การสำรวจดาวหางยักษ์ เมื่อ 300 กว่าปีก่อน ที่เกาะเสม็ด

ภาพหอดูดาว วัดสันเปาโล เมืองลพบุรี สร้างขึ้นบริเวณพื้นที่พระราชทานจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
หอดูดาว วัดสันเปาโล เมืองลพบุรี สร้างขึ้นบริเวณพื้นที่พระราชทานจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

หากกล่าวถึงการสำรวจทางดาราศาสตร์ในประวัติศาสตร์ของไทยครั้งสำคัญ เรามักนึกถึงเหตุการณ์จันทรุปราคา วันที่ 11 ธันวาคม 2228 ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ลพบุรี และเหตุการณ์สุริยุปราคาเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2411 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

แต่ยังมีอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญ คือ การสำรวจดวงหาง ที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง

การสำรวจดาวหางยักษ์ที่เกาะเสม็ดได้เกิดขึ้นในปี 2229 ตามหลักฐานบันทึกของบาทหลวง เดอ ฟองเตอเนย์ (Père de Fontaney) ถึงบาทหลวงแวร์ชุส (Père Verjus) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในหนังสือ Second voyage du père Tachard et des jésuites envoyés par le Roy au royaume de Siam หรือ จดหมายเหตุการเดินทางครั้งที่ 2 ของบาทหลวงตาชารด์กับบาทหลวงคณะเยซูอิต

บาทหลวง เดอ ฟองเตอเนย์ คือผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอธิการและเป็นหัวหน้าคณะบาทหลวงเยซูอิต ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับคณะราชทูต เดอ โชมองต์ ในปี 2228 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีพระราชประสงค์จัดส่งคณะบาทหลวงเยซูอิตชุดนี้ไปเผยแผ่ศาสนาคริสต์ที่ประเทศจีนในฐานะนักคณิตศาสตร์ และเป็นผู้มีความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ ภูมิศาสตร์ อุทกศาสตร์ และประวัติศาสตร์อีกด้วย

เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงทราบดังนั้น ก็มีพระราชประสงค์ขอคณะบาทหลวงเยซูอิตสร้างหอดูดาวขึ้นในราชอาณาจักรสยามตามแบบเดียวกับที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน [1]

สมเด็จพระนารายณ์ทอดพระเนตรจันทรุึปราคา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2228

ในช่วงเวลาดังกล่าวกำลังจะเกิดปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่สำคัญ คือ จันทรุปราคา (11 ธันวาคม 2228) [2] คณะบาทหลวงเยซูอิตจึงได้เตรียมการสำรวจ ณ พระที่นั่งไกรสรสีหราช เปรียบเทียบความแตกต่างของเส้นละติจูดและเส้นลองจิจูดระหว่างกรุงปารีสและเมืองลพบุรี ทูลเกล้าฯ ถวายแผนภาพอุปราคาให้ทอดพระเนตรไว้เป็นการล่วงหน้า และเตรียมกล้องโทรทรรศน์ขนาดยาว 5 ฟุต สำหรับทอดพระเนตรจันทรุปราคา ซึ่งพระองค์มีพระราชปุจฉาแสดงความพอพระราชหฤทัยเป็นพิเศษ

หลังเหตุการณ์จันทรุปราคา คณะบาทหลวงเยซูอิตทั้ง 4 รูป โดยบาทหลวง เดอ ฟองเตอเนย์ เป็นหัวหน้าคณะก็ได้โดยสารเรือโปรตุเกสที่มีนายอังเดร นอเรต์ เป็นนายเรือ ออกจากสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2229 เพื่อไปเผยแผ่ศาสนาคริสต์ที่ประเทศจีน โดยมีจุดหมายปลายทางคือเมืองมาเก๊าซึ่งขณะนั้นเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส

เมื่อเรือแล่นไปได้เพียง 5 วัน คณะบาทหลวงเยซูอิตก็ต้องเผชิญกับปัญหาลูกเรือที่ไม่มีทักษะความชำนาญในการเดินเรือและการสื่อสาร รวมถึงลมพายุอย่างรุนแรงเมื่อถึงบริเวณนอกชายฝั่งเทือกเขาบรรทัด ทำให้สายระยางรั้งใบกลางลำเรือหัก เรือมีรอยแตกปริรอบด้าน และน้ำทะเลไหลทะลักเข้ามาในเรืออย่างต่อเนื่องจนต้องทิ้งข้าวสารและเสบียงอาหารเพื่อระบายน้ำหนัก สุดท้ายนายเรือต้องตัดสินใจแล่นเรือกลับมาทอดสมอตรงบริเวณเกาะเสม็ด (Cossomet) [3] ในเขตเมืองระยอง

บาทหลวง เดอ ฟองเตอเนย์จึงตัดสินใจพาคณะบาทหลวงเยซูอิต คนรับใช้ ล่าม ฯลฯ ลงเรือฉลอม 2 ลำ เพื่อกลับไปเปลี่ยนเรือที่สันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ไม่สามารถฝ่ากระแสลมไปได้ จึงเปลี่ยนไปขอความช่วยเหลือที่เมืองจันทบูร (Chantaboun) หรือเมือง “จันทบุรี” แทน

เจ้าเมืองจันทบูรเป็นชาวมลายู อายุประมาณสี่สิบปี และนับถือศาสนาอิสลาม บาทหลวง เดอ ฟองเตอเนย์แจ้งจุดประสงค์การขอความช่วยเหลือให้เจ้าเมืองทราบ คือ การซ่อมเรือโปรตุเกสที่เกาะเสม็ดและกลับไปยังสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยาให้เร็วที่สุดเพื่อเปลี่ยนเรือไปมาเก๊า พร้อมทั้งแจ้งสิทธิพิเศษว่าได้รับพระบรมราชานุเคราะห์จากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและได้รับการอุปถัมภ์จากออกพระฤทธิกำแหง (คอนสแตนติน ฟอลคอน) นับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรสยาม

การซ่อมเรือโปรตุเกสใช้กว่าครึ่งเดือนจึงแล้วเสร็จ

วันที่ 1 สิงหาคม 2229 เจ้าเมืองจันทบูรได้ไปส่งคณะบาทหลวงเยซูอิตบนเรือโปรตุเกสที่ทอดสมออยู่หน้าเกาะเสม็ด บาทหลวง เดอ ฟองเตอเนย์จึงได้เขียนหนังสือถึงออกพระฤทธิกำแหง (คอนสแตนติน ฟอลคอน) เพื่อรายงานอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปถึงเมืองมาเก๊าและฝากเจ้าเมืองนำไปส่งให้ รวมทั้งได้มอบถ้วยเงินและสิ่งของแปลกตาจากทวีปยุโรปให้เป็นการตอบแทน

เมื่อได้ตรวจสอบสภาพเรืออีกครั้ง ก็พบว่าเนื้อไม้ใต้ท้องเรือผุพังเป็นจำนวนมาก จำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมโดยด่วนระหว่างรอลมมรสุมเปลี่ยนทิศทางพากลับไปยังกรุงศรีอยุธยา [4] และนำไปสู่การสำรวจทางดาราศาสตร์ครั้งสำคัญบนผืนแผ่นดินไทยโดยมิได้คาดหมายมาก่อน

วันที่ 17 สิงหาคม 2229 เวลาสี่นาฬิกา ดาวหางยักษ์ได้เริ่มปรากฏเหนือฟากฟ้าบนเกาะเสม็ด บาทหลวง เดอ ฟองเตอเนย์ใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดยาว 2 ฟุตครึ่ง ส่องสำรวจก็พบว่า

“…เรามองเห็นคล้ายก้อนเมฆได้อย่างชัดเจน ทำมุมสามเหลี่ยมหน้าจั่วใหญ่กับเท้าของดาวนายพราน (Orion) ที่ชื่อว่ารีเชล (Rigel) และดาวสุนัขใหญ่ดวงงามที่ชื่อว่าซิริอุส กับเท้าของหมู่ดาวสุนัขน้อยที่เบเยอร์ (Bayer) ให้ชื่อว่า B. อีกด้วย นอกจากนั้นยังอยู่ในแนวเส้นตรงกับดาวซิริอุสและดาวกาโนปุส (Canopus) หางจรดดาวกระต่ายที่เบเยอร์ให้ชื่อว่า Z. แล้วผ่านไปยังดวงที่เขาให้ชื่อว่า N. เราเห็นหางของมันพาดไปทางดาวทั้งสองดวงนี้อย่างรางเลือนมาก…”

วันที่ 19 สิงหาคม 2229  “…ตอนตีห้าสังเกตฝ่าก้อนเมฆเข้าไป โดยวาดเส้นตรงจากซิริอุสไปหาโปรซิอ็อง (Procyon) ดาวหางนั้นอยู่ใต้ลงมาประมาณครึ่งองศาไปทางทิศตะวันออก จึงทำมุมสามเหลี่ยมหน้าจั่วกับดาวรีเชล และไหล่ขวาของหมู่ดาวนายพรานที่เบเยอร์ให้ชื่อว่า P. ส่วนหางนั้นมองไม่เห็นเนื่องจากกลุ่มเมฆบดบังเสียมิด”

วันที่ 23 สิงหาคม 2223 “…หัวดาวหางนั้นมีขนาดใหญ่เท่าๆ กับดาวดวงงามของหมู่ดาวสุนัขน้อย และมีแสงแจ่มจรัสมาก…มีเมฆหมอกส่องแสงเรืองอยู่เฉพาะตรงกลาง ดาวหางนั้นด้านหนึ่งอยู่ในแนวเส้นตรงพาดจากไหล่ซ้ายของหมู่ดาวนายพรานที่มีขนาดใหญ่กว่าเพื่อน กับตรงกลางดาวอีกสองดวงของหมู่ดาวสุนัขน้อยที่เรียกว่าโปรซิอ็องนั้น และดาวดวงหนึ่งที่เป็นคออีกด้านหนึ่งอยู่บนแนวเส้นตรงพาดจากเท้าทางด้านทักษิณของดาวปู (Cancer) ที่เบเยอร์ให้ชื่อว่า B. กับไหล่ของหมู่ดาวคนคู่ (Jumeaux) ที่เบเยอร์ให้ชื่อว่า X. ส่วนหางนั้นทำเส้นขนานกับเท้าทางด้านทักษิณของหมู่ดาวปูกับหมู่ดาวสุนัขน้อย แต่ยังอยู่ห่างอีกมากจากดาวดวงนี้ เมื่อเทียบเคียงการสังเกตครั้งนี้กับครั้งแรกแล้วก็เห็นได้ว่าดาวหางดวงนี้ได้โคจรผ่านน่านฟ้าจากทิศใต้ไปทางทิศเหนือและตัดเส้นแถบศูนย์สูตรตรง 3 องศาเยื้องไปทางขวา…” [5]

บาทหลวง เดอ ฟองเตอเนย์ทำการสำรวจเป็นระยะเวลาประมาณ 9 วัน ตั้งแต่วันที่ 17-25 สิงหาคม 2229 ตลอดระยะเวลาที่ปรากฏเหนือฟากฟ้าบนเกาะเสม็ด ทำให้ทราบว่าดาวหางนี้เป็น “ดาวหางยักษ์” กล่าวคือ เป็นดาวหางที่มีนิวเคลียสใหญ่และไวต่อการกระตุ้น และเข้าใกล้ดวงอาทิตย์และโลกมาก สอดคล้องกับการบันทึกข้างต้นว่ามีความสว่างมากเป็นพิเศษจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในเวลาเช้ามืด และได้วาดภาพดาวหางยักษ์เพื่อส่งต่อไปยังสภาราชบัณฑิตแห่งฝรั่งเศส รวมทั้งวาดแผนที่บริเวณอ่าวเกาะเสม็ดไว้ด้วย [6] แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าไม่มีการค้นพบหรือเผยแพร่จนถึงปัจจุบัน

ในขณะที่อีกซีกโลกหนึ่ง ณ แหลมกู๊ดโฮป ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งขณะนั้นตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของประเทศเนเธอร์แลนด์ Simon van der Stel เจ้าเมืองแหลมกู๊ดโฮปคนแรกได้บันทึกถึงดาวหางไว้เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2229 ว่า “…เวลาหนึ่งนาฬิกาที่เส้นขอบฟ้า ดาวหางขนาดยาวผ่านวงโคจรของดาวเสาร์และดาวศุกร์ บนไหล่ซ้ายของดาวกระต่ายป่า…หางพาดไปทางขวา ทิศตะวันออก และทิศตะวันตกที่ 35 องศา ของกลุ่มดาวคนคู่” ซึ่งตำแหน่งที่ค้นพบ คือ ใกล้กับดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดของกลุ่มดาวหมาป่า (beta Lupi) จึงกลายเป็นผู้คนพบดาวหางยักษ์ดวงนี้และถูกตั้งชื่อตามปีที่ค้นพบว่า “C/1686 R1” [7]

เมื่อวิทยาการทางดาราศาสตร์เจริญก้าวหน้าขึ้นในยุคสมัยปัจจุบัน ทำให้มีข้อมูลดาราศาสตร์ที่น่าเชื่อถือที่สุดขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ “องค์การนาซา” โดยสร้างแบบจำลองวงโคจรของดาวหางยักษ์ “C/1686 R1” จากการประมวลผลข้อมูลที่ได้จากการสำรวจในประเทศแอฟริกาใต้ บราซิล อินโดนีเซีย ไทย และทวีปยุโรปในอดีต พบว่าได้ปรากฏขึ้นให้เห็นบนโลกเป็นระยะเวลา 29 วัน ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม-19 กันยายน 2229

ซึ่งสอดคล้องกับการสำรวจตามบันทึกของบาทหลวง เดอ ฟองเตอเนย์โดยมีความรีเท่ากับ 1 คือ วงโคจรแบบพาราโบลา (parabola) โคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด 0.336 หน่วยดาราศาสตร์ (AU) ทำมุม 35 องศา หมุนด้วยความเร็ว 72.7 กิโลเมตร/วินาที และมีความสว่าง 1-2 แมกนิจูด (Magnitude) หมายถึงมีความสว่างมาก [8] ซึ่งมีข้อสังเกตว่าลักษณะวงโคจรและความสว่างของดาวหางยักษ์ “C/1686 R1” มีความใกล้เคียงกับดาวหางยักษ์ “ฮัลเลย์” อันโด่งดัง แต่มีความแตกต่างตรงที่เป็นดาวหาง “คาบยาว” ซึ่งอาจจะมาปรากฏให้เห็นอีกครั้งบนโลกในระบบสุริยะอีกหลายแสนปีข้างหน้า

ดังนั้น การสำรวจดาวหางยักษ์ “C/1686 R1” ของบาทหลวง เดอ ฟองเตอเนย์ ที่เกาะเสม็ด เมืองระยอง ระหว่างวันที่ 17-25 สิงหาคม 2229 จึงเป็นการสำรวจทางดาราศาสตร์ที่มีคุณค่าบนผืนแผ่นดินไทยครั้งสำคัญ เนื่องจากได้สร้างความชัดเจนต่อการไขปริศนาวงโคจรของดาวหางเมื่อได้รับการตรวจสอบจากสภาราชบัณฑิตแห่งฝรั่งเศส ดังทัศนคติของบาทหลวง เดอ ฟองเตอเนย์ที่มีต่อการสำรวจทางดาราศาสตร์ถึงบาทหลวงแวร์ชุสว่า

“นักดาราศาสตร์จักประสบความสำเร็จภายในไม่ช้านี้ ในการพยากรณ์อนาคตได้ตามเกณฑ์ที่สถิตอันเป็นระเบียบของดวงดาว เมื่อได้รับการรวมตัวกันเข้าเป็นหมู่อันจำกัด และกำหนดวงโคจรเป็นกฎเกณฑ์แน่นอนตายตัวลงได้” [9]

ในท้ายที่สุด คณะบาทหลวงเยซูอิตสามารถกลับไปถึงสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยาได้ในวันที่ 12 กันยายน 2229 และสลับพำนักระหว่างกรุงศรีอยุธยาและลพบุรีเพื่อก่อสร้างหอดูดาวทั้งสองแห่งระหว่างรอฤดูมรสุมอีกครั้ง สันนิษฐานว่าได้ออกเดินทางราวเดือนมิถุนายน 2230 และไปถึงประเทศจีนโดยสวัสดิภาพ 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เชิงอรรถ

[1] กีย์ ตาชารด์. จดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยาม ครั้งที่ 1 และจดหมายเหตุการเดินทางครั้งที่ 2 ของบาทหลวงตาชารด์. น. 86.

[2] ก่อนการสำรวจจันทรุปราคาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2228 บาทหลวง เดอ ฟองเตอเนย์และบาทหลวง เดอ ชัวซีย์ได้มีโอกาสสำรวจจันทรุปราคาครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2228 บนเรือลัวโซ บริเวณมหาสมุทรอินเดีย

[3] กีย์ ตาชารด์. จดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยาม ครั้งที่ 1 และจดหมายเหตุการเดินทางครั้งที่ 2 ของบาทหลวงตาชารด์. น. 208-210.

[4] เพิ่งอ้าง, น.228-229.

[5] เพิ่งอ้าง, น.230-232.

[6] เพิ่งอ้าง, น.229-232.

[7] T.P. Cooper. “A History of comet discovery from South Africa,” in Monthly Notes of the Astronomical Society of Southern Africa. Vol. 62, (August 2003), p. 170, 172.

[9] NASA. “C/1686 R1,”  https://ssd.jpl.nasa.gov/sbdb.cgi?sstr=C/1686%20R1;orb=1;cov=0;log=0;cad=0, Retrieved from May 4, 2021.

[9] กีย์ ตาชารด์. จดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยาม ครั้งที่ 1 และจดหมายเหตุการเดินทางครั้งที่ 2 ของบาทหลวงตาชารด์. น. 289.

บรรณานุกรม

กีย์ ตาชารด์. จดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยาม ครั้งที่ 1 และจดหมายเหตุการเดินทางครั้งที่ 2 ของบาทหลวงตาชารด์. แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร. นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2551.

พิทยะ ศรีวัฒนสาร. “การเดินทางบนเรือโปรตุเกสของบาทหลวงฝรั่งเศสสมัยพระนารายณ์: บันทึกการเดินทางกับแผนที่โบราณในฐานะเครื่องมือสำคัญทางประวัติศาสตร์,” http://siamportuguesestudy.blogspot.com/2012/03/blog-post_24.html?m=1, 3 พฤษภาคม 2564.

มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน. “ดาวหางที่ปรากฏให้เห็นในประเทศไทย,” https://www.saranukromthai.or.th/sub/book/book.php?book=31&chap=7&page=t31-7-infodetail09.html, 3 พฤษภาคม 2564.

T.P. Cooper. “A History of comet discovery from South Africa.” in Monthly Notes of the Astronomical Society of Southern Africa. Vol. 62, (August 2003), p. 170, 172.

NASA. C/1686 R1,” https://ssd.jpl.nasa.gov/sbdb.cgi?sstr=C/1686%20R1;orb=1;cov=0;log=0;cad=0, May 4, 2021.

_____. “Great Comets in History,” https://ssd.jpl.nasa.gov/?great_comets, May 4, 2021.


หมายเหตุ : บทความนี้คัดย่อจาก ธีรพงศ์ เรืองขำ. “การสำรวจดาวหางยักษ์ “C/1686 R1” ที่เกาะเสม็ด” ใน, ศิลปวัฒนธรรม กันยายน 2564.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 20 ตุลาคม 2565