ดาวหาง, ผีพุ่งไต้ ฯลฯ ปรากฏการณ์บนท้องฟ้า หรือลางร้ายจากจักรวาล?

ดาวหาง

ดาวหาง ผีพุ่งไต้ ฯลฯ ปรากฏการณ์บนท้องฟ้า หรือ ลางร้าย จากจักรวาล?

บทความนี้คัดย่อจาก “ฝนดาว ลางร้ายจักรวาล” ของ เกวลินทร์ ที่เคยตีพิมพ์ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนกันยายน 2541 เนื่องจากเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันนั้น จะมีปรากฏการณ์ “ฝนดาวตก” ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในประเทศไทย ขณะที่ตื่นเต้นที่จะได้ดูฝนดาวตก ก็มีอีกมุมหนึ่งก็มองว่านี่คือ “ลาง” บอกเหตุใดหรือไม่ ซึ่งเกวลินทร์อธิบายไว้ดังนี้ (จัดย่อหน้าใหม่และสั่งเน้นคำโดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม)


 

บันทึกเก่าแก่ที่ค้นพบในจีนระบุว่า นักปราชญ์จีนศึกษาเรื่องดาวหางเมื่อ 4,000 ปีมาแล้ว แต่พวกแรกที่สืบสาวหาความจริงตามระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ คือ อพอลโลนิอุส แห่งมินดุส ปราชญ์ชาวกรีก ที่มีอายุอยู่ในช่วงพลังพุทธกาลราว 300 ปี

อย่างไรก็ดีบุรุษผู้ตั้งสมมติฐานสะท้านโลก จะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่สุดยอดปราชญ์ชาวกรีกนามว่า อริสโตเติ้ล ด้วยสมมติฐานที่ว่า

ดาวหางเป็นปรากฏการณ์ในบรรยากาศโลก ที่ไม่ใช่พวกเดียวกับดาวเคราะห์ ดาวหางจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเกิดการเผาไหม้อย่างพอเหมาะพอดีระหว่างวัตถุกับไอน้ำที่ลอยระเหยจากเบื้องต่ำสู่เบื้องสูง

หากตีความอย่างไทยๆ เป็นการเผาไหม้อย่างเชื่องช้าของไอร้อนที่ลอยตัวขึ้นมาจากพื้นพิภพ มันก็คงจะคล้ายกับบังไฟพญานาค ปรากฏการณ์มหัศจรรย์ในแม่น้ำโขง เพียงว่ารุนแรงและเนิ่นนานกว่า และหากว่ามันเผาไหม้เร็วเกินไป ก็จะกลายเป็น “ผีพุ่งไต้” หรือดาวตก

อริสโตเติ้ลสนับสนุนเหตุผลนี้ด้วยสถิติที่ว่า ปีใดมีดาวหางปรากฏหลายดวง ปีนั้นโลกจะร้อน แล้ง และมีพายุ จึงไม่น่าประหลาดใจ หากแนวคิดดังกล่าวจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “ลางร้าย” ที่ถ่ายทอดต่อเนื่องกันมาไม่น้อยกว่า 2,000 ปี

ดาวเพลิงชะตาเมือง

วิทยาการในโลกปัจจุบัน ทำให้เรารู้ว่าหางของดาวหางประกอบด้วยอนุภาคของประจุไฟฟ้า ก๊าซที่เป็นกลาง และผงฝุ่นขนาดใหญ่ จากเหตุที่ดาวหางบางดวงมีขนาดใหญ่เท่ากับโลก หรือบางดวงใหญ่กว่าถึง 50 เท่า

ดังนั้นหางของดาวหางบางดวงอาจวัดความยาวได้เป็นร้อยๆ ล้านกิโลเมตร

แม้ว่าทุกวันนี้อวกาศยังคงเป็นเรื่องราวที่เร้นลับ กระนั้นมนุษย์ยังอุตส่าห์หาข้อสรุปที่อาจไม่ใช่ข้อเท็จจริงในอนาคตได้ว่า กาแล็กซี (Galaxy) ที่หมายถึงระบบดาวฤกษ์จำนวนประมาณ 1 แสนล้านดวงเหล่านี้ มีอิทธิพลต่อระบบของดวงอาทิตย์ที่มีโลกเป็นสมาชิกอยู่ด้วย เนื่องจากสุริยจักรทั้งระบบต้องโคจรไปรอบๆ ใจกลางกาแล็กซี อิทธิพลดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นผลพวงจากการพุ่งชนของอนุภาครังสีคอสมิก ที่นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งเชื่อว่ามีส่วนทำให้เกิดพัฒนาการของชีวิตบนโลก

รังสีคอสมิก เป็นอนุภาคของแก่นกลางอะตอมความเร็วสูง (ระดับเดียวกับแสง) ที่แผ่กระจายมาจาก “ดาวระเบิดใหญ่” หรือซูเปอร์โนวา

ดาวระเบิดใหญ่เป็นปรากฏการณ์ของดาวฤกษ์ที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์นับสิบเท่า ที่อยู่ในสภาพ “ใกล้ดับ” ก่อนที่มันจะยุบตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้อุณหภูมิภายในสูงขึ้นแบบเฉียบพลันเป็นแสนล้านองศา เปรียบได้กับไฟบรรลัยกัลป์ ปรากฏการณ์เช่นนี้จะทำให้รังสีคอสมิกถูกสาดออกสู่อวกาศทุกทิศทาง

นักดาราศาสตร์ประเมินว่าในกาแล็กซีที่มีดวงอาทิตย์เป็นสมาชิกอยู่นี้ มีดาวระเบิดใหญ่อุบัติขึ้นดวงหนึ่งทุกๆ 300 ปี เมื่อเทียบอายุของกาแล็กซีประมาณ 1 หมื่นล้านปี เป็นไปได้ว่าน่าจะมีดาวระเบิดมาแล้วกว่า 30 ล้านดวง

ปรากฏการณ์อันพิสดารล้ำลึกที่เกิดขึ้นในจักรวาลต่อเนื่องและยาวนานนับล้านๆ ปีมาแล้วนั้น ถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อยากต่อการอธิบายอย่างยิ่ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากโครงสร้างของโหราศาสตร์ที่เป็นปึกแผ่นแน่นหนาอยู่แล้ว จะยังมีอิทธิพลอยู่ตราบใดที่ข้ออ้างอิงอันเกี่ยวข้องกับอิทธิพลแห่งจักรวาลที่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยังค้นหาคำตอบไม่พบ

ตำราทางโหราศาสตร์ถือเอาโลกเป็นศูนย์กลางของอิทธิพลทั้งมวลในจักรวาล เป็นความเชื่อแต่เดิมตั้งแต่ครั้งที่เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของเอกภพ และแม้ว่าตำราโหราศาสตร์สากลจะถือว่าดวงอาทิตย์เป็นเทพแห่งการถือกำเนิด ในขณะที่ชาวโรมันบูชาเป็น “เทพแฝด” คู่กับเทพดีอานา เทพธิดานักล่าสัตว์อันหมายถึงดวงจันทร์ก็ตาม แต่ดวงชะตามนุษย์ทั้งหมดกลับผูกผังเป็นแบบแผนอย่างเคร่งครัดกับตำแหน่งดาวเคราะห์โดยตรง

และแม้ว่าโลกสมัยใหม่จะสามารถอธิบายได้แล้วว่า ดาวหางเป็นเพียง “ก้อนน้ำแข็งสกปรก” ถึงกระนั้นมันก็ยังมีอิทธิพลต่อความเชื่อของมนุษย์อยู่ดี

ในคัมภีร์โหราศาสตร์ไทยให้ความสำคัญกับดาวหาง 5 จำพวก อาทิ ดาวกลำพูกัน (ดาวหางเรียงแบบแผ่นกระดาน) ดาวโลง (ประกอบด้วยดาวหาง 11 ดวง) ดาวแสงศึก ดาวธนูศึก (ดาวหางแฝดรูปคันธนู) และดาวหางสีแดง นอกจากนี้ยังกล่าวถึงบาตสี่และธุมสองอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง

บาตสี่ คือ อสนีบาต กลาบาต คาหกาบาต และอุกกาบาต ส่วนธุมสอง คือ ธุมเกตุ และธุมเพลิง

อสนีบาตหรือฟ้าผ่า ตกที่ใดปีหนึ่งสามหนไม่ดี

กลาบาตหรือก้อนแสงที่ตกลงมาจากอากาศ หมายถึง ดาวตกสีแดงกลมโตเท่าผลมะพร้าว หากตกแต่ทิศบูรพาไปสู่ทิศอุดรร้ายนัก แต่ถ้าตกทิศอาคเนย์ไปสู่ทิศประจิมร้ายธรรมดา

คาหกาบาตหรือดาวตก สีดุจหนึ่งอาทิตย์เมื่ออัสดง เห็นปรากฏย่ำค่ำทั้ง 3 ทิศ 4 ทิศ ร้ายนัก

อุกกาบาต (ผีพุ่งไต้หรือดาวตก) ทำนายว่า ถ้าสีแดงช่วงเห็นเป็นทางยาว 3 ศอก หัวใหญ่ เท่าส้มโอ ตกแต่ทิศบูรพาไปสู่ทิศอุดรร้ายนัก ให้ประหยัดจงดี

ส่วนธุมเกตุ แสดงถึงดาวหาง (ดาวตก) ที่เห็นเป็นหมอกควันในอากาศผิดธรรมชาติ รูปร่าง คล้ายธง ทำนายว่า สีดุจหนึ่งควันไฟดอกไม้เพลิง เห็นเวลากลางวันร้ายนัก และธุมเพลิง เสมือนหนึ่งแสงสว่างที่เกิดขึ้นอย่างพิสดารในอากาศ ทำนายว่า ถ้าสีดุจควันเพลิงไหม้ ปรากฏเป็นหมู่ใน 3 ทิศ จะถึงกาลพินาศ ให้เร่งจำเริญเมตตาภาวนา กรณีนี้เรียกว่า อุบาทว์พระพาย

ตำราโหราศาสตร์ที่เกี่ยวกับบาตและธุมนี้ ถือเป็นการสำแดงให้เห็นของเทวดา…ด้วยเอ็นดูแก่หมู่มนุษย์ อันจะต้องอันตราย และมักใช้ประโยชน์ทำนายเรื่องของชะตาบ้านเมืองโดยเฉพาะ

มหัศจรรย์แห่งฟากฟ้า

ผีพุ่งไต้หรือดาวตก เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เมื่ออุกกาบาตวิ่งฝ่าชั้นบรรยากาศโลก กระทั่งลุกไหม้เห็นเป็นลูกไฟตกมาจากท้องฟ้า ในทางดาราศาสตร์จัดเป็นวัตถุจำพวกหินหรือโลหะเหล็ก อาจเป็นสะเก็ดดาวที่แตกตัวมาจากหมู่ดาวเคราะห์น้อย หรือจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ รวมถึงชิ้นส่วนของดาวหางที่หลงเหลืออยู่ในเส้นทางโคจรรอบดวงอาทิตย์

โดยประเด็นหลังนี้เองที่สร้างปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ให้ชาวโลกได้เห็นพร้อมกับคำร่ำลือในทางร้ายอยู่บ่อยครั้ง

เคยมีบันทึกไว้เมื่อปลายปี 2509 คนในทวีปอเมริกาเหนือฝั่งตะวันตก เห็นดาวตกนับหมื่นๆ ดวง ภายในไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าย้อนกลับไปนานกว่านั้น ในช่วงเดียวกันของปี 2376 มีดาวตกนับแสนดวงอวดโฉมเต็มท้องฟ้า และน่าสนใจอย่างยิ่งที่ว่า เป็นกาตกแบบมาราธอนนานถึง 69 ชั่วโมง ปรากฏการณ์นี้นักดาราศาสตร์เรียกว่า ฝนดาวตก (Meteor shower)

แม้ไม่ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ใช่ความผิดปกติที่น่าเกรงกลัวแต่อย่างใด ในแต่ละคืนเรามีโอกาสเห็นดาวตกได้ไม่น้อยกว่า 5-6 ครั้งภายในช่วงเวลาหนึ่งๆ เสมอ แต่หากว่าโลกโคจรเข้าไปอยู่ในเส้นทางโคจรของดาวหาง และดึงดูดฝุ่นอุกกาบาตที่ดาวหางทิ้งไว้ให้ตกเข้ามายังชั้นบรรยากาศ ภาวะพิเศษของฝนดาวตกจึงเกิดขึ้น

ฝนดาวตกจะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่า “รอบการโคจร” พอเหมาะพอดีกันหรือไม่

จากการคาดการณ์ทางสถิติ ของนักดาราศาสตร์ระบุว่า ปีใดที่ดาวหางดวงนั้นๆ โคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ปีนั้นจะเกิดปรากฏการณ์ฝนดาว (เฉพาะของดวงนั้น) หนาแน่นที่สุดกว่าปีที่ผ่านๆ มาด้วย…

ราชันย์แห่งฝนดาว

ไม่มีใครย้อนภาพให้เห็นจริง แต่ภาพวิจิตรตระการตาของฝนดาวนับหมื่นๆ ดวง ที่พาดผ่านท้องฟ้าทางฝั่งตะวันออกของอเมริกาเหนือ ณ รุ่งอรุณ วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2376 จะสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงสะดุดตาขนดไหน เป็นความรู้สึกที่บันทึกเป็นข้อความดังว่า…ผู้คนเกือบค่อนทวีป โจษจันถึง “พายุฝนดาว” ดังกล่าว ด้วยเกรงกันว่าปรากฏการณ์ครั้งนี้คือลางร้าย เป็นลางร้ายแห่งการแตกดับของโลก และลางร้ายดังกล่าว กระตุ้นเร้าให้นักดาราศาสตร์สมัยโน้นจับตามองอย่างใกล้ชิด พร้อมๆ กับชื่อ ลีโอนิดส์ เริ่มเป็นที่รู้จัก

จากการศึกษาย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เพียงปีเดียว นักดาราศาสตร์พบว่า เคยเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันและในช่วงเดียวกันมาแล้วครั้งหนึ่งในยุโรปและตะวันออกกลาง กระทั่งปลายปี 2509 เกิดข่าวดังอีกครั้ง คราวนี้มาจากฝั่งตะวันตกของสหรัฐ เกิดพายุฝนดาวตกกลุ่มนี้ โดยที่มันกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ประมาณว่ามากกว่า 150,000 ดวงต่อชั่วโมง

เหลือเชื่อ!!

ซึ่งปรากฏการณ์ในครั้งนั้นนักดาราศาสตร์วิเคราะห์ว่า เกิดจากการที่โลกเคลื่อนตัวเข้าไปอยู่ในเส้นทางโคจรของดาวหางดวงนี้เป็นระยะทางยาวถึง 35,000 กิโลเมตร

ฝนดาวตกลีโอนิดส์ เป็นฝนดาวจากดาวหางเทมเปล-ทัตเทิล (Tempel-Tutle) ในกลุ่มดาวสิงโต มีคาบวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ทุกๆ 33.2 ปี

ซึ่งหากเราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของฝนดาวกลุ่มนี้ อาจเห็นบทสรุปที่ว่า ฝนดาวตกลีโอนิดส์ จะปรากฏลดน้อยลงเรื่อยๆ จาก 100 ดวงต่อชั่วโมงลงมาถึงอัตราปกติคือราว 10-15 ดวงต่อชั่วโมง จากนั้นจะเพิ่มขึ้น เป็นวัฏจักรวนเวียนอยู่เช่นนี้…

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

วรเชษฐ์ บุญปลอด. ลีโอนิดส์ ราชาแห่งฝนดาวตก วารสารทางช้างเผือก, สมาคมดาราศาสตร์ไทย, ปีที่ 16 ฉบับที่ 4, ตุลาคม-ธันวาคม 2540.

ระวี ภาวิไล. ดาวหาง. สำนักพิมพ์เคล็ดไทย, 2516.

ภิญโญ พงศ์เจริญ. ดาวหางกับโหราศาสตร์. สำนักพิมพ์ธนฤต, 2540.

สาลิน วิรบุตร์. พายุฝนดาวตก. มติชน, 26 กุมภาพันธ์ 2541.


เผยแพร่ในระบบออนลไน์ครั้งแรกเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2565