับมีไทยเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ (ชั่วคราว) ระหว่างปี 1925-1957 ก่อนส่งกลับแผ่นดินจีนเมื่อการเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ
ช่วงเวลาดังกล่าว กรุงเทพฯ เหมือนเป็นศูนย์กลางงิ้วแต้จิ๋วโลก ถนนเยาวราชมีโรงงิ้วสำหรับคณะงิ้วแสดงประจำอยู่ถึง 10 แห่ง และเปิดแสดงทั้งกลางวัน-กลางคืน กระทั่งในสมัย รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ออกนโยบายให้ปิดโรงเรียนจีน บรรดาครูงิ้วที่มาอยู่ไทยจึงเดินทางกลับจีน
ราว ค.ศ. 1960 เริ่มมีคณะงิ้วแต้จิ๋วจากฮ่องกงเข้ามาในไทยและได้รับความนิยมอย่างสูง แต่ 10 ปีต่อมาก็ต้องยุติกิจการ เพราะรัฐบาลไทยประกาศห้ามงิ้วจากฮ่องกงแสดงในไทยจากปัญหาทางการเมือง ช่วงเดียวกันนั้นเริ่มเกิดการบรรยายภาษาไทยข้างเวทีงิ้ว เพราะคนไทยสนใจดูงิ้วมากขึ้น โดยเฉพาะที่แสดงตามศาลเจ้า ซึ่งช่วงหัวค่ำจะเป็นงิ้วเรื่องบู๊ มีการต่อสู้ สนุกสนาน เรื่องราวของงิ้วแต้จิ๋วจึงอยู่ในความรับรู้ ความทรงจำของคนไทยเรื่อยมา

“มหาอุปรากรสะท้านปฐพี” พา “งิ้วแต้จิ๋ว” อันดับ 1 จากจีนมาโชว์ที่ไทย
หลายทศวรรษที่ผ่านมา ความนิยมของงิ้วลดลงอย่างมาก โรงเรียนสอนงิ้วและโรงงิ้วที่เคยมีอยู่ตามถนนสายเยาวราชปิดตัวลง โรงงิ้วที่ให้ความบันเทิงค่อย ๆ หายไป มีเพียงแค่คณะงิ้วที่เร่เดินทางไปแสดงตามศาลเจ้าต่างๆ ในงานฉลองประจำปี สาเหตุมาจากความบันเทิงรูปแบบใหม่ที่เพิ่มเข้ามา รวมถึงภาพยนตร์ “งิ้ว” จากฮ่องกง
แม้งิ้วจะเสื่อมความนิยมลง แต่งิ้วแต้จิ๋วยังคงเป็นศิลปะการแสดงที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมดั้งเดิมจีน แฝงเร้นไปด้วยความงดงามของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีน ดังนั้น การได้ชมงิ้วสด ๆ จึงเป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง
เป็นที่มาของ “มหาอุปรากรสะท้านปฐพี” เนื่องในวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน โดย เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) พร้อมพันธมิตร นำการแสดงศิลปะชั้นสูง หาชมยาก “งิ้วแต้จิ๋ว” จากซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน มาจัดแสดงที่ไทย ด้วยนักแสดงยอดฝีมือ 80 ชีวิต พร้อมการแสดงตลอด 7 เต็ม 16 เรื่อง โดย “คณะกึงตังเตี่ยเกี๊ยะอิ๊กท้วง” คณะอุปรากรแต้จิ๋วอันดับ 1 จากจีน แสดงสด ดนตรีสด ร้องจริงทุกรอบ พร้อมคําบรรยายจีนและไทย
ไฮไลต์เด็ด 7 วัน สุดยอดการแสดง 16 เรื่อง
วันที่ 10 ก.ค. 2568 : ยุทธภูมิ “สี่หนึ่งจิว” เรื่องราวของ “ตั่งเปี๊ยะเนี้ย” ตัวแทนของผู้หญิงที่เข้มแข็ง นอกเหนือจากหน้าที่ภรรยา แต่ยังมีบทบาทสำคัญในสงคราม กับการลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อส่วนรวม แสดงถึงความกล้าหาญ และความเสียสละเพื่อชาติ
วันที่ 11 ก.ค. 2568 : ราชินีฮั่งบุ๊ง เรื่องราวของ “ฮองเฮาโต้วจี” ผู้ยึดมั่นในหลักการแม้จะต้องเจ็บปวดใจที่ต้องสั่งประหารชีวิตน้องชายของตนเอง แสดงถึงการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล ความยุติธรรมต้องไม่ลำเอียง และผู้มีอำนาจต้องรู้แยกแยะสิ่งที่ถูกกับสิ่งที่ควร
วันที่ 12 ก.ค. 2568 : กตัญญูสู้อยุติธรรม เรื่องราวของ “เหี่ยเหง็กบ๊วย” ที่กล้ายืนหยัดต่อต้านการล่วงละเมิด แม้จะต้องเผชิญอันตรายและถูกใส่ร้าย แสดงถึง “เกียรติ ศักดิ์ศรี และความเข้มแข็ง” ของหญิงในสังคมโบราณ ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อความยุติธรรม โดยยึดหลักความถูกต้อง กล้าหาญ และไม่กลัวต่ออำนาจของขุนนางผู้ใหญ่
วันที่ 13 ก.ค. 2568 : พระโมคคัลลานะโปรดมารดา เรื่องราวของ “พระโมคคัลลานะ” ที่ยอมเสี่ยงชีวิต เพื่อช่วยมารดาจากขุมนรก ถ่ายทอดเรื่องราวความกตัญญูอันน่าสะเทือนใจ ย้ำเตือนให้คนประพฤติดี และสอนลูกหลานให้มีความกตัญญู ถือเป็นแบบอย่างสำคัญของการสืบทอดคุณธรรม
วันที่ 14 ก.ค. 2568 : องค์หญิงโป๊ยป้อและเต็กเช็ง เรื่องราวความรักท่ามกลางสงครามของ “องค์หญิงโป๊ยป้อ” กับ “เต็กเช็ง” นักรบผู้กล้า สะท้อนให้เห็นคุณค่าของการยึดมั่นในหน้าที่เหนือความรักส่วนตัว และการเสียสละเพื่อส่วนรวม ซึ่งเป็นคุณธรรมสำคัญของวีรบุรุษ
วันที่ 15 ก.ค. 2568 : ไฮไลต์ 10 เรื่อง รวมฉากเด่นจากบทละครคลาสสิกที่ได้รับความนิยม ครบรส ทั้งตลก เศร้า และซาบซึ้ง ได้แก่ หวนพบกันที่นครหลวง, สัญญารักในสวนดอกไม้, เปาบุ้นจิ้นขอขมา, โรงเตี๊ยมทางสามแพร่ง, ลำนำเพลงรัก, นารีกำสรวล, สารโยงสายใย, ปิ่นทองอลเวง, วีรบุรุษ อ่วงฉ่งห่วง และหวนพบที่บ้านสกุลจก
วันที่ 16 ก.ค. 2568 : พยัคฆ์ปักไหม งิ้วแต้จิ๋วเรื่องแรกที่มีรางวัลการันตีอันดับ 1 ประเภทบทละครเวที จากรางวัลอุปรากรฉั่งอัง เรื่องราวดัดแปลงจากวรรณกรรมจีนอมตะ “สามก๊ก” สะท้อนถึงการเรียกร้องให้ผู้คนในสังคมมีความเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกัน เชื่อมโยงศิลปะดั้งเดิมของแต้จิ๋วกับแนวคิดร่วมสมัย ถ่ายทอดเสน่ห์ของวรรณกรรมคลาสสิกจีนอย่างลึกซึ้ง
งานนี้เรียกว่า พลาดแล้วพลาดเลย โอกาสสุดพิเศษแบบนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว !
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสุดยอดประสบการณ์การดูงิ้ว ใน “มหาอุปรากรสะท้านปฐพี” สัมผัสความงดงามของสะพานเชื่อมวัฒนธรรมไทย-จีน ที่รวมครบทั้งคุณธรรม ดนตรี และเรื่องราวอันลึกซึ้ง น่าประทับใจ ยิ่งใหญ่ สมการครบรอบ 50 ปีของมิตรภาพ ไทย-จีน ที่ ทรู ไอคอน ฮอลล์ (True ICON Hall) ไอคอน สยาม (ICONSIAM) วันที่ 10-16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ผู้ที่สนใจเข้าชมการแสดงติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ช่องทางประชาสัมพันธ์ของ ICONSIAM
อ้างอิง :
กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม. งิ้วมาจากไหน ในไทยเคยฮิตขั้นเจ้าเป็นเจ้าของโรงงิ้ว มหรสพชั้นสูงในราชสำนักถึงช่วงโรย. เผยแพร่วันที่ 4 มิถุนายน 2562. จาก https://www.silpa-mag.com/culture/article_35077
เสมียนนารี, ศิลปวัฒนธรรม. ความแตกต่างระหว่างจีนกวางตุ้ง-ไหหลำ-แต้จิ๋ว-แคะ-ฮกเกี้ยน. เผยแพร่วันที่ 19 สิงหาคม 2562. จาก https://www.silpa-mag.com/culture/article_37462
วิภา จิรภาไพศาล, ศิลปวัฒนธรรม. 10 งิ้วที่ยิ่งใหญ่ของจีน มีงิ้วฮิตในเมืองไทยอย่างงิ้วแต้จิ๋วอยู่ด้วย. เผยแพร่วันที่ 1 ตุลาคม 2564. จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_75555