ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกรกฎาคม 2556 |
---|---|
ผู้เขียน | ส.สีมา |
เผยแพร่ |
เล่าเรื่อง “พระเพทราชา” ได้ราชสมบัติต่อจาก “สมเด็จพระนารายณ์” แบบตกกระไดพลอยโจน?
ชื่อ “พระเพทราชา” เป็นชื่อที่ผู้เขียนคุ้นเคยอย่างมากมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น ด้วยเป็นชื่อถนนที่อยู่หน้าโรงเรียน และพวกเราก็เดินบนถนนนี้แทบทุกวัน คือ ถนนเพทราชา เป็นถนนเล็กๆ แคบและสั้น ทอดยาวตลอดกำแพงวังด้านใต้ของพระนารายณ์ราชนิเวศน์ ทางตะวันออกจรดถนนสรศักดิ์และทางตะวันตกจรดถนนพระราม ความยาวของถนนเท่ากับความยาวของกำแพงวัง ประมาณ 180 เมตรเท่านั้น พื้นถนนลาดยางดูไม่สู้เรียบร้อย ข้างถนนด้านกำแพงวังมีเพิงพิงกำแพงมีหลังคาคลุม เป็นคอกม้ายาวไปตามกำแพง สลับกับเป็นโกดังรกรุงรัง เก็บฟืนและกระสอบถ่าน ส่วนของถนนอีกด้านเป็นบ้านเรือนเลียบมาจนจรดปากประตูโรงเรียน
ผู้เขียนในขณะนั้น ไม่ทราบที่มาที่ไปของชื่อนี้มากนัก รู้แต่เพียงว่าเป็นพระนามของพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่ง ผู้เป็นต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวง คือ พระเพทราชา หรือพระมหาบุรุษ และรู้สึกต่อมาว่า ถนนเล็กๆ หลังวังสายนี้ ไม่สมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ระดับต้นราชวงศ์ ผู้ทรงเคยกระทำการรัฐประหาร ในช่วงปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์ (พ.ศ. 2231) ไม่เช่นนั้นสยาม (อยุธยา) อาจถูกยึดครองโดยฝรั่งเศสมาตั้งแต่ปีนั้นเลยก็เป็นได้
บางทีจะมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น เพราะถนนในเมืองอีกสายหนึ่ง จากประตูวังด้านตะวันออก (ประตูพยัคฆา) ทอดผ่านวัดราชา (สวนราชานุสรณ์) ไปจรดถนนหน้าพระธาตุ ยังใช้ชื่อเจ้าเมือง คือ ถนนพระยากำจัดฯ (พ.ต.อ. พระยากำจัดโสณฑ์ทุจริต พ.ศ. 2466-2469) อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี เป็นชื่อถนนสายสำคัญสายนั้นได้ ให้ความรู้สึกลึกๆ ถึงความแตกต่างบางประการ ชวนให้ค้นหา
สมเด็จพระเพทราชา ได้ราชสมบัติต่อจาก สมเด็จพระนารายณ์ เป็นพระมหากษัตริย์ต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวงและอยู่ในราชสมบัตินาน 15 ปี เมื่อแรกได้ราชสมบัตินั้นพระชนมายุได้ 51 พรรษา
เมื่อได้ราชสมบัติใหม่ๆ ทรงเจริญพระราชกรณียกิจตามประเพณี คือทำนุบำรุงพระศาสนา และสร้างวัดเป็นอันมาก เช่น วัดพญาแมน วัดบ้านป่าตอง วัดบรมพุทธาราม เป็นต้น
ส่วนพระราชกรณียกิจทางการเมืองที่สำคัญมากน่าจะมี 3 กรณี อย่างแรกเป็นกรณีสำคัญก่อนได้ราชสมบัติ ครั้งยังเป็นพระเพทราชา จางวางกรมช้าง หรือเจ้ากรมช้างในฐานะรักษาการสมุหกลาโหม กับอีก 2 กรณีหลัง คือ การปราบกบฏธรรมเถียรและยุติการต่อต้านของสองเมืองใหญ่ คือ นครราชสีมากับนครศรีธรรมราช ส่วนกรณีสุดท้ายคือกรณีขับไล่กองทหารฝรั่งเศสจากป้อมบางกอกให้พ้นจากสยาม
กรณีการเมือง (ก่อนได้ราชสมบัติ) ก็คือการจับ พระยาวิไชเยนทร์ เมื่อเขานำทหารฝรั่งเศสพร้อมอาวุธทันสมัยเข้ามาประจำการที่ป้อมบางกอก ซึ่งถือว่าเป็นอันตราย เพราะอาวุธเหล่านั้นมีอานุภาพเหนือกว่าทางอยุธยามาก แม้มีทหารเพียงกองร้อย ก็สามารถเอาชนะทหารไทยในระดับกองทัพได้ พระเพทราชาเคยติงเรื่องนี้ในที่ประชุมขุนนางต่อหน้าพระพักตร์เรื่องการคบหากับต่างชาติที่ต้องระมัดระวัง
สมเด็จพระนารายณ์ ในเวลานั้นทรงชื่นชอบพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และโปรด พระยาวิไชเยนทร์ เป็นพิเศษ และทรงโกรธการติงของพระเพทราชา แต่ก็ระงับไว้ได้ ถ้าเป็นขุนนางผู้อื่นอาจถูกโบยได้ แต่นี่เป็นพระเพทราชาที่มีฐานะเป็นทั้งพระญาติสนิท เพราะแม่จริงของพระเพทราชา คือแม่นมของสมเด็จพระนารายณ์ นั่นคือเจ้าแม่วัดดุสิต นอกจากนั้นยังเป็นศิษย์พระอาจารย์องค์เดียวกัน (พระอาจารย์พรหม) ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พระเพทราชาเป็นคนลุ่มลึก เยือกเย็น องอาจ กล้าหาญ และเฉลียวฉลาด ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์ทรงรู้จักดีมานานแล้ว
พระเพทราชาเวลานั้น ดำรงตำแหน่งรักษาการสมุหกลาโหมอีกตำแหน่งหนึ่ง[1] มาตั้งแต่ปี 2219 เป็นตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบดูแลความมั่นคงของบ้านเมือง จึงจำเป็นต้องจับตาดูการเคลื่อนไหวของวิไชเยนทร์อย่างเป็นพิเศษ ความจริงก็คือ วิไชเยนทร์จะใช้กองกำลังทหารฝรั่งเศสที่ป้อมบางกอกทำการรัฐประหารยึดอำนาจ กองทหารนั้นควบคุมโดยนายพลเดส์ฟาร์จ ทั้งนี้จะใช้กองกำลังเพียง 60-80 คน ก็สามารถดำเนินการได้เพราะมีอาวุธที่ดีกว่ามาก
พระเพทราชามีทหารน้อยกว่า และรู้ดีถึงสมรรถภาพของทหารฝ่ายตนดี
นักประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งชี้ว่า พระเพทราชาฉลาดพอที่จะอาศัยพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ ในเขตเมืองลพบุรีและปริมณฑล ทั้งนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากพระสังฆราชเมืองลพบุรี ณ วัดราชา ทั้งในเรื่องการสอดแนมการเคลื่อนไหวต่างๆ การก่อม็อบและอาจใช้เป็นกำลังรบถ้าจำเป็น การอาศัยกำลังจากพระสงฆ์ในกิจกรรมต่างๆ เหล่านั้น เป็นวิธีที่แนบเนียน ซึ่งวิไชยเยนทร์ไม่เข้าใจ เขารู้แต่เพียงว่า พระเพทราชาไม่มีกำลังรบที่ดีๆ อยู่ในมือเลย กว่าจะระดมคนได้ต้องใช้เวลาเป็นเดือน กระนั้นก็ตามวิไชยเยนทร์ก็มิได้ตายใจ เร่งกระชับสัญญาและเอาอกเอาใจนายพลเดส์ฟาร์จมากขึ้น มีการพบปะ เลี้ยงดูกันบ่อยครั้งขึ้น
เมื่อถึงเดือนเมษายน ปี 2231 จึงเป็นเดือนของการชิงไหวชิงพริบกันอย่างมากระหว่างพระเพทราชากับ
วิไชเยนทร์ บรรยากาศการเมืองในเวลานั้นจึงสับสนอึมครึมอย่างมาก ดังบรรยายไว้ในจดหมายของบาทหลวงผู้หนึ่ง ชื่อ บาทหลวงมาติโน ที่ฉายให้เห็นภาพความวุ่นวาย ปั่นป่วนของข่าวลือต่างๆ ที่ล้วนเขย่าขวัญคณะบาทหลวงให้หวาดหวั่นอย่างที่สุด
ย้อนกลับไปเดือนมีนาคม ก่อนหน้านั้นพระเพทราชาได้ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จึงอยู่ในฐานะได้เปรียบกว่าในการสั่งการต่างๆ โดยอ้างพระราชโองการ แต่ก็เต็มไปด้วยความระมัดระวังในการใช้อำนาจสั่งการนั้นอย่างยิ่ง วิไชเยนทร์เองก็เชื่อมั่นในกองทหารฝรั่งเศสของนายพลเดส์ฟาร์จ อย่างเต็มที่
ราวๆ ต้นเดือนพฤษภาคม พระอาการประชวรก็ทรุดลงอย่างหนักด้วยโรคไอหืด (asthmatic cough) นั่นย่อมเป็นโอกาสส่งให้พระเพทราชาชิงกระทำการรัฐประหารโดยทันที ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2231 โดยมีหลวงสรศักดิ์หรือพระยาศรีสรศักดิ์[2] เป็นกำลังสำคัญ เสริมด้วยม็อบชาวบ้านและชาววัดในเขตเมืองและปริมณฑลเป็นตัวช่วย
วิไชเยนทร์เอง ก็อยู่ในวิสัยและเวลาเดียวกันที่จะกระทำการรัฐประหาร แต่ก็เกิดการขัดข้องขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะนายพลเดส์ฟาร์จเกิดลังเลใจ ไม่ยอมยกกองทหารฝรั่งเศสขึ้นมาลพบุรีตามสัญญานัดหมาย และนี่ก็คือจุดจบของวิไชเยนทร์อย่างไม่มีข้อสงสัย เขาถูกจับและถูกขังอยู่ระยะหนึ่งเพื่อสอบสวนที่ซ่อนทรัพย์ และเพื่อการถูกทรมานก่อนจะนำไปประหารที่วัดซาก ทางเหนือนอกกำแพงเมืองลพบุรี เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2231 เวลาบ่ายสี่โมงเย็น
สำหรับ พระปีย์[3] ราชบุตรบุญธรรมของสมเด็จพระนารายณ์ ผู้ซึ่งเคยถูกคาดหมายว่าจะได้รับราชสมบัติโดยการสนับสนุนของวิไชเยนทร์ก็ถูกลอบสังหารก่อนหน้านั้นไม่นานนัก ณ ริมกำแพงแก้ว พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เมืองลพบุรี โดยศพถูกนำไปฝังที่วัดซากเช่นเดียวกัน เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ทรงรู้เรื่อง ก็ทรงทุกข์โศกอย่างหนัก และออกพระโอษฐ์สาปแช่งต่างๆ[4] กระนั้นก็ตามแม้พระอาการโรคจะทรุดลงอย่างรวดเร็วก็ทรงมีพระสติดี โดยให้นิมนต์พระสงฆ์จำนวนหนึ่งเข้ามาในเขตพระราชฐานชั้นกลาง และ
พระราชทานพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ให้เป็นพระอุโบสถกระทำพิธีบวชขุนนางและข้าราชการฝ่ายในที่จงรักภักดีเหล่านั้นประมาณ 60 คน เพื่อพ้นภัยรัฐประหาร
พระที่นั่งดุสิตฯ ได้กลับคืนความเป็นพระที่นั่งดังเดิมอีกครั้งหนึ่งโดยพิธีผาติกรรม ถ่ายโอนความเป็นพระ
อุโบสถไปยังวัดขวิด (วัดกระหวิด วัดกรวิท หรือวัดกวิศรารามราชวรวิหาร พระอารามหลวงชั้นตรีในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นวัดเก่าริมวังด้านทิศใต้ ในสมัยรัชกาลที่ 4 นี่เอง ทิ้งช่วงเวลาไว้นานกว่า 200 ปี
จนถึงเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2231 สมเด็จพระนารายณ์ก็เสด็จสวรรคต พระศพคืนกลับไปยังอยุธยา ก่อนหน้านี้เจ้าฟ้าอภัยทศและเจ้าฟ้าน้อยพระอนุชา ซึ่งมีสิทธิ์โดยประเพณีที่จะได้พระราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระนารายณ์ และสมเด็จพระเพทราชาปรารถนาจะให้เป็นเช่นนั้น แต่เจ้าฟ้าทั้งคู่ก็ถูกลอบปลงพระชนม์อย่างลึกลับ นัยว่าเป็นบัญชาของหลวงสรศักดิ์
ในที่สุด พระเพทราชา ก็จำได้ราชสมบัติแบบตกกระไดพลอยโจน หรือที่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นแบบเลยตามเลย
เมื่อได้ราชสมบัติแบบไม่ทรงตั้งใจเช่นนั้น ไม่นานนักก็จำต้องปราบกบฏจากอ้ายธรรมเถียร ที่สำคัญตนว่าเป็นเจ้าฟ้าอภัยทศ และปราบเจ้านครใหญ่ 2 นคร คือ เจ้านครราชสีมาและเจ้านครศรีธรรมราช และการปราบปรามได้เสร็จสิ้นลงโดยไม่ช้า
ส่วนกรณีหลังได้ราชสมบัติอีกกรณีหนึ่ง คือ กรณีขับไล่ทหารฝรั่งเศสที่ป้อมบางกอก ที่อยู่ในความควบคุมของนายพลเดส์ฟาร์จ และที่ป้อมเมืองมะริด ในความควบคุมของนายพลดูบรูอัง เฉพาะที่ป้อมบางกอกค่อนข้างใช้เวลาและมีการสูญเสียของทั้ง 2 ฝ่าย ครั้นทำท่าจะสงบศึกกันได้ แต่เพราะเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ทำให้กลายเป็นศึกยืดเยื้อโดยไม่จำเป็น ในที่สุดสงครามก็ยุติลงโดยไทยได้ตัวประกัน 4 คนคืนมา[5] (ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ 2 คน ล่ามและทหารรับใช้) กับได้สมบัติฝรั่งเศส และได้กักกันนักบวชจำนวน 70 คน ไว้ระยะหนึ่งก่อนจะให้อิสรภาพ โดยเฉพาะบุตรชาย 2 คน ของนายพลเดส์ฟาร์จ ซึ่งเป็นตัวประกัน ซึ่งท่านนายพลก็โหดเหี้ยมพอที่จะยอมเสียบุตรชายทดแทนกับการกระทำขัดคำสั่งของ พระเพทราชา อย่างไรก็ดีทรงมีเมตตาให้อิสรภาพแก่บุคคลเหล่านั้นทั้งหมด รวมทั้ง มารี กีมาร์ ภรรยาและบุตรของฟอลคอนอีกคนหนึ่ง โดยฝ่ายอยุธยายอมสูญเรือสินค้า 2 ลำ ที่ท่านนายพลขอยืมไป คือเรือชื่อสยามและละโว้ กับเงินอีก 300 ชั่ง
สมเด็จพระเพทราชา หรือพระมหาบุรุษ อยู่ในราชสมบัตินาน 15 ปี จึงสวรรคตเมื่อลุศักราช 1065 ปีมะแม เบญจศก
กล่าวกันว่าสมเด็จพระเพทราชา เป็นกษัตริย์ที่มีพื้นฐานคนบ้านนอก บ้านเดิมอยู่บ้านกร่าง หรือบ้านพลูหลวง ชานเมืองสุพรรณบุรี แต่ได้ดิบได้ดีเพราะมีมารดาเป็นแม่นมสมเด็จพระนารายณ์ พระเพทราชา บังอาจกระทำการรัฐประหาร เป็นกบฏชิงราชสมบัติ กับสังหารวิไชยเยนทร์ ผู้เสมือนเป็นกำลังสำคัญทางการต่างประเทศและเศรษฐกิจ กับช่วยนำพาสยามให้พ้นภัยจากฮอลันดา ประกอบกับมีคุณูปการแก่บ้านเมืองอีกมาก ข้อมูลที่ค่อนข้างจะคลาดเคลื่อนไม่สมบูรณ์ด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง กับการด่วนสรุปของนักประวัติศาสตร์บางคนและผู้ปกครองยุคหนึ่งนั้น ทำให้ภาพของสมเด็จพระเพทราชาที่สง่างาม บูดเบี้ยวไปอย่างน่าอนาถใจ นี่น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ถนนเพทราชาตามพระนามนั้น เป็นถนนแคบสั้น สกปรกรกรุงรัง ขาดความสวยงาม แม้ในปัจจุบันจะดูดีขึ้นมากแล้วก็ตาม และหรือว่าเพราะได้ราชสมบัติแบบตกกระไดพลอนโจน?
ผู้เขียนและผู้ร่วมเดินทางเข้าไปถึงบ้านกร่าง บ้านพลูหลวง ซอย 9 ชานเมืองสุพรรณบุรี ได้รับการต้อนรับดีจากพี่ ส.ว. (สูงวัย) ผู้หนึ่งผู้มีเมตตาพร้อมภรรยาของท่าน (น.อ. สำอาง กลิ่นคำหอม ร.น.) ที่ตรงซอยนั้นสุดซอยเป็นศาลเจ้าพ่อขุนเณร อดีตนักรบเลือดสุพรรณผู้กล้าแกร่ง ย่านนี้เป็นชาวบ้านพลูหลวงทั้งหมด ดูสงบร่มรื่น น่าจะหลายๆ เจนเนอเรชั่น ถัดมาจากสมเด็จพระเพทราชา ได้ถูกบอกเล่าให้รับรู้กันเงียบๆ ปากต่อปากมาจนถึงปัจจุบัน คุณพี่ผู้การทหารเก่าย้ำว่า ผู้ที่รู้เรื่องราชวงศ์บ้านพลูหลวงดีมาก มีอยู่ 2 ท่าน ท่านหนึ่งคือ คุณมนัส โอภากุล (เสียชีวิตแล้ว) และคุณน้าเจ้าของร้านสังฆภัณฑ์ในตลาดสุพรรณบุรีอีกท่านหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนจะต้องติดตามไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สักวันหนึ่งให้จงได้
อันความเป็นไปของสมเด็จพระเพทราชา กรณีก่อการรัฐประหาร ต่อต้านวิไชยเยนทร์ มีรายละเอียดที่น่าสนใจอีกมาก อันแสดงให้เห็นถึงปัญญาอันลึกซึ้งในการวางแผนการรัฐประหารอย่างระมัดระวังและรอบคอบเป็นที่สุด เพราะหากว่าผิดพลาดเมื่อไร ก็ย่อมถึงตายเมื่อนั้น ส่วนกรณีหลังคือขับไล่ทหารฝรั่งเศสออกจากป้อมบางกอก แสดงให้เห็นถึงความมีเมตตาที่น่านับถือเป็นอย่างยิ่ง
อ่านเพิ่มเติม :
- ออกพระเพทราชา ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ ออกคำสั่งประหารฟอลคอน
- “กบฏธรรมเถียร” กบฏไพร่ครั้งแรกในสมัยพระเพทราชา
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เชิงอรรถ :
[1] อยุธยาอาภรณ์. พิมพ์เป็นบรรณาการเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ พันตรี หลวงจบกระบวนยุทธ อังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2520. น. 62.
[2] เชื่อกันว่าเป็นโอรสลับของสมเด็จพระนารายณ์ เกิดแต่นางสนมกุสาวดี ทรงยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของพระเพทราชา ครั้งเป็นพระยาสุรสีห์
[3] เป็นบุตรของขุนไกร สิทธิศักดิ์ บ้านแก้ง จังหวัดพิษณุโลก
[4] “May the Protector of the Buddist Faith grant me but seven more days grace of life to be quit of this disloyal couple, father and son,” in 1688 Revolution in Siam by E.W. Hutchinson. p. 153.
[5] ออกพระพิชัยสงคราม ออกหลวงกัลยา ณ ราชไมตรี นายพลฟรังซัว แปงเฮโร (ล่าม) และคนรับใช้อีก 1 คน
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 27 สิงหาคม 2560