Backlink คืออะไร หาได้จากไหน รวมวิธีสร้าง Backlink สายขาวแบบยั่งยืน

นอกจากเรื่องของการทำ On-Page SEO ให้ดีมีระดับ รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้เร็ว แรง ทะลุนรกแล้ว อีกสิ่งที่สำคัญสุดๆ เลยก็คือการทำ Backlink in your area ย๊ะ! (เฮ้ย! นั่นมัน BalckPink!) 

แล้วไอ้เจ้า Backlink นี่มันคืออะไร? เราจะไปได้มาจากไหน แล้วลิงก์อะไรที่เราควรจะได้กลับมายังเว็บไซต์บ้าง มาดูวิธีการสร้าง Backlink แบบมีคุณภาพ โดยไม่เน้นสแปมด้วยวิธีการทำ SEO สายเทา แต่เน้นการได้มาแบบยั่งยืน หรือที่เรียกกันว่าการทำ SEO สายขาวตามแบบฉบับ AMPROSEO กันได้เลยนะจ๊ะ

Backlink คืออะไร

Backlink คือ ลิงก์ที่เว็บไซต์ของเราได้มาจากเว็บไซต์อื่นๆ เป็นเหมือนกับการโหวตว่า เว็บไซต์ของเราน่าเชื่อถือ มีข้อมูลที่สามารถอ้างอิงถึงได้ แน่นอนว่า ถ้ามีคนอ้างถึงเราเยอะๆ Google ก็จะมองว่าเว็บไซต์นี้มีคุณภาพและจัดอันดับให้สูงขึ้นอีก เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ทำให้ติดอันดับง่ายขึ้นนั่นเอง ใครที่อยากทำให้เว็บไซต์พุ่งทะยานก็ต้องไม่ลืมที่จะทำให้เว็บไซต์ได้รับ Backlink ที่มีคุณภาพกลับมาเยอะๆ ด้วย 

Backlink มีกี่ประเภท

การทำ Backlink นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น

  • Nofollow Links

Nofollow Links คือ เป็นประเภทของ Backlink ที่มีการลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณแต่ไม่ได้ส่งประโยชน์ในด้าน SEO กลับมายังเว็บไซต์ของคุณด้วย หมายถึงว่า เว็บไซต์นั้นๆ เขาทำการปิดกั้นทางออกของลิงก์ ไม่ให้ Google bot ที่เข้ามา crawl หรือตรวจสอบเว็บไซต์นั้นๆ วิ่งตามลิงก์ที่ใส่ไว้เพื่อเข้ามาดูข้อมูลที่เว็บไซต์อื่นๆ ต่อได้ ซึ่งเว็บไซต์ส่วนใหญ่ก็ตั้งเป็น Nofollow Links กัน เช่น Pantip Pinterest Twitter YouTube Wikipedia Facebook IG Tiktok ฯลฯ เว็บพวกนี้ส่วนใหญ่เป็น Nofollow Links แต่ถ้ามีลิงก์มาจากช่องทางพวกนี้ยังไงก็ดีกับ Traffic ของเว็บไซต์ เพราะจะมีโอกาสที่คนตามมาอ่านเนื้อหาต่อมากขึ้นได้ด้วย ยกตัวอย่างการทำ Nofollow Links <a href=”https://www.ชื่อเว็บไซต์.com” rel=”nofollow”>Text</a>

  • Dofollow Links

Dofollow Links คือ ประเภทของ Backlink ที่ทำการลิงก์มายังเว็บไซต์ พร้อมส่งประโยชน์ด้าน SEO มาด้วยการยอมให้ Bot ตามเข้ามา crawl หรือตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณต่อด้วย ยกตัวอย่างของการทำ Link แบบ Dofollow เช่น <a href=”https://www.เว็บไซต์.com” rel=”Dofollow”>Text</a> ส่วนเว็บที่จะทำเป็น Dofollow Links นั้นอาจจะต้องเช็กกันต่อว่า เป็นเว็บที่มีคุณภาพหรือเปล่า หากมีคุณภาพก็อาจจะเหมาะที่จะนำมาทำ Backlink ให้กับเว็บไซต์ได้

  • Sponsored หรือ Paid Links

Sponsored หรือ Paid Links คือ ประเภทของ Backlink ที่ทำการจ่ายเงินเพื่อให้ได้ลิงก์นั้นๆ มา เช่น การลงโฆษณาร่วมกับทางแพลตฟอร์ม แล้วจะทำการจ่ายเงินเมื่อมีคนคลิก Backlink ที่ว่านั่นกลับมายังเว็บไซต์ของคุณ (ประเภท Backlink แบบนี้เปิดตัวใช้งานเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมานี่เอง) ยกตัวอย่างของการทำ Link แบบ Sponsored หรือ Paid Links เช่น <a href=”http://www.เว็บไซต์.com/” rel=”sponsored”>text</a>

  • UGC Links

UGC Links คือ User Generated Content Links จะเป็นประเภทของ Backlink ที่คนทั่วไปสร้างขึ้นมาเอง เช่น มีคนเขียนกระทู้ขึ้นมาแล้วมีการแปะเว็บของคุณลงไป, มีการคอมเมนต์แล้วทำการ Backlink จากคอมเมนต์นั้นๆ กลับมายังเว็บไซต์ ฯลฯ ยกตัวอย่างของการทำ Link แบบ UGC Links เช่น<a href=”http://www.เว็บไซต์.com/” rel=”UGC”>Text</a>

Backlink สำคัญยังไงกับการทำ SEO 

สำหรับใครที่ไม่เคยทำ Backlink ให้กับเว็บไซต์อาจจะยังไม่รู้ว่าการทำ Backlink เนี่ยมันดียังไง มันช่วยให้การทำ SEO มันเจ๋ง มันคูลจนติดอันดับได้จริงหรือเปล่า?

แน่นอนว่า มันเป็นเรื่องจริง เพราะการได้ Backlink ก็เหมือนกับการที่มีคนมาบอกว่ารักเว็บไซต์ของคุณม๊ากมาก จนอยากแสดงออกให้โลก (หรือก็คือ Google นั่นแหละ) ได้รับรู้ ก็เลยทำการอ้างอิงถึงขึ้นมา ถ้าหาก Google bot ได้เข้าไปทำการ crawl หรือตรวจสอบเว็บไซต์นั้นๆ ที่ทำการแปะลิงก์เว็บไซต์ของคุณเอาไว้ก็มีโอกาสที่จะได้จ๊ะเอ๋กับเว็บไซต์ของคุณ แล้วตามเข้ามา crawl เว็บของคุณต่อ ถ้าเว็บของคุณดีจริง Google ก็จะดันเว็บของคุณขึ้นสู่อันดับที่เหมาะสม และถ้าเว็บไซต์นั้นๆ ที่ลิงก์มาเป็นเว็บที่มี Traffic สูงๆ ก็ช่วยทำให้เกิด Brand Awareness กับ User ของเขา และเราก็อาจจะได้ฐานแฟนๆ จากเว็บไซต์นั้นๆ ตามมายังเว็บไซต์ของเราได้ด้วย

อยากจะสร้างตึกก็ต้องรู้แบบไม่งั้นตึกดีๆ อาจจะถล่มลงมาได้ การทำ Backlink ก็เหมือนกัน ถ้าอยากจะหา Backlink ที่มีคุณภาพและยั่งยืนก็ต้องรู้ก่อนว่า Backlink แบบไหนที่เรียกว่าดี และควรนำมาทำ Backlink ให้กับเว็บไซต์

ดูก่อน! Backlink ที่ดีเป็นแบบไหน?

1. เป็น Backlink จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ

คำว่า คุณภาพในที่นี้วัดได้จากสิ่งที่เรียกว่า Domain Authority (DA) ก็คือค่าที่บอกว่าโดเมนนั้นๆ มีความน่าเชื่อถือ ส่วนใหญ่ก็เป็นเว็บที่มี Traffic เยอะๆ เปิดมานาน เช่น พวกเว็บไซต์ข่าว ฯลฯ 

2. เป็น Backlink จากเว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวข้องกับคุณ

ถ้า DR ไม่ได้สูงมาก แต่เว็บไซต์ที่ทำ Backlink มานั้นมีความเกี่ยวข้องกับคุณ เช่น คุณทำเว็บไซต์คลินิกทำฟัน แล้วมีคลินิกเว็บอื่นๆ ทำการลิงก์มาหาคุณ แบบนี้เรียกว่าได้ Backlink จากเว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวข้องกัน ก็จะทำให้รู้สึกว่า มีความน่าเชื่อถือ

3. เป็น Backlink จากเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องกัน

นอกจากตัวเว็บไซต์แล้ว ตัวเนื้อหาที่ทำการ Backlink มาก็ไม่ควรได้มาแบบลอยๆ ไอ้พวกเอาลิงก์ไปแปะไว้เฉยๆ แต่ไม่ได้เขียนอะไรที่เกี่ยวข้องกัน หรือใช้ Keyword ที่มีความสัมพันธ์กันเลยเนี่ย อาจจะไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้ดูเป็น Backlink ที่มีคุณภาพสักเท่าไหร่

วิธีสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพและยั่งยืน

ส่วนวิธีการทำให้ได้มาซึ่ง Backlink ดีๆ มีคุณภาพนั้นทำได้หลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น

  • คอนเทนต์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

อะไรในโลกนี้ล้วนเป็นคอนเทนต์ ถ้าคุณทำคอนเทนต์ดี โดนใจกลุ่มเป้าหมาย และเป็นประโยชน์ ใครที่ไหนจะไม่อยากเอาไปอ้างอิงหรือแชร์ต่อ? วิธีการทำ Content marketing เลยเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยถ้าอยากได้ Backlink ที่มีคุณภาพมาไว้ในมือ 

แล้วไอ้คอนเทนต์ดีๆ เนี่ยเข้าทำกันยังไง

แน่นอนว่า ก็ต้องทำ On-Page SEO ให้ดีตรงตามที่ Google บอกไว้ ส่วนเนื้อหาก็ควรตอบโจทย์สิ่งที่เรียกว่า Search Intent ของคนที่ทำการเสิร์ช Google โดย Search Intent จะแบ่งได้เป็นหลายประเภท คือ

  1. Informational intent คือ กลุ่ม Keyword ที่ใช้สำหรับการค้นหาข้อมูล อย่างเช่นหาว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร
  2. Navigational intent คือ กลุ่ม Keyword ที่ใช้สำหรับค้นหาหรือเพื่อการนำทาง เช่น ค้นหาสถานที่ เว็บไซต์ เป็นต้น
  3. Transactional intent คือ กลุ่ม Keyword ที่ใช้สำหรับค้นหาเพื่อกระทำการบางอย่าง เช่น ค้นหาส่วนลด/ดีลต่าง ๆ เป็นต้น
  4. Commercial intent คือ กลุ่ม Keyword ที่ใช้สำหรับค้นหาเกี่ยวกับสินค้า หรือเพื่อการตัดสินใจ 

แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า คนเสิร์ช Google เขามี Search Intent ยังไง? ช่วงนี้ฮิตอะไรอยู่บ้าง? จะเลือกหยิบเรื่องอะไรมาทำคอนเทนต์ดี ง่ายๆ เลยก็แค่ใช้ Google Trend ลองส่องดู เช่น 

ในช่วงโควิดที่หลายคนพุ่งเป้าไปที่เรื่องของความปลอดภัยด้านสุขอนามัยและความสะอาดเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ เจลล้างมือ เป็นต้น

นอกจากนี้มีเทรนด์ค้นหาเกี่ยวกับเรื่อง DIY (Do It Yourselft) เพิ่มมากขึ้น หากมีการติดตามเทรนด์เช่นนี้ก็อาจจะช่วยในการทำคอนเทนต์แนวๆ ผลการสำรวจ ทดสอบ วิจัย หรือข้อมูล หรือรวบรวมข้อมูลอัปเดตในช่วงนั้นได้น่าสนใจและจับใจคนอ่านได้มากขึ้น 

ในเมื่อทำเนื้อหาได้โดนทั้งใจคนอ่าน โดนใจทั้ง Google แบบนี้ Backlink ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากที่จะได้มาเลยถูกต้องมั้ยล่ะ?

  • ลองแลก Backlink กันดูหน่อยไหม?

ถ้าคอนเทนต์ดีแล้ว แต่ผลลัพธ์ของ Backlink ยังไม่ไวทันใจจะทำยังไง? แบบนี้ก็ต้องใช้วิธีการแลก Backlink กับเว็บไซต์ต่างๆ ที่อยากได้แล้วล่ะ โดยอาจจะใช้วิธีแลกเปลี่ยนแบบเท่าเทียมอย่างขอเข้าไปทำ Guest Blogging หรือไปช่วยเขียนบทความให้เขาแล้วทำการแปะลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ตัวเอง ส่วนฝ่ายเขาก็ต้องทำเหมือนกัน 

หรือถ้าเขาเว็บใหญ่สุดๆ ดูแล้วไม่มีวี่แววที่ดอกฟ้าจะโน้มลงมาหาเว็บหมาวัดแบบเราๆ ก็ลองเขียนเนื้อหาเอาชนะเว็บไซต์ที่ทำการลิงก์ไปยังเว็บเขาเยอะๆ ดู แล้วขอให้คนที่เคยลิงก์ไปยังเว็บไซต์นั้นๆ ลิงก์มาหาเราแทน (ดูเป็นวิธีที่ขี้โกงนะ แต่ถ้าคอนเทนต์มีคุณภาพมากกว่าก็มีโอกาสที่จะใช้วิธีนี้ได้จริง)

  • ของแบบนี้ก็ซื้อเอาเลบสิ ไม่เห็นจะยาก

สำหรับเว็บไซต์ทั่วไปที่มี Traffic สูงๆ DR ดีๆ เขาจะมีเซอร์วิสที่เรียกว่าการทำ Advertorial content หรือการทำ Sponsorship content หรือก็คือการจ้างลงเว็บไซต์ จ่ายแล้วก็จบได้มาเลย Backlink ที่ต้องการ 

  • Seeding ไปเลย

ในเมื่อไม่มีใครทำ Backlink มาให้ก็ลองไปแปะลิงก์เองเลยสิ แต่วิธีนี้อาจจะต้องระวังไม่ให้กลายเป็นข้อความสแปมนะ ไม่อย่างนั้นเสี่ยงโดน Google แบนนะเออ ทางที่ดีทำแต่พอดี เขียนเนื้อหาที่มีประโยชน์และเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คนอยากรู้ในกระทู้หรือโพสต์นั้นๆ แล้วค่อยทำลิงก์มาจะดีที่สุด

สรุป

Backlink คือ การเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์อีกทางหนึ่ง แต่ไม่ใช่เทคนิคที่ทำได้ง่ายๆ หรอกนะ ทุกอย่างล้วนใช้เวลา เพราะกว่าที่คนจะเห็นว่าเว็บไซต์คุณเนี่ยดี๊ดีจนนำไปอ้างอิงไม่ใช่เรื่องง่าย คุณต้องใช้วิธีการทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพเป็นหลัก เพื่อทำให้คนอยากที่จะทำ Backlink ให้กับคุณอย่างเป็นธรรมชาติ วิธีนี้คือวิธีที่ยั่งยืนที่สุด แต่ๆๆๆๆ ถ้าคุณรีบก็อาจจะลองใช้วิธีอื่นควบคู่กันไป เช่น แลก Backlink หรือทำการ Seeding ด้วยตัวเองก็ได้ แต่ก็ควรทำเนียนๆ อย่าสแปมนะ ไม่งั้นเสี่ยงโดนแบนไม่รู้ด้วย!