สงครามเมืองเชียงกราน ไม่ใช่กรุงศรีอยุธยารบกับพม่า เปิดหลักฐานคู่รบที่น่าจะเป็น

สงครามเมืองเชียงกราน
พระสุริโยทัยชนช้างกับพระเจ้าแปร และสิ้นพระชนม์บนคอช้าง (ภาพจากโคลงภาพพระราชพงศาวดาร ฝีพระหัตถ์สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์)

“สงครามเมืองเชียงกราน” ไม่ใช่ “กรุงศรีอยุธยา” รบกับ “พม่า” ? เปิดหลักฐานคู่รบที่น่าจะเป็นในสงครามครั้งนี้

ในประชุมพงศาวดารภาคที่ 6 อธิบายเหตุการณ์ที่ไทยรบกับพม่า ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2463 โดยใช้พงศาวดารพม่า ฉบับหลวงเรียกว่า เรื่องมหาราชวงศ์ ฉบับหอแก้ว ที่พระไพสณฑ์สาลารักษ์ได้สำเนามาจากพม่า ร่วมกับจดหมายเหตุของชาวต่างประเทศและพระราชพงศาวดาร ประกอบขึ้นเป็นการอธิบายเรื่องสงครามระหว่างไทยกับพม่าตั้งแต่ครั้งแรกจนครั้งสุดท้าย

Advertisement

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ “พรรณนาการสงครามเป็นรายเรื่องโดยพิสดาร” ซึ่งหมายถึงทรงวินิจฉัยอธิบายความเพิ่มเติมจากข้อมูลต่างๆ ข้างต้น จนกลายเป็นเนื้อหาใหม่ของสงครามระหว่างไทยกับพม่าที่ผ่านสายตาและการนำเสนอของนักประวัติศาสตร์ ดังนั้น นักเรียนประวัติศาสตร์จึงสามารถตรวจค้นตรวจสอบ หากมีข้อมูลหรือข้อเสนอใหม่ได้อย่างแน่นอน

เพราะอ่านพบพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องเสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า พ.ศ. 2451  เมื่อถึงเมืองนครสวรรค์ได้ทอดพระเนตรชีวิตผู้คนและสภาพธรรมชาติตามลำน้ำแควใหญ่หรือแม่น้ำน่านเข้าไปตามลำน้ำเชียงไกร โดยมีพระบรมราชาธิบายว่า

“แม่น้ำเชียงไกรนี้ เป็นทางขึ้นไปแม่ยม ไปสุโขทัย สวรรคโลกได้ ในพงศาวดารว่าเสด็จไปเชียงกราน คงไปทางลำน้ำนี้ แต่เมืองจะอยู่แห่งใดถามยังไม่ได้ความ เพราะผู้ที่อยู่ในที่นี้เป็นคนมาจากที่อื่น ได้ความแต่ว่า ถ้าจะไปบางคลานอำเภอเมืองพิจิตร คงจะถึงในเวลาพลบค่ำ ได้ทำคำสั่งเรื่องที่จะตรวจสอบแม่น้ำเก่า…”

ในพงศาวดารที่พระมหากษัตริย์เสด็จไปเชียงกราน คงมีเพียงสมเด็จพระไชยราชาธิราชตามพงศาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ว่า

“ศักราช 900 จอศก (พ.ศ. 2081) แรกให้พูนดิน ณ วัดชีเสียงใสเดือนหกนั้น แรกสถาปนาพระพุทธเจ้าและพระเจดีย์ ถึงเดือน 11 ก็เสด็จไปเชียงไกร เชียงกราน เถิงเดือน 4 ขึ้น 9 ค่ำ เพลาค่ำประมาณยามหนึ่งเกิดลมพายุพัดหนักหนา และคอเรืออ้อมแก้วแสนเมืองมานั้นหัก และเรือไกรแก้วนั้นทลาย อนึ่ง เมื่อเสด็จมาแต่เมืองกำแพงเพชรนั้นว่าพระยานารายณ์คิดเป็นขบถและให้กุมเอาพระยานารายณ์นั้นฆ่าเสียในเมืองกำแพงเพชร”

ซึ่งเหมือนกับพงศาวดารอื่นๆ อีกหลายฉบับ ต่างกันแต่เพียงศักราช

ข้อความตอนสมเด็จพระไชยราชาธิราชเสด็จไป เชียงไกร เชียงกราน ใน พ.ศ. 2081 กลายเป็นสงครามระหว่างไทยกับพม่าครั้งแรก โดยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายสอบค้นกับพงศาวดารพม่าและจดหมายเหตุของปินโตชาวโปรตุเกส ความว่า

ในสงครามครั้งที่ 1 ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี คราวพม่าตีเมืองเชียงกราน ปีจอ พ.ศ. 2081 ว่ากองทัพพระเจ้าตะเบงชเวตี้เมืองตองอู มาตีเมืองหงสาวดีและเมืองเมาะตะมะ จัดการรวบรวมหัวเมืองมอญในมณฑลนั้น แล้วจึงยกทัพมาตีเมืองเชียงกรานซึ่งเป็นหัวเมืองปลายแดนไทย เมื่อปีจอ พ.ศ. 2081

“เมืองเชียงกรานนี้มอญเรียกว่า เมืองเดิงกรายน์ ทุกวันนี้อังกฤษเรียกว่า เมืองอัตรัน อยู่ต่อแดนไทยทางด่านพระเจดีย์สามองค์ พลเมืองเป็นมอญ แต่เห็นจะเป็นเมืองขึ้นของไทยมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ทำนองพระเจ้าตะเบงชเวตี้จะคิดว่าเป็นเมืองมอญ จึงประสงค์จะเอาไปเป็นอาณาเขต

เมื่อพระเจ้าตะเบงชเวตี้มาตีได้เมืองเชียงกราน สมเด็จพระไชยราชาธิราชครองกรุงศรีอยุธยาจึงเสด็จยกกองทัพหลวงไปรบพม่า ในหนังสือพระราชพงศาวดารมีปรากฏแต่ว่า ‘ถึงเดือน 11 เสด็จไปเมืองเชียงกราน’ เท่านี้ แต่มีจดหมายเหตุของปินโตโปรตุเกสว่า ครั้งนั้นมีพวกโปรตุเกสเข้ามาตั้งค้าขายอยู่ในกรุงศรีอยุธยา 130 คน สมเด็จพระไชยราชาธิราชเกณฑ์โปรตุเกสเข้ากองทัพไปด้วย 120 คน (เหตุด้วยพวกโปรตุเกสชำนาญใช้ปืนไฟซึ่งในสมัยนั้นชาวตะวันออกยังมิสู้จะเข้าใจใช้)  ได้รบพุ่งกับพม่าที่เมืองเชียงกรานเป็นสามารถ

ไทยตีกองทัพพม่าแตกพ่ายไป ได้เมืองเชียงกรานเป็นของไทยดังแต่ก่อน เมื่อสมเด็จพระไชยราชาธิราชเสด็จกลับมาถึงพระนครทรงยกย่องความชอบพวกโปรตุเกสที่ได้ช่วยรบพม่าคราวนั้น จึงพระราชทานที่ให้ตั้งบ้านเรือนที่แถวบ้านดิน เหนือคลองตะเคียน แล้วพระราชทานอนุญาตให้พวกโปรตุเกสสร้างวัดวาสอนศาสนากันตามความพอใจ จึงเป็นเหตุที่จะได้มีวัดคริสตังและพวกบาทหลวงมาตั้งในเมืองไทยแต่นั้นมา” (ประชุมพงศาวดารภาคที่ 6 เล่มที่ 5 : 2506, หน้า 11-12)

การท่องเที่ยวผจญภัยของแฟร์นัง มังเดซ ปินโต ค.ศ. 1537-1558 ตอนที่เกี่ยวกับราชอาณาจักรสยามไม่มีตอนใดที่กล่าวถึงการสงครามกับพม่า แต่เป็นสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับเชียงใหม่ดังนี้

“เราไปถึงกรุงศรีอยุธยา (Odia) ข้าพเจ้าใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มที่นั่นใช้เงิน 100 ดูกาต์ ที่เพื่อนให้ยืมมานั้นซื้อสินค้าตั้งใจว่าจะเอาไปขายที่ญี่ปุ่น เป็นขณะเดียวกันกับที่สมเด็จพระเจ้ากรุงสยามทรงทราบว่าพระเจ้ากรุงเชียงใหม่ (Chiammay) อันเป็นพันธมิตรกับพวกทิโมกูโฮ (Timocouhos) พวกลาวและแกว ชนชาติซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ตอนเหนือเมืองกำแพงเพชร (Capimper) กับพิษณุโลก (Passiloco) ได้มาล้อมเมืองกีติรวัน (Quitirvan) อยู่ จึงโปรดฯ ให้ป่าวประกาศไปทั่วราชธานีว่า บุคคลใดที่ยังไม่แก่เฒ่าและไม่ง่อยเปลี้ยเสียขา ให้เตรียมพร้อมที่จะไปในกองทัพทุกคน ตลอดแม้คนต่างด้าวก็เช่นกัน นอกจากว่าจะเลือกเอาทางออกไปให้พ้นประเทศของพระองค์เสียภายใน 3 วันเท่านั้น

สำหรับชาวโปรตุเกสซึ่งได้รับความยกย่องในประเทศนี้เหนือกว่าชนชาติอื่นๆ นั้น พระองค์ก็โปรดฯ ให้กรมพระคลัง (Combracaiam) ผู้รักษาพระนครมาขอร้องให้ร่วมไปในกองทัพของพระองค์ด้วยความสมัครใจ โดยพระองค์จะทรงแต่งตั้งให้เป็นกองร้อยรักษาพระองค์อันเป็นการบังคับเราอย่างยิ่ง กระทั่งว่าจำนวนชาวโปรตุเกส 130 คนนั้น ต้องโดยเสด็จงานพระราชสงครามด้วยถึง 120 คน

กองทัพนั้นเคลื่อนที่ไปโดยทางชลมารคเป็นเวลา 9 วันจึงถึงเมืองหน้าด่านชื่อเมืองสุโรพิเสม (Suropisem) ห่างจากเมืองกีติรวันประมาณ 12-13 ลิเออ และพักอยู่ที่นั่นถึง 7 วัน เพื่อรอขบวนช้างที่เดินมาโดยทางสถลมารค พอขบวนช้างมาถึงพระองค์ก็ทรงนำเข้าโจมตีพวกที่ล้อมเมืองอยู่ทันที เป็นผลให้ข้าศึกแตกพ่ายไปภายในไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

ครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงบับคับให้พระนางแห่งกิเบน (la reine de Guiben) ถวายเครื่องราชบรรณาการ เข้ายึดค่ายรอบทะเลสาบเมืองสิงกะปาโมร์ (Singapamor) หรือเชียงใหม่ได้ 12 แห่ง แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงศรีอยุธยา มีการฉลองชัยกันอย่างครึกครื้นถึง 12 วัน ตามธรรมเนียมทางศาสนาของพวกนอกศาสนาเหล่านั้น” (การท่องเที่ยวผจญภัยของแฟร์นัง มังเดซ ปินโต ค.ศ. 1537-1558, สันต์ ท.โกมลบุตร (แปล) : 2526 : หน้า 65-67)

แผนที่แสดงแม่น้ำเกรียงไกรหรือลำเชียงไกรในอดีต

พม่าย้ายศูนย์อำนาจทางการเมืองจากตอนเหนือของลุ่มอิระวดีสู่บริเวณหัวเมืองมอญแถบเมาะตะมะของกษัตริย์พม่าในราชวงศ์ตองอู เมื่อราว พ.ศ. 2084 ซึ่งทำให้ควบคุมเมืองท่าการค้าในยุคเริ่มแรกของการค้าทางทะเลที่ชาวตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทได้ และเริ่มต้นทำสงครามกับกรุงศรีอยุธยาครั้งแรกคราวสมเด็จพระสุริโยทัยขาดคอช้างเมื่อ พ.ศ. 2091 และยึดเมืองเชียงใหม่ได้เมื่อ พ.ศ. 2101 ก่อนจะถึงสงครามช้างเผือกและสงครามเสียกรุงใน พ.ศ. 2106 และ พ.ศ. 2111 ตามลำดับ

แต่พงศาวดารพม่าก็ไม่มีเรื่องที่รบกับกรุงศรีอยุธยา และพระเจ้าตะเบงชเวตี้ได้ชัยชนะเหนือเมืองเมาะตะมะเมื่อ พ.ศ. 2084 หลังจาก สงครามเมืองเชียงกราน ราว 3 ปี (สุเนตร ชุตินธรานนท์ : พม่ารบไทย, ๒๕๓๗ หน้า ๑๔๖-๑๔๗)

ในสงครามครั้งนั้น จึงเป็นการสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับเชียงใหม่ ในยุคที่กำลังอ่อนแอในเรื่องศูนย์อำนาจ พ.ศ. 2081 ที่เกิดสงครามเมืองเชียงกรานเป็นปีสุดท้ายของพระเมืองเกษเกล้า มหาเทวีจิรประภาครองเมืองชั่วคราวระหว่าง พ.ศ. 2088-2089 ก่อนที่สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชจากล้านช้างจะมาครองเมืองเชียงใหม่ และปล่อยให้พม่ายึดครองเชียงใหม่ในราวอีก 10 กว่าปีต่อมา

เมืองเชียงกรานน่าจะอยู่บริเวณใกล้เคียงกับเมืองกำแพงเพชรและเมืองพิษณุโลก ในจดหมายเหตุลาลูแบร์การเดินทางการกรุงศรีอยุธยาถึงนครสวรรค์โดยทางเรือใช้เวลา 25 วัน แต่ถ้ารีบเร่งอาจใช้เวลาเพียง 12 วัน ปินโตชาวโปรตุเกสเล่าว่าใช้เวลาเดินทาง 9 วันจึงถึงเมืองหน้าด่าน Suropisem ซึ่งน่าจะอยู่เหนือขึ้นไปจากนครสวรรค์ไม่ไกลนักเพื่อรอทัพทางบก แล้วรวมทัพทางบกต่อไปถึงเมืองเชียงกรานหรือ Quitirvan ที่ห่างออกไปราว 50-60 กิโลเมตร

บริเวณเมืองเชียงกรานจึงควรจะอยู่ในเขตรอยต่อระหว่างอำนาจทางการเมืองของล้านนาและกรุงศรีอยุธยา เหนือกำแพงเพชรและพิษณุโลกขึ้นไป แต่ไม่น่าจะเข้าเขตทุ่งเสลี่ยม เมืองเถิน เมืองลี้ซึ่งอยู่ในเขตล้านนา บริเวณที่ตั้งของเมืองเชียงกรานที่เหมาะสมคือ ในกลุ่มเมืองสุโขทัยและเมืองเชลียงหรือศรีสัชนาลัย ซึ่งระยะทางจากสุโขทัยถึงศรีสัชนาลัยอยู่ในระยะ 50-60 กิโลเมตร เมืองเชียงกรานจึงน่าจะอยู่ที่ศรีสัชนาลัยมากที่สุด ซึ่งเป็นบริเวณเหนือปากน้ำโพธิ์ขึ้นไป ลำเชียงไกรต่อกับแม่น้ำยมผ่านบริเวณกลุ่มเมืองเหล่านี้ ดังพระบรมราชาธิบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในเสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า

ปัจจุบันมีการเปลี่ยนชื่อลำน้ำและตำบลในแถบนี้เป็นแม่น้ำเกรียงไกรและตำบลเกรียงไกร ตามชื่อกำนัน คือ ขุนเกรียงไกรกำราบพาล ในสมัยรัชกาลที่ 7 ปากน้ำเชียงไกร อยู่เหนือปากน้ำโพธิ์เล็กน้อย อยู่ฝั่งตรงข้ามและเหนือกว่าปากคลองบอระเพ็ดไม่มากนัก

ปัจจุบันปากคลองแคบลงกว่าที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชนิพนธ์มาก ชาวบ้านส่วนใหญ่เรียกกันว่าปากคลองบางพระหลวงมากกว่าแม่น้ำเกรียงไกรและแทบไม่มีผู้ใดรู้จักในชื่อลำเชียงไกรแล้ว

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 18 พฤษภาคม 2560