ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมิถุนายน 2545 |
---|---|
ผู้เขียน | ไมเคิล ไรท์ |
เผยแพร่ |
ผมจะไม่ชักชวนให้ใคร “เรียกร้องแผ่นดินที่เสียไปกลับคืนมา” เพราะเกมนี้เป็นเกมโง่ๆ ใครที่ไหนทั่วโลกที่ “เรียกร้องดินแดน” (แม้จะมีความถูกต้อง) มักก่อความเสียหายมากกว่าสร้างสรรค์ (อย่าให้ผมพูดถึงตะวันออกกลาง)
ในบทความนี้ผมเพียงหมายจะชวนให้นักปราชญ์ไทย มองข้ามเส้นชายแดนที่อังกฤษและฝรั่งเศสขีดเขียน เมื่อร้อยกว่าปีนี้เอง (และขบวนการชาตินิยมนับถือนักหนา) เพราะเส้นหมึกบนแผนที่เหล่านี้ไม่ได้เป็นขอบเขตของวัฒนธรรมดังที่หลายคนเข้าใจมาก่อน
เป็นที่น่ายินดีว่า นักปราชญ์ไทยสมัยใหม่ไม่คิดหยุดยั้งความสนใจที่แม่ฮ่องสอน, หนองคาย, ช่องเม็ก, ปอยเปต หรือตากใบ อย่างไรก็ตามยังเป็นที่น่าเสียดายว่า มีนักปราชญ์หลายคนที่ยังมีจุดบอดจุดหนึ่ง นั่นคือแหลมยาวเพชรบุรีถึงไชยาบนฝั่งตะวันออก และระหว่างเมืองพัน (Martaban) ถึงปากจัน (Victoria Point) บนฝั่งตะวันตก ใครรู้ว่าฝั่งตะวันออกนี้คือ “ไทย” และฝั่งตะวันตกนั้นคือ “พม่า” ทั้งที่อังกฤษเพิ่งมากำหนดชายแดนในรัชกาลที่ 4
เพื่อนรักหลายๆ คนขยันหมั่นเพียรศึกษาวัฒนธรรมภาคใต้ แต่แทบไม่มีใครสนใจไยดีจะมองข้ามชายแดนเข้าไปใน “พม่า” ซึ่งอังกฤษเป็นฝ่ายขีดเส้นชายแดนเมื่อ 150 ปีที่แล้วนี้เอง, ทั้งที่ใครๆ รู้ว่าสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฝั่งตะวันตกเป็นเมืองท่าชั้นเอกของกรุงศรีอยุธยาที่มอญ-พม่าไม่เกี่ยว
ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง ต้นปี 2544 ผมกับอาจารย์ภูธร ภูมะธน นั่งรถยนต์จากกรุงเทพฯ ไปนครศรีธรรมราช ในระหว่างเพชรบุรีกับไชยา (ซึ่งเป็นระยะทางที่ยาวมาก) ผมปรารภกับภูธรว่า “ทำไมระหว่างเพชรบุรีกับไชยานี้จึงเป็นแดนปลอดประวัติศาสตร์ ไม่มีโบราณสถาน ไม่มีพระมหาธาตุเจดีย์”
อาจารย์ภูธรตอบว่า “เออนะ! เป็นความจริง คงเป็นเพราะแต่เดิมระยะนี้เป็นป่าดงดิบมีอู่ข้าวน้อย ประชาชนน้อย เรือต่างประเทศไม่มีธุระมาแวะ ผิดกับเพชรบุรี (และเหนือขึ้นไป) และไชยา (และใต้ลงไป) ที่เป็นอู่ข้าวใหญ่มีประชากรมากจึงพอตั้งเป็นบ้านเมืองได้”
ผมก็พยักหน้าเห็นด้วย
มาคิดภายหลังว่าทั้งผมและอาจารย์ภูธรตาบอดพอๆ กัน เพราะระหว่างเพชรบุรีและไชยายังมีเมืองท่าที่สำคัญมาก มีโบราณสถานและสำคัญมากทางประวัติศาสตร์ นั่นคือเมืองมะริด-ตะนาวศรี แต่เรานึกไม่ถึง เพราะว่า “มันอยู่ในพม่า นี่หว่า!”
ที่ผมเกิดสนใจมะริด-ตะนาวศรีเป็นเพราะผมค้นวารสารสยามสมาคม (Journal of the Siam Society) ฉบับเก่าๆ ใน J.S.S. ฉบับที่ 26 (ค.ศ. 1933) ผมเจอบทความของ A. Kerr ชาวอังกฤษพำนักในกรุงเทพฯ ชื่อ Notes on a Trip from Prachuap to Mergui ซึ่งบอกรายทางที่ท่าน และเพื่อนๆ เดินป่าจากประจวบคีรีขันธ์ถึงเมืองมะริดในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 1932 ใช้เวลา 11 วัน โดยเดินทางไม่รีบด่วน ท่านว่าอาจจะใช้เวลาเพียง 6 วัน หากรีบร้อนและเตรียมการล่วงหน้า
หลักฐานของ Mr.Kerr
คณะของนาย Kerr ไปถึงประจวบฯ โดยรถไฟแล้วออกเดินทางผ่านนองคำ? (Nawng Kam) และทุ่งมะตูม ถึงหินกองที่ชายแดนแล้วเข้า “พม่า” จากนั้นไปตลอดทาง นาย Kerr พบบ้านกะเหรี่ยงบ้างตามไหล่เขาห่างแม่น้ำ ที่ชาวบ้านเรียกว่า “แม้วไฮ่”
นอกนั้นท่านพบแต่บ้านคนไทยที่พูดภาษาใต้ ผิดกับชาวประจวบฯ (Siamese villagers on the Burmese side all speak a southern Siamese dialect, like that of the Peninsula from chumpawn southwards, quite distinct from that of the villagers in the Prachuap region)
จากหินกองไปถึงห้วยจีน, แม่น้ำวัด (หมู่บ้านร้างแต่มีและพระพุทธรูปอยู่), คลองท่าพริก (ต้นคลองสิงขรแควของแม่น้ำตะนาวศรีน้อยที่นำลงไปสู่เมืองมะริด-ท่าพริก?-เรือพอถ่อขึ้นมาถึง), หนองบัว (ทุ่งใหญ่ที่น่าจะเป็น Jalinga แผนที่เก่า), ห้วยตะเลหม้อ, ทุ่งม่วง, ท่าแพ, คลองอินทนิล, แดนน้อย (ช่องเขาที่มีหินกองอีกและน่าจะเป็นชยแดนเดิม), ห้วยทรายขาว (บ้านคนไทยประมาณ 20 ครัวเรือน)
แต่นั้นไปแม่น้ำไม่มีแก่งจึงลงเรือ อีกสามวันไปถึงเมืองตะนาวศรี (ชาวบ้านเรียกว่า “เมืองมะนาว” เป็นหมู่บ้านโทรมๆ ที่ยังมีซากกำแพงเมือง, วัด และเจดีย์)
วันรุ่งขึ้นลงเรือกลไฟไปรอดถึงเมืองมะริดตอนบ่ายวันเดียวกัน
น่าเสียดายที่ Kerr ไม่บอกรายละเอียดกว่านี้เรื่องเมืองตะนาวศรีและมะริด
ตลอดทางนี้นาย Kerr ไม่แจ้งว่าได้พบบ้านหรือคนมอญ หรือพม่าเลย
ต่อจากนี้เป็นทำเนียบชื่อสถานที่ตามรายทางของนาย Kerr ที่เป็นคำ “Siamese” นั้นผมเข้าใจว่าท่านฟังมาจากปากชาวบ้าน ที่เป็นคำ “Burmese” ท่านน่าจะได้มาจากแผนที่ที่รัฐบาลอังกฤษในพม่าทำขึ้นมาจากคำบอกเล่าของคนพม่า มีหลายคำ (ตัวเน้น) ที่น่าจะเป็นคำไทยออกเสียงตามปากพม่า แล้วเขียนตามการฟังของหูอังกฤษ ซึ่งพาให้วุ่นกันใหญ่พอสมควร
Siamese | Burmese | |
Chalawan | ชาละวัน | Salawan |
Den noi | แดนน้อย | Ngya-taung Pass |
Hat Keo | หาดแก้ว | Letpanthaung |
Hui Chin | ห้วยจีน | – |
Hui Sai Kao | ห้วยทรายขาว | Thebyn C. |
Hui Talemaw | ห้วยตะเลหม้อ | Ka-le-mo Chaung |
Kaw Sanuk | เกาะสนุก | Hatti-nang |
Klawng Intanin | คลองอินทนิล | Kalin-kwan Chaung |
Klawng Keo | คลองแก้ว | Indaw C. |
Klawng Meo Hai | คลองแม้วไฮ | Kvein C. |
Klawng Nguam? | คลองงวม? | Ngawun Chaung |
Klawng Sai | คลองใส | Banthe C. |
Klawng Taket | คลองตาแกด | Thagyet C. |
Klawng Ta Kilek | คลองท่าขี้เหล็ก | Iliam Chaung |
Klawng Ta Palat | คลองตาปลัด | Tabalat Chaung |
Klawng Ta Prik | คลองท่าพริก | Htaprik-yo-so |
Lem Yuan | แหลมญวน | – |
Manao | มะนาว | Tenasserim |
Menam Wat | แม่น้ำวัด | Mai-nam-wat |
Nawng Bua | หนองบัว | Naung bwa |
Singkawn | สิงขอน | Theinkun |
Taling Deng | ตลิ่งแดง | Kwegayan |
Ta Pe | ท่าแพ | – |
Tung Matum | ทุ่งมะตูม | – |
Tung Muang | ทุ่งม่วง | Htawng Mwun |
Wang Yai | วังใหญ่ | Kyauktalon |
หลักฐานของ Maurice Collis
Maurice Collis เป็นข้าหลวงอังกฤษที่ออกไปปกครองเมืองมะริด-ตะนาวศรีในทศวรรษ 1930 ท่านสนใจศึกษาตะวันออกมาก และเขียนหนังสือเกี่ยวกับอุษาทวีปหลายเล่ม หนังสือที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ Siamese White ว่าด้วยชีวิตของ Samuel White นักผจญภัย (และโจรสลัด) ชาวอังกฤษที่รับราชการสยาม เป็นนายท่าเมืองมะริดครั้งสมเด็จพระนารายณ์ และ Into Hidden Burma ว่าด้วยประสบการณ์ของตนเองในปลายยุคที่จักรวรรดิอังกฤษยังเป็นใหญ่
ในหนังสือสองเล่มนี้ Collis ได้อธิบายเส้นทางจากฝั่งทะเลอันดามันถึงฝั่งอ่าวสยามดังนี้
“นักเดินทางมักจ้างเรือพื้นเมืองที่ใช้ทั้งใบและพายเข้าปากน้ำตะนาวศรีที่อยู่ใต้เมืองมะริดเล็กน้อยในเวลาที่น้ำทะเลกำลังเริ่มขึ้น ชั่วโมงแรกน่าเบื่อเพราะมีแต่ป่าแสม ต่อมาทิวทัศน์ผายออกมาให้เห็นทุ่งนา, เรือกสวน และหมู่บ้านใหญ่น้อย บ้างยังมีซากกำแพงและคูเมือง และเป็นที่ขุดพบเครื่องถ้วยจีนและรูปสำริดแบบสยามที่มีอายุตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 ถึง 18 ประมาณครึ่งทางคือบ้าน Tonbyaw (หรือ Mawton) ใหญ่ที่สุด ปัจจุบันเป็นบ้านแขกมุสลิมที่มีหน้าตาออกแขกๆ นับถืออิสลาม แต่มีวิถีชีวิตแบบชาวอุษาคเนย์ทั่วไป
“ต่อมาอีก 20 ไมล์ก็ถึงเมืองตะนาวศรีที่ใหญ่โตพอสมควร สร้างในแผ่นดินสามเหลี่ยมที่แม่น้ำตะนาวศรีน้อย-ใหญ่บรรจบกัน มีกำแพงสูงล้อมรอบราวประมาณสี่ไมล์ เรือใหญ่ (หากแต่งให้ดี) ขึ้นไปถึงโดยสะดวก เป็นเมืองถ่ายสินค้าที่เต็มไปด้วยโกดัง, พ่อค้าคนกลาง และผู้แทนจากเมืองอื่น
“ต่อจากเมืองตะนาวศรีเส้นทางเริ่มลำบาก เพราะขึ้นไปตามแควน้อย (Little Tenasserim/คลองสิงขร/ คลองท่าพริก) ที่ไหลเชี่ยวและมีแก่งมาก มีแต่เรือลำเล็กที่พอถ่อขึ้นไปได้ ผ่านบ้าน Theinkun (สิงขร) และ Jalinga ระยะทางเพียง 40 ไมล์ แต่อาจจะใช้เวลาหลายวันแล้วแต่กระแสน้ำจะแรงแค่ไหน
“ถึง Jalinga แควน้อยใช้ไม่ได้อีก นักเดินทางจึงต้องขึ้นบกอาศัยเกวียนและลูกหาบตามเส้นทางขรุขระประมาณ 10 ไมล์ จนถึงช่องเขา แต่นั้นไปเส้นทางค่อยลาดลงไปจนถึงฝั่งตะวันตกที่มีถนนแล่นไปทางเหนือผ่านเมืองกุย, เมืองปราณ, เพชรบุรี…”
ท่านผู้อ่านคงสังเกตว่าหลักฐานของ Kerr กับของ Collis สนับสนุนกันบ้างขัดแย้งกันบ้าง
เรื่องนี้ไม่แปลก เพราะ Kerr คงถนัดภาษาไทยและฟังเสียงคนไทยตลอดรายทาง ในขณะที่ Collis เป็นอังกฤษ (ในพม่า) จึงคงถนัดภาษาพม่าหรืออาศัยคำให้การของล่ามชาวพม่าจึงไม่รู้ว่าเขาอยู่ท่ามกลางชาวสยาม อย่างไรก็ตามหลักฐานเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
หลักฐานของท่านจันทร์
ม.จ.จันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี ไม่เคยเดินป่าไปมะริด-ตะนาวศรี แต่ท่านสนใจเรื่องนี้มาก ในหนังสือ “Kalinga” ที่ท่านจันทร์เขียนเป็นภาษาอังกฤษเมื่ออายุมาก (ไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ แต่มีสำเนาในห้องสมุดสยามสมาคม) ท่านวิเคราะห์รายทางของ Kerr และ Collis และเพิ่มความรู้เกี่ยวกับการกำหนดชายแดนครั้งรัชกาลที่ 4 ที่น่าสนใจมาก
ในสายตาท่านจันทร์ (ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด) “เมืองมะริด” (ภาษาราชการ) คือ “เมืองท่าพริก” (ภาษาชาวบ้าน) และ “คลองท่าพริก” คือลำธารต้นแควน้อย หรือ Little Tenasserim River ที่บรรจบกับแม่น้ำตะนาวศรีใหญ่ที่เมืองตะนาวศรีแล้วไหลลงทะเลอันดามันที่เมืองมะริด (ท่าพริก) เป็นการเรียกแม่น้ำตามชื่อปากน้ำ ซึ่งมีตัวอย่างสนับสนุนอีกมาก
นอกจากท่านจันทร์จะวิเคราะห์เส้นทางของ Kerr และ Collis อย่างแนบเนียนตามหลักภาษาไทย ท่านยังอธิบายวิธีการตีเส้นชายแดนของอังกฤษชนิดที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน
ต่อไปนี้ผมจะเล่าสู่กันฟัง โดยจะเพิ่มหลักฐานจากแหล่งอื่นเท่าที่หามาได้ หากผิดพลาดประการใดเป็นความผิดของผม ไม่ใช่ของท่านจันทร์
ในสมัยอยุธยาแหลมทั้งหมดตั้งแต่กาญจนบุรี/เมืองทวายลงไปขึ้นกับกรุงศรีอยุธยา เป็น “สยาม” ไม่ใช่ “พม่า” หลักฐานไทย, เปอร์เซีย, โปรตุเกส, อังกฤษ และฝรั่งเศสรับรองทั้งนั้น
หลังเสียกรุง (ค.ศ. 1767) ฝั่งอันดามันกลายเป็นดินแดนขาดการปกครอง (No-man’s Land) ชั่วระยะหนึ่ง
ในรัชกาลที่ 2 กัปตัน Frances Light (พ่อค้าอังกฤษ) ขายอาวุธและดินปืนให้ท้าวเทพสตรี ทำให้แข็งเมื่อถลางกลับคืนสู่สยาม แล้วย้ายไปยังเกาะหมาก (Pinang) เป็นเมืองท่าของอังกฤษ
ในรัชกาลที่ 3 (ปี 1826) อังกฤษยึดชายฝั่งอันดามันตั้งแต่เมาะตะมะ (เมืองพัน) ถึงปากน้ำจัน (Victoria Point) จะเป็นเพื่อแก้เผ็ดพม่า (กรุงมัณฑะเลย์)? เพื่อยึดทรัพยากร (แหล่งดีบุกที่สำคัญ)? เพื่อกั้นการขยายอาณานิคมของฝรั่งเศส? ผมหาหลักฐานอธิบายไม่ได้
ท่านจันทร์เสนอว่าอังกฤษลงทุนมามากในเมืองท่าที่สิงคโปร์จึงพยายามยึดแหลมไม่ให้มีการขุดคลองคอคอดกระ ผมไม่เชื่อ เพราะอังกฤษไม่เคยยึดดินแดนฝั่งตะวันตกจากปากน้ำจันถึงสตูลที่ขุดคลองข้ามคอคอดได้สะดวกที่สุด ซึ่งในยุคนั้นอังกฤษยึดได้ตามใจชอบ ใครจะทำไม?
อย่างไรก็ตามชาวพื้นเมืองฝั่งอันดามันต่างยินดีต้อนรับอังกฤษ เพราะเกลียดที่พม่ามาทำย่ำยีมานานแล้ว
ในรัชกาลที่ 4 ทูตอังกฤษชักชวน (เชิงบังคับ) ให้สยามตกลงตีเส้นชายแดนฟากตะวันตก
หลักการตีเส้นชายแดนสากลมีหลักง่ายๆ 3 ประการ คือ แม่น้ำสำคัญ, สันเขา และลุ่มน้ำ ระหว่างสยามกับฝั่งอันดามันนั้นอาจจะถือแม่น้ำตะนาวศรี (น้อย/ใหญ่) เป็นแดน หรืออาจจะถือสันเทือกเขาตะนาวศรี แต่อังกฤษขอถือลุ่มน้ำ ผลก็คือ ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์สยามเป็นคอคอดจริง คือจากอ่าวสยามถึงชายแดนที่บ้านหินกองมีความกว้าง 16 กิโลเมตร
ท่านจันทร์เล่าให้ฟังว่า ครั้งรัชกาลที่ 4 ท่านมีข้าราชการชาวอังกฤษนามสกุลว่า Pound ที่มีราชทินนามว่า “หลวงสยามานุเคราะห์” เป็นคนมีความรู้และเป็นที่ไว้วางใจว่าเป็นคนซื่อสัตย์ ท่านจึงเสนอให้เป็นคนหนึ่งในคณะกรรมการกำหนดชายแดน แต่อังกฤษไม่ยอม คณะกรรมการกำหนดชายแดนจึงประกอบด้วย เจ้าหน้าที่อังกฤษจากกรมรังวัดอินเดีย (Survey of India) กับข้าราชการไทยที่ไม่คุ้นกับหลักภูมิศาสตร์และการทำแผนที่สมัยใหม่ เมื่ออังกฤษชี้ว่า ชายแดนควรอยู่ตามยอดเทือกเขาระลอกสุดท้ายด้านตะวันออกฝ่ายไทยไม่เถียง ผลก็คือชายแดน (และ “ด่านสิงขร” ที่แต่เดิมอยู่ด้านตะวันตกห่างอ่าวสยามถึงราว 150 ก.ม.) กำหนดขึ้นมาใหม่ที่บ้านหินกองที่อยู่ห่างหาดมะนาว เมืองประจวบฯ เพียง 16 ก.ม.
ต่อมาในรัชกาลที่ 5 (ปี 1886) อังกฤษเข้ายึดเมืองมัณฑะเลย์และถอดกษัตริย์พม่า แล้วให้กำหนดชายแดนตั้งแต่เชียงรายลงมาถึงเมืองกาญจน์ บัดนั้นฝ่ายไทยได้จ้างเจ้าหน้าที่จากกรมรังวัดอินเดียมาตั้งกรมแผนที่อินเดีย เป็นชาวสก๊อตชื่อ James McCarthy ที่มีความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน จนได้รับแต่งตั้งเป็นพระวิภาคภูวดล อย่างไรก็ตามอังกฤษยังใช้แม่น้ำใหญ่ (สาละวินและเมย) ยอดเทือกเขา และลุ่มน้ำ อย่างเอารัดเอาเปรียบเป็นที่สุด เสร็จแล้วอังกฤษรวบรวมชายฝั่งอันดามันที่ยึดมาเมื่อ ค.ศ. 1826 และเดิมเป็นสยามไว้กับแผ่นดินที่ยึดมาเมื่อ ค.ศ. 1886 แล้วอุปโลกน์ขึ้นมาเป็น “พม่า” ซึ่งก็คือพม่าที่เรารู้จักจนทุกวันนี้
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อังกฤษม้วนเสื่อกลับบ้าน ชนกลุ่มน้อย (ไม่ว่าจะเป็นฉิ่น, กะฉิน, ชาวรัฐฉาน, กะเหรี่ยง, มอญ หรือชาวยะไข่) ล้วนแต่ดิ้นรนอยากหลุดพ้นจากรัฐพม่าที่อังกฤษอุปโลกน์ขึ้นมา และตีชายแดนโดยเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนมากกว่าความสุจริตหรือผลประโยชน์ของคนท้องถิ่น
ในระยะหลังสงครามโลกรัฐบาลไทย/สยามต่างๆ ล้วนแต่นับถือเส้นชายแดนนี้ ซึ่งเป็นการดีอยู่แล้ว ผมไม่คิดอยากชวนไทยให้ไป “ปลดปล่อยรัฐฉาน” หรือ “ยึดมะริด-ตะนาวศรีกลับคืนมา”
ที่ผมเดือดร้อนคือเห็นบัณฑิตไทยหลายคนนับถือเส้นชายแดนเหมือนกับว่าเป็น “ม่านเหล็กวัฒนธรรม” ที่ละเมิดไม่ได้ โดยลืมว่าก่อนที่อังกฤษและฝรั่งเศสมาตีเส้นชายแดนนั้น พม่า, ไทย, ลาว, เขมร, มลายู ต่างเป็นผืนแผ่นดินวัฒนธรรมรวม
หากใครรักวิชา “ไทยคดีศึกษา” และไม่อยากให้วิชานั้นด้วน ผมว่าต้องรีบมองข้ามชายแดนเสียที โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัณฑิตด้านทักษิณศึกษาควรเงยหน้าขึ้นมามองแดนมะริด-ตะนาวศรีซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญยิ่งของวัฒนธรรมภาคใต้และของสยามทั้งประเทศ เพราะเป็น “ประตู” ของกรุงศรีอยุธยาที่เผยไปทางตะวันตก
สุดท้าย
มีหลายๆ เรื่องที่ผมอยากเรียนรู้เกี่ยวกับแดนมะริด-ตะนาวศรี แต่เข้าไม่ถึง เช่น
1. คำว่า “มะริด” เป็นภาษาใด? หมายความว่าอะไร? (ฝรั่งว่า Mergui/Mergen มอญว่า Poik/Pik พม่าว่า เบฺยด/เบฺรด ลังกาว่า Mirigiya) มันจะเกี่ยวกับ “พริก (ไทย)” ได้ไหม? พริก (ไทย) มอญว่า Paroik/ เมฺรก, เขมรว่า เมฺรจ, ลังกาว่า มิริส
2. คำว่า “ตะนาวศรี” เป็นภาษาใด? หมายความว่าอะไร? ผมจนด้วยเกล้า
3. คำว่า “สิงขร” (พม่าว่า Theinkun) เป็นบาลี/สันสกฤต หมายถึง “ยอดเขา” จริงไหม?
4. คำว่า Jalinga (ในแผนที่ฝรั่ง) เพี้ยนมาจาก Kalinga/Tlinga จริงไหม? หรือเพี้ยนมาจากคำไทย เช่น ตลิ่ง… หรือ ตะเลง…?
ขอชวนท่านผู้อ่านช่วยกันศึกษาให้ผมตาสว่างขึ้นมาเสียที
อ่านเพิ่มเติม :
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 1 สิงหาคม 2565