ผู้เขียน | เสมียนนารี |
---|---|
เผยแพร่ |
“ไท่เหอเตี้ยน” เรียกแบบไม่เป็นทางการว่า “จินหลวนเตี้ยน” เป็นอาคารที่ฐานะสูงสุดและขนาดใหญ่ที่สุดใน “พระราชวังต้องห้าม” สร้างเสร็จสมบูรณ์สมัยราชวงศ์หมิง รัชศกหย่งเล่อปีที่ 18 (ค.ศ. 1420) ขณะนั้นมีนามว่าเฟิ่งเทียนเตี้ยน ต่อมาในรัชศกเจียจิ้งปีที่ 41 (ค.ศ.1562) เปลี่ยนนามเป็นหวงจี๋เตี้ยน จนกระทั่งยุคราชวงศ์ชิง รัชศกซุ่นจื้อปีที่ 11 (ค.ศ. 1645) จึงเปลี่ยนมาใช้ “ไท่เหอเตี้ยน” จนถึงปัจจุบัน
คําว่า “ไท่เหอ” หมายถึง “ความผสมผสานกลมกลืนอันยิ่งใหญ่ที่สุด” โดยจารึกอุดมการณ์การปกครองของทั้งราชวงศ์ชิงนี้ไว้เป็นภาษาจีนและภาษาแมนจู พระที่นั่งหลังนี้เป็นพระที่นั่งไม้หลังเดียวที่ขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสถาปัตยกรรมจีนโบราณที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน เมื่อนับรวมชุดฐานแล้วสูง 35.5 เมตร เทียบเท่าตึกสมัยใหม่ 12 ชั้น หน้าไท่เหอเตี้ยน มีพื้นที่ 30,000 ตารางเมตร นับเป็นลานจัตุรัสในเคหสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งลานไม่มีต้นไม้ใบหญ้าแม้สักต้น
จักรพรรดิทั้ง 24 พระองค์แห่งราชวงศ์หมิงและชิงล้วนจัดพระราชพิธีสําคัญ ณ ไท่เหอเตี้ยน และลานหน้าไท่เหอเตี้ยน เช่น พิธีขึ้นครองราชย์, พิธีอภิเษกสมรสแต่งตั้งมเหสี, ประกาศพระราชโองการให้แม่ทัพออกศึก, ในวันคล้ายวันพระราชสมภพ วันหยวนตั้น และวันตงจื้อ [คนไทยเรียกเทศกาลขนมบัวลอย] จะมีพระราชพิธีใหญ่ จักรพรรดิรับคําถวายพระพรจากข้าราชสํานัก พระราชทานเลี้ยงแก่เชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูง ฯลฯ
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945 กองทัพญี่ปุ่นที่บุกจีน จนต้องการประกาศยอมแพ้ พิธีรับคําประกาศยอมแพ้อย่างเป็นทางการของสมรภูมิภาคเหนือจีนก็จัดขึ้นที่ลานจัตุรัสไท่เหอเตี้ยนอีกเช่นกัน วันนั้นมีผู้ร่วมสังเกตการณ์กว่าแสนคน และเป็นครั้งสุดท้ายที่ใช้ไท่เหอเตี้ยนจัดพิธีสําคัญระดับชาติ
จัตุรัสไท่เหอเตี้ยนแสดงถึงแนวคิดที่สําคัญที่สุดในงานสถาปัตยกรรมจีน ว่า “ความสําเร็จสูงสุดของการมีข้อจํากัด คือการหวนคืนสู่อ้อมกอดของความไร้ขีดจํากัด” ลักษณะของลานกลางบ้านแบบดั้งเดิมของจีนคือตัวอย่างที่ดีประการหนึ่ง การมีอยู่ (อาคาร 4 ด้าน) โอบล้อมความไม่มี (ลาน) จัตุรัสขนาด 30,000 ตารางเมตร เป็นเพียงแค่พื้นที่ส่วนหน้าของไท่เหอเตี้ยนซึ่งตั้งอยู่บนชุดฐาน 3 ขั้นเท่านั้น สิ่งที่กดทับสรรพสิ่งทั้งปวงแท้จริงแล้วคือผืนฟ้ากว้างใหญ่ ซึ่งแบกรับไว้โดยหลังคาพระที่นั่งที่ดูราวโดนลมพัดจนบิดโค้ง
สวรรค์มองอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ก็มองสวรรค์เช่นกัน การเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงจึงประหนึ่ง พิธีเข้าเฝ้าสวรรค์ ลองจินตนาการดูว่า ในยุคนั้นเหล่าขุนนางคุกเข่าอยู่เบื้องล่าง จึงไม่อาจมองเห็นว่าจักรพรรดิกำลังเผากํายานในติ่ง 18 ใบ และประติมากรรมทองแดงรูปสัตว์ เช่น นกกระเรียน, เต่าทองแดง ขณะที่ควันกํายานลอยออกมา ทั้งหมดนี้ค่อยๆ ลอยเลื่อนเคลื่อนขึ้นไปรวมกับเมฆขาวภายใต้แสงรุ่งอรุณที่สาดส่อง เหล่าขุนนางแหงนมองไท่เหอเตี้ยน แหงนมองโอรสสวรรค์ผู้รับโองการสวรรค์ แหงนมองผืนฟ้ากระจ่างรอบกาย
เมื่อพิจารณาในขอบเขตของพื้นฐานการออกแบบสมัยใหม่ ช่างสามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับการเลือกสีให้สัมพันธ์กับรูปทรง กล่าวคือ หลังคาทรงกรวยมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง ซึ่งสร้างความรู้สึกที่ก้าวไปข้างหน้า อาคารพระที่นั่งทรงสี่เหลี่ยมใช้สีแดง ซึ่งร้อนแรงดูเข้มแข็งและมีพลัง ด้านล่างของพระที่นั่งคือฐานสูงสีขาว ซึ่งมีแสงและเงาสีสันสว่างสวยงาม ปลุกให้จัตุรัสกว้างใหญ่แห่งนี้ตื่นจากความหลับใหล ภายใต้ท้องฟ้าแต่ละฤดูกาลของเมืองหลวงอย่างปักกิ่ง
จนปัจจุบันยังไม่พบระบบการสร้างงานสถาปัตยกรรมที่ใช้สีแบบง่ายๆ เช่นนี้บนพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่ใช้เส้นสีอันซับซ้อนเช่นนี้มาประคับประคองไว้ด้วย เมื่อองค์ประกอบทั้งสอง (หลังคาและตัวอาคาร) ยิ่งมีขนาดใหญ่ แถบสีที่อยู่ใต้ชายคายิ่งส่องแสง แวววาว เคลื่อนไหวอยู่ภายใต้เงาชายคานั้น ทําให้หลังคาที่ดูหนักลอยสูงขึ้น ขณะเดียวกันนั้นก็ดึงรั้งไว้ให้อยู่ ณ ตําแหน่งเดิม
อ่านเพิ่มเติม :
- ไขปริศนาความนัยของ “สิงโตหูตั้ง-หูพับ” ในพระราชวังต้องห้ามของจีน
- พิธีกินเจของจักรพรรดิจีน ใน พระราชวังต้องห้าม
หมายเหตุ : บทความนี้เรียบเรียงจาก จ้าวกว่าเชา เขียน, อชิรัชญ์ ไชยพจน์พาณิช และ ชาญ ธนประกอบ แปล. ร้อยเรื่องราววังต้องห้าม, สำนักพิมพ์มติชน, พิมพ์ครั้งที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 27 ตุลาคม 2565