ยุทธการหุบเขาโทลเลนซ์ “สมรภูมิเก่าแก่ที่สุด” ในยุโรป 1,250 ปีก่อนคริสตกาล

โครงกระดูก สมรภูมิ หุบเขาโทลเลนซ์
โครงกระดูกจากแหล่งขุดค้นเมื่อปี 2013 (ภาพโดย Jana Dräger จาก DEUQUA Special Publications สิทธิ์การใช้งาน CC BY 4.0)

การค้นพบร่อยรอยของ ยุทธการที่ หุบเขาโทลเลนซ์ “สมรภูมิเก่าแก่ที่สุด” ในยุโรป เมื่อ 1,250 ปีก่อนคริสตกาล

เมื่อปี 1996 มีผู้พบชิ้นส่วนคล้ายกระดูกแขนมนุษย์อยู่บริเวณที่ราบริมฝั่งแม่น้ำ หุบเขาโทลเลนซ์ (Tollense valley) รัฐเมคเลินบูร์ก-ฟอร์พอมเมิร์น (Mecklenburg-Vorpommern) ประเทศเยอรมนี ชิ้นส่วนกระดูกนี้มีหัวลูกศรฝังอยู่ นักโบราณคดีจึงลงมือขุดค้นบริเวณนั้น เบื้องต้นพบกะโหลกศรีษะมนุษย์เพิ่มเติม กะโหลกนี้มีร่องรอยการถูกทุบด้วยกระบองไม้ขนาดใหญ่ เชื่อได้ว่าบาดแผลดังกล่าวเกิดจากการต่อสู้ หลังพิสูจน์อายุด้วยการตรวจค่าคาร์บอนจึงพบว่า โครงกระดูก นี้มีอายุราว 1,250 ปีก่อนคริสตกาล

Advertisement

หลังจากทีมสำรวจขยายพื้นที่ขุดค้น ข้อมูลโดยนักวิจัยและนักโบราณคดีชี้ชัดว่าการค้นพบนี้เป็น “สมรภูมิเก่าแก่ที่สุด” ในทวีปยุโรป เนื่องจากแหล่งขุดค้นที่ราบหุบเขาโทลเลนซ์เต็มไปด้วยซากนักรบที่บาดเจ็บและเสียชีวิตเมื่อราว 3,200 ปีก่อน แม้จะยังขุดค้นไม่ครบ 100% แต่ก็คาดคะเนได้ว่าจะมีจำนวนกว่า 4,000 คน ทั้งพบร่องรอยของอาวุธเป็นกระบองไม้ หัวธนูทำจากหินฟลินต์ (Flint) และสำริด (Bronze) รวมถึงหอก มีดและดาบสำริดด้วย ซากจากอดีตในยุคสำริดอันน่าสยดสยองนี้ถูกกลับฝังกลบอยู่ใต้ชั้นดิน ทับถมด้วยซากพืชซากสัตว์ ช่วยให้นักวิจัยค้นพบข้อมูลชุดใหม่ว่าสงครามขนาดใหญ่ระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคสำริดนั้นมีมานานกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ (คลิกชมภาพ หลักฐานจากแหล่งขุดค้น หุบเขาโทลเลนซ์)

บทความเกี่ยวกับการวิจัยทางโบราณคดีที่หุบเขาโทลเลนซ์ใน “นิตยสาร Science” ระบุว่า การรบนี้อาจเป็นหลักฐานโดยตรงที่เก่าแก่ที่สุดของการต่อสู้ขนาดใหญ่ของโลกยุคโบราณ

จากหลักฐานที่มี ไม่มีใครรู้ว่าคนจำนวนมากที่เข่นฆ่ากันบริเวณแม่น้ำโทลเลนซ์เหล่่านี้เป็นใคร เพราะช่วงเวลานั้นยังไม่มีการจดบันทึกใด ๆ เราจึงไม่มีข้อมูลลายลักษณ์อักษรที่บอกได้ว่าคนกลุ่มนี้สู้กันด้วยเหตุผลใด แต่สัจธรรมแห่งโลกยุคโบราณของการรบราฆ่าฟันย่อมหนีไม่พ้นเหตุผลเรื่องพื้นที่หรืออาณาเขต การครอบครองฝูงปศุสัตว์ และผู้หญิง

นิตยสาร Science ให้ข้อมูลว่าการต่อสู้อันดุเดือดนี้อาจมีผู้เกี่ยวข้องหลายพันคนและเกิดขึ้นพร้อมจบลงภายในช่วงเวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น เป็นไปได้ว่าพาหนะอย่าง “ม้า” มีส่วนเกี่ยวข้องกับในสมรภูมินี้ เพราะจากการสำรวจและขุดค้นเพียง 2-3% ของพื้นที่ พวกเขาพบซากม้า 5 ตัวแล้ว

ผู้ชนะหรือรอดชีวิตจากสงครามนี้คงถอดของมีค่าบางส่วนออกจากศพ แต่บางส่วนยังอยู่กับร่างไร้วิญญาณนั้นและและถูกทับถมจากดินและซากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ไปตามกาลเวลา

ระหว่างปี 2009-2015 นักวิจัยจากกรมอนุรักษ์ประวัติศาตร์ประจำเมคเลินบูร์ก-ฟอร์พอมเมิร์นแห่งมหาวิทยาลัย Greifswald ได้ค้นพบกระดูกม้าและผู้ชายเพิ่มเติม หลายคนมีร่องรอยการได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนเสียชีวิต รวมถึงอาวุธสงครามที่พวกเขาใช้ พวกเขาเชื่อว่ามี โครงกระดูก ที่ไม่ยังไม่ถูกขุดค้นซ่อนอยู่อีกจำนวนหนึ่ง

จากการวิเคราะห์โครงกระดูกของชายหนุ่ม 130 คน ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 20-30 ปี พบว่าส่วนหนึ่งคือคนท้องถิ่นที่ต่อมากลายเป็นบรรพบุรุษของชนชาวเยอรมัน (Germanic peoples) แต่อีกจำนวนหนึ่งมาจากพื้นที่ต่างกันและอยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตรจากจุดที่เกิดการสู้รบ ปัจจุบันคือพื้นที่ของโปแลนด์ เนเธอแลนด์ สแกนดิเนเวียน และทางใต้ของทวีปยุโรป ที่มาของชายหนุ่มเหล่าจากทั่วทวีปยุโรปสร้างความประหลาดใจให้กับนักวิจัยอย่างมาก

โทมัส เทอร์เบิร์ก (Thomas Terberger) นักโบราณคดีของสำนักงานบริการมรดกทางวัฒนธรรมแห่งฮันโนเวอร์, รัฐแซกโซนีใต้ (Lower Saxony) เป็นผู้อำนวยการร่วมการขุดค้น ให้สัมภาษณ์ว่า “หากสมมติฐานของเราถูกต้องว่าสิ่งที่ค้นพบทั้งหมดคือเหตุการณ์เดียวกัน เรากำลังค้นพบความขัดแย้งในระดับที่ไม่ทราบขอบเขตเลย ทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์” ก่อนกล่าวทิ้งท้ายว่า “ไม่มีอะไรใช้เทียบเคียงได้”

แม่น้ำโทลเลนซ์ เยอรมนี ไม่ไกลจากพื้นที่สู้รบเมื่อ 1250 ปีก่อนคริสตกาล, ถ่ายเมื่อ 2007 (ภาพจาก Wikimedia Commons)

ช่วงแรกที่ค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ นักวิจัยตั้งทฤษฎีว่าการต่อสู้เกิดจากการจู่โจมเพื่อขโมยอาหารและสังหารเจ้าของเดิม แต่หลักฐานการต่อสู้และฆ่าฟันกันนี้กลับทอดยาวไปตามแนวแม่น้ำกว่า 3 กิโลเมตร ทำให้นักวิจัยต้องทบทวนสมมติฐานเดิมอีกครั้ง แน่นอนว่าพวกเขาต่างประหลาดใจกับขอบเขตและพื้นที่ของแหล่งขุดค้นที่มีแนวโน้มจะขยายออกไปเรื่อย ๆ จึงวิเคราะห์และประเมินว่าอาจมีชายหนุ่มที่เป็นนักรบเข้าร่วมในการประหัตประหารครั้งนี้ถึง 4,000 คน

การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นการมีอยู่ของ “ชนชั้นนักรบ” และการมีส่วนร่วมในสงครามจากผู้คนทั่วยุโรปเมื่อ 3,200 ปีก่อน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ใหม่มากสำหรับช่วงเวลาดังกล่าว แม้จะมีบันทึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับมหากาพย์สงครามครั้งใหญ่ในยุคสำริดระหว่างชนชาวกรีกกับผู้คนในดินแดนตะวันออกใกล้ (สงครามกรุงทรอย) แต่นอกจากการจดบันทึกแล้ว การค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นกลับมีเพียงเล็กน้อยที่เป็นหลักฐานว่ามีการต่อสู้ขนาดใหญ่เกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตาม ณ ช่วงเวลาที่ (เชื่อว่า) เกิดสงครามกรุงทรอย พื้นที่ยุโรปเหนือยังไม่มีการเขียนบันทึกอย่างแน่นอน

แบร์รี่ มอลลอย (Barry Molloy) นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยคอลเลจดับลิน (University College Dublin) บอกกับ Science ถึงความโดดเด่นของการค้นพบนี้ว่า “…แม้แต่ในอียิปต์ เราได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามมากมาย แต่ก็ไม่เคยพบหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญของผู้เข้าร่วมและเหยื่อสงครามเลย”

อาร์. ไบรอัน เฟอร์กูสัน (R. Brian Ferguson) นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยรัตเกอร์ส (Rutgers University) บอกกับเว็บไซต์ Ancient Origins ในปี 2015 ว่างานวิจัยของเขาแสดงให้เห็นว่ายุโรปและตะวันออกใกล้ในยุคหินนั้นมีความสงบเป็นส่วนใหญ่ โดยสงครามเริ่มกวาดล้างชีวิตผู้คนในยุโรปและตะวันออกใกล้ช่วงปลายยุคหินใหม่ ถึงอย่างนั้น ยุคทองแดงและสำริด (ถัดจากยุคหินใหม่) ซึ่งเริ่มต้นเมื่อประมาณ 6,000-5,000 ปีก่อนคริสตกาล ก็ยังไม่พบเรื่องราวของสงครามที่ชัดเจนนัก

การจะเข้าใจสงครามยุคก่อนประวัติศาสตร์จึงต้องศึกษาจากงานศิลปะเกี่ยวกับการต่อสู้และรบราฆ่าฟัน หลักฐานหรือซากของป้อมปราการที่ฝังอยู่ใต้ชั้นดิน รวมถึงโครงกระดูกมนุษย์และบาดแผลจากการต่อสู้และอาวุธดังที่พบได้ในแหล่งขุดค้นยุทธการหุบเขาโทลเลนซ์

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่ 


อ้างอิง : 

Mark Miller, Ancient Origins (2016) : Unexpected and Gruesome Battle of 1250 BC Involved 4,000 Men from Across Northern Europe

ANDREW CURRY, Science (2016) : Slaughter at the bridge: Uncovering a colossal Bronze Age battle

Carlos Quiles, Indo-European.eu (2020) : “Local” Tollense Valley warriors linked to Germanic peoples

Den Davis History, Youtube (2021) : Tollense Valley | Europe’s First Battle (Bronze Age History Documentary)


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2565