พระเจ้าตากฯ กับคดีเขาพระวิหาร

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2502 รัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นฟ้องต่อศาลโลกเรื่องกรรมสิทธิ์ในเขาพระวิหาร. ในการต่อสู้คดีเรื่องนี้ ทางรัฐบาลไทยได้มอบหมายให้ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เป็นตัวแทน. การไต่สวนพิจารณาคดีได้ดำเนินไป 3 ปี, จนถึงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ศาลโลกก็ได้พิพากษาชี้ขาดให้เขาพระวิหารตกเป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศกัมพูชา.

จดหมายลงวันที่ 13 มีนาคม 2505, ที่นำมาลงพิมพ์นี้ เป็นจดหมายที่ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เขียนถึงพระยาศราภัยพิพัฒน์ เพื่อเล่าถึงความเป็นไปของการต่อสู้คดีในเวลานั้น. จดหมายฉบับนี้ต่อมา นาวาเอกสวัสดิ์ จันทนี ร.น. ผู้ใฝ่ใจในเรื่องราวแต่อดีต ได้คัดลอกมาลงในงานเขียนอันมีค่าอย่างยิ่งในฐานะประวัติศาสตร์บอกเล่าชุดนิทานชาวไร่ ของท่านซึ่งลงพิมพ์ในหนังสือนาวิกศาสตร์ ติดต่อกัน (เมื่อรวมพิมพ์เป็นเล่มโดยองค์การค้าของคุรุสภา จดหมายฉบับนี้อยู่ในเล่มที่ 12, พ.ศ. 2518).

ในการนำมาลงพิมพ์นั้น นาวาเอกสวัสดิ์ จันทนี ร.น. ได้อธิบายถึงที่มาของจดหมายฉบับนี้ว่า :

“นี่เป็นจดหมายที่บุตรีคุณมณี ฉายะรตี ลอกมาจากคุณหญิงศราภัยพิพัฒน์ กองประวัติศาสตร์ทหารเรือ แล้วคุณมณีนำเอามาให้ข้าพเจ้าเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2505 นับว่าเป็นจดหมายสด ๆ ร้อน ๆ ที่เจ้าของท่านนำมาเผยแพร่

ตอนบ่ายวันที่ 12 นี้เอง มีเด็กของข้าพเจ้าคนหนึ่งอยู่วิทยาลัยเทคนิค กรุงเทพฯ ได้นำข้อความเช่นเดียวกันนี้มาให้อีก แต่ฉบับหลังนี้เป็นพิมพ์โรเนียว เข้าใจว่าคงอัดสำเนาแจกกันแล้วเป็นการใหญ่ ทำให้คะเนว่าคงต้องแพร่หลายในหนังสือพิมพ์รายวัน หรือรายเดือนในเร็ว ๆ นี้แน่ ข้าพเจ้าจึงคิดว่าควรใส่ไว้ในนิทานชาวไร่เพื่อให้เด็กชั้นหลัง ๆ ได้อ่านบ้างก็คงดีเหมือนกัน

เมื่อได้อ่านจดหมายดูแล้วก็เห็นอภินิหารของเจ้าตากว่าได้ทรงช่วยเหลือบ้านเมืองเป็นการใหญ่ หรือจะเรียกว่าครั้งสำคัญก็คงได้”

ในการคัดลอกมาลงพิมพ์ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรมคราวนี้ กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรมก็คงมีความเห็นเช่นเดียวกับที่นาวาเอกสวัสดิ์ จันทนี ร.น. ได้แสดงไว้นั้นเอง, คือให้คนชั้นหลัง ซึ่งส่วนมากไม่มีโอกาสที่จะได้อ่านงานชิ้นนี้ ได้รับรู้ว่า กรณีเขาพระวิหารซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเกือบครึ่งศตวรรษมาแล้ว และบัดนี้ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว มีเรื่องราวเกี่ยวข้องเบื้องหลังบางประการอย่างไรบ้าง.

อนึ่ง ชื่อ “พระเจ้าตากฯ กับคดีเขาพระวิหาร” เป็นชื่อที่กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรมได้ตั้งขึ้นเองสำหรับการลงพิมพ์ในคราวนี้ โดยในฉบับเดิมนั้นจั่วหัวไว้แต่เพียงว่า “เจาตาก”

กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม ขอกราบคารวะ นาวาเอกสวัสดี จันทนี ร.น. อดีตหัวหน้ากองประวัติศาสตร์ทหารเรือผู้ล่วงลับไปแล้วไว้ ณ ที่นี้ หากท่านมิได้รักษางานชิ้นนี้ไว้ ปัจจุบันก็คงไม่มีผู้ใดได้ทราบเรื่องราวเหล่านั้นอีก

กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม


 

กรุงเฮก

13 มีนาคม 2505 เรียน เจ้าคุณที่นับถือ [1]

มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะบอกมาแต่เริ่มต้น แต่ไม่กล้ารายงานก็ดี บันทึกก็ดี รวมทั้งจดหมายที่ผมมีถึงเจ้าคุณนี้ ทั้งเจ้าคุณและผมรู้กันดีว่า วันหนึ่งต่อไปข้างหน้าจะเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ เขียนอะไรไว้ดี พอเชื่อฟังได้ก็ดีไป ถ้าเขียนอะไรคนข้างหน้าไม่เชื่อผมจะเสียคน เรื่องอื่นอะไรผมได้เขียนไว้มากพอเผาผีตัวเองไหม้ ส่วนที่ไม่ได้เขียนไว้เพราะไม่เห็นสำคัญก็มี แต่เรื่องที่กำลังจะเขียนถึงนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ยังไม่กล้าเขียนถึง เพราะเกรงคนข้างหน้ามาอ่านเข้าจะหาว่าบ้า หรือไม่ก็โกหก แต่เหตุการณ์อันเป็นอัศจรรย์ได้เกิดขึ้นอีกตามกันมาเป็นละลอก จนผมเองอธิบายไม่ได้แล้วว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

ในจดหมายฉบับก่อนผมได้เขียนไปบ้างแล้ว เป็นเรื่องคุณสุข คุณจินดา ทำทักษิณาวัตร จนคุณจินดาขี้มูกโป่งบ้าง เรื่องเจ้าตากเสด็จมาช่วย โดยไปให้ท่านเจ้ากรมบ้าง ตัวผมเองเล่าเรียนมาก็ล้วนแต่ทางวิทยาศาสตร์ ไม่มีใครเอา 2 บวก 2 ให้เห็นเป็น 5 เป็นไม่เชื่อ แต่สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเห็นได้ด้วยตาไม่เฉพาะแต่ตาผม แต่ตาคนอื่นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็รู้เห็นทั่วตั้ง 8 คน 9 คน ถ้าผมไม่บันทึกไว้ ก็เท่ากับผมจะโกงประวัติศาสตร์ ผมจึงต้องบันทึกไว้ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นจริง เพื่อให้อนาคตได้รู้ได้เห็นและวิจารณ์กันเองว่าอะไรเป็นอะไร

สำหรับตัวผมเองผมได้แต่จะพูดว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นแล้ว อะไรมาบันดาลบอกไม่ได้ และเรื่องที่จะบันทึกไว้ตามเหตุการณ์ไว้นี้ผมประสบมาเองบ้าง คนอื่นที่มาด้วยกันประสบมาบ้าง เป็นพยานรู้จริงเห็นจริงมาด้วยกันทุกคน เพื่อให้เรื่องประติดประต่อผมจึงได้สอบผู้รู้เห็นเหล่านี้มาลำดับไว้ ก่อนทิ้งจดหมายนี้ถึงเจ้าคุณได้ให้เขาอ่านกันทุกคน ส่วนของใครรู้เห็นคนนั้นเป็นคนรับผิดชอบเกี่ยวกับความจริง

ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ภาพจากหนังสือ “ตำนานเสรีไทย” โดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร. พิมพ์ พ.ศ. 2546

1. การมาคราวนี้คณะเราเห็นกันมาแต่ต้นแล้วว่า เป็นครั้งสุดท้ายที่สำคัญ เพราะเป็นขั้นที่คดีจะแพ้หรือชนะ การมาเฮกครั้งก่อน ๆ สำหรับผมเองปฏิบัติเป็นประเพณี ไปลาพระแก้วมรกต และพระสยามเทวาธิราช พระของผมมีสององค์นี้มาแต่เริ่มต้น เจ้าคุณย้อนไปอ่านรายงานของผมก็เห็นทำไมคนโต ๆ อย่างผมจึงต้องยึดพระ เจ้าคุณย้อนไปอ่านรายงานก็คงเห็นอีกว่า บางทีเรื่องของเราเดินทางติดทางตัน ผมเป็นคนสิบนิ้ว เมื่อพยายามทำอย่างดีที่สุดแล้วยังไม่แน่ใจว่าที่ทำไปจะผิดหรือถูก ก็ได้แต่จะมอบอนาคตไว้แก่พระและสวรรค์ ทั้งนี้มิใช่ว่าผมเชื่อทางไสยศาสตร์ แต่จะว่าถึงกับไม่เชื่อนั้นว่าไม่ได้

เพราะตลอดชีวิตการเมือง 20 ปีมานี้ผมเห็นมาแต่ที่เป็นอัศจรรย์ทั้งนั้น เช่นที่เจ้าคุณกับผมเจรจาเอาอังกฤษออกจากเมืองมาด้วยกันก็เห็นกันมา ตอนทำเสรีไทยในอเมริกา ผมก็ไปเป็นทูตที่วอชิงตัน ฟ้าขาว ๆ ไม่มีเมฆ ไม่มีใครบอกว่าจะต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง ตัวเองไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดสงครามเอเชียบูรพา ตอนที่จะไปพี่น้องเอาของโบราณมามอบให้ก็เผอิญเป็นหอกเป็นดาบโบราณ ๆ รวมปนอยู่ด้วย ผมน่าจะเห็นเป็นลางว่าจะต้องออกศึก แต่เพราะไม่เชื่อจึงคิดไม่ถึง เมื่อไปถึงอเมริกาแล้วคิดขึ้นมาได้ จึงได้นำหอกดาบของมีคมเหล่านี้ไปติดไว้ข้างฝาห้องทูตที่สถานทูต

ในบรรดาศาสตราวุธที่ญาติมอบให้ไปนั้น คนให้บอกว่ามีดาบอยู่เล่มหนึ่งซึ่งบรรพบุรุษดูเหมือนจะฝ่ายมารดาได้ออกศึกฟันคอพม่ามาแล้ว คือเป็นดาบที่เคยกินเลือดคน ผมไม่ได้เอาใจใส่ ไม่ได้จดจำไว้ว่าเป็นดาบเล่มไหน แต่โดยที่เป็นของเก่าแก่ของบรรพบุรุษ เมื่อตอนเอาขึ้นแขวนข้างฝาผมจึงเป็นคนแขวนเอง ห้องเพดานสูง ผมมีบันไดให้คนอื่นส่งดาบตามขึ้นมาอีกทีหนึ่ง ขณะหนึ่งในระหว่างที่รับดาบโบราณเล่มหนึ่งขึ้นแขวน รู้สึกแปรบที่นิ้วชี้มือขวาแทบต้องทิ้งดาบ ได้ความว่าถูกดาบเล่มนั้นบาดไปถึงกระดูกเลือดไหลโทรมแต่ดาบคมกริบ ลงไปปิดแผลเดี๋ยวเดียวเลือดก็หยุด พันแผลแล้วยังปีนขึ้นไปแขวนเสร็จไปจนได้ ได้ความว่าเพราะเก่า ปลอกที่หุ้มไว้หลุดออกจากกัน คมดาบจึงโผล่ออกมาบาดมือเอาได้ เป็นดาบ “ต้องสู้” เสียด้วย ยังได้พูดกันในครอบครัวขณะนั้นว่าเป็นลางดีลางร้ายอย่างไร

ภายในปีกว่านั้นเองเหตุการณ์เกิดขึ้นทำให้ต้องทำเสรีไทย เอาลูกเข้าไปตายสองคน ตัวผมเองถ้ารัฐบาลอเมริกันให้กลับบ้านก็อาจถูกยิงเป้า มาคิดกันทีหลังว่า ทำไมดาบไทยมากินเลือดผมเข้าด้วย จึงนึกกันได้ว่าเมื่อเริ่มงานเสรีไทยนั้นผมเคยค่อนคนไทยมาทางบ้านว่า ก่อนญี่ปุ่นรุกรานได้ยินพูดกันเกร่อว่าข้าพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นคนนี้จะต่อสู้ป้องกันแผ่นดินไทยจนเลือดหยดสุดท้าย ครั้นญี่ปุ่นเข้ามาจริง ๆ กลับโยนไปให้ลูกน้อง ลูกตามีตามาให้ไปตายหยาดเลือดหยดแรกก่อน ส่วนตัวเองหลบมุมไปอยู่ไหนไม่รู้ เอาไว้หยาดเลือดหยดสุดท้ายดีกว่า ไม่มีใครหยดกันสักคนเดียว ผมค่อนเขาไว้ดังนี้ มานึกดูทีหลังจึงคิดขึ้นได้ว่าไปค่อนเขาไว้ ต้องโดนกับตัวเอง พูดกันจริง ๆ เกี่ยวกับงานเสรีไทย ผมเป็นคนเสียเลือดเป็นคนแรกเพราะดาบกินเลือดพม่าเล่มนี้ มาสู้ความเขาพระวิหารคราวนี้ยังได้เอาดาบไทยขึ้นฝาผนังสำนักงานไว้สองเล่มไขว้ แต่คราวนี้รู้ฉลาดให้เด็กเอาขึ้นข้างฝา ตัวเองสั่งการอยู่ห่าง ๆ คดีไม่เสร็จจะไม่เอาลง

2. ดังได้กล่าวแล้ว มาเฮกทีไร ผมถือเป็นประเพณีไปไหว้พระแก้วมรกตและพระสยามเทวาธิราชทุกที มาคราวนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่สำคัญ จึงได้นัดหมายกับคณะไว้ว่า จะร่วมคณะกันไปไหว้ท่านเป็นทีม ไปกันจริง ๆ บานปลายไปไหว้เจ้าพ่อหลักเมืองด้วย แล้วในที่สุดได้เข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์เป็นสิริมงคลยิ่ง

มาครั้งนี้ผมได้ชักชวนให้พรรคพวกพาภริยามาด้วย เพราะรู้ว่างานหนัก ที่ผ่านมาแล้วยังเบา คราวนี้ครั้งสุดท้ายจะหนักยิ่ง เมื่อครอบครัวมาด้วยจะได้มีที่พักพิงทำงานได้ดี สำหรับคนอย่างผมแก่แล้ว อยู่กับภริยามา 30 ปีจนลูกโต ๆ จะพิงอะไรก็พิงได้ ถึงจะไม่มีอะไรพิงก็ยังพิงเป็น แต่บางคนในพวกเรายังผัวหนุ่มเมียสาว มาคราวก่อนเสียเวลาเขียนจดหมายถึงบ้าน มา 10 วัน เขียนหนังสือถึงเมียตั้ง 11 ฉบับ มาคราวนี้จึงทำโครงการให้ทางบ้านมาด้วย จะได้ไม่ต้องเขียนถึงให้เสียเวลาทำคดีเขาพระวิหาร จึงมีภริยาตามมาด้วยถึง 4 คน คือของคุณวุฒิ คุณพูนพล ท่านเจ้ากรม และท่านยายของผม พวกที่มีภริยามาเช่าบ้านอยู่ร่วมกันและรับประทานด้วยกัน ค่าใช้จ่ายจึงถูกกว่าไปอยู่โฮเต็ล ของผัวจึงเฉลี่ยไปให้เมียมาอยู่ด้วยได้ ของผมยังเฉลี่ยไปถึงลูกคือตุ้ยด้วย ส่วนคนที่ภริยาไม่มาด้วยเห็นจะเป็นเพราะไม่อยากเอามา จึงไปอยู่โฮเต็ลกันตามสบาย ว่าง ๆ มากินข้าวไทยด้วยกัน และประชุมปรึกษากันเรื่องงานได้รับความสะดวกทุกอย่าง

3. ผมกล่าวถึงเบื้องหลังเพื่อให้เข้าเรื่องว่าในบรรดาผู้หญิงที่มาด้วยมีคนหนึ่งที่คนทรงบอกว่าชาติก่อนเป็นธิดาพระเจ้าตาก คือคุณวิลาวัณย์ ภริยาคุณพูนพลนั่นเอง เรื่องเดิมมีว่า คุณพูนพลเป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่เชื่อไสยศาสตร์ แต่มารดาคุณวิลาวัณย์เชื่อ ทั้งนี้เพราะเป็นชาวธนบุรี เคยไปหาคนทรง นับถือท่านมาก่อน เมื่อมีปัญหาชีวิตเกิดขึ้น มารดาคุณวิลาวัณย์เคยชวนทั้งคุณพูนพลและภริยาไปเฝ้า ทั้งคุณพูนพลและภริยาไม่เชื่อก็หาเหตุเบี่ยงบ่ายไปต่าง ๆ จนแทบจะโกรธกัน

คุณวิลาวัลย์เป็นห่วงเกรงลูกเขยกับแม่ยายจะแตกกัน วันหนึ่งจึงทำอุบายเอาคุณพูนพลไปหาคนทรงจนได้ ไปถึงพระเจ้าตากก็บอกถูกว่า มีคนไม่เชื่อมาเฝ้าด้วยคือคุณพูนพล ส่วนคุณวิลาวัณย์นั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่สังเกตว่าไปเฝ้าทีไรท่านมักจะถามทุกข์สุขส่วนตัวเป็นพิเศษกว่าอย่างอื่น คนเฝ้าคนหนึ่งคิดสงสัยจึงทูลถามก็ได้ความว่า คุณวิลาวัณย์ชาติก่อนเป็นธิดาท่านชื่อเจ้าหญิงเอื้อง เกิดแต่เจ้าจอมมาลี พระเจ้าตากยังได้รับสั่งให้ฟังด้วยว่า เมื่อท่านถูกปลงพระชนม์เขาฆ่าหมดทั้งวงศ์ เจ้าฟ้าหญิงเอื้องก็ถูกฆ่าตายตามพ่อไปด้วย คงรอดแต่เจ้าฟ้าเหม็นองค์เดียวเท่านั้น คนทรงบอกให้รู้ดังนี้ คุณวิลาวัณย์ภริยาคุณพูนพลจึงได้รับนับถือในบรรดาผู้เลื่อมใสว่าเป็นธิดาพระเจ้าตากแต่นั้นมา

4. คนทรงพระเจ้าตากเป็นผู้หญิงธรรมดากลางคนชื่ออรนุช เป็นภริยานายพันทหารม้าชื่อสุตสาย หัสดินฯ มีบ้านพักอยู่ที่กรมทหารม้า บางซื่อ เมื่อไม่เข้าทรงก็เป็นคนพูดจาแช่มช้อยเป็นปรกติ แต่ทรงเข้าเปลี่ยนเป็นคนละคน คือมีอาการแข็งที่คอและพูดราชาศัพท์ การเข้าทรงไม่มีการเรียกร้องอะไร คนไปเฝ้าถามโชคชะตาถวายแต่ผ้าขาวกับดอกไม้ธูปเทียน ตอนที่จะปรากฏว่าคุณวิลาวัณย์เป็นธิดา ได้พระราชทานพลอยสีเขียวให้แก่คุณพูนพลมาเม็ดหนึ่ง ซึ่งตั้งแต่นั้นมาได้ช่วยให้ปัญหาชีวิตของคุณพูนพลคลี่คลายไปในทางที่ดี

วิธีพระราชทานค่อนข้างจะอัศจรรย์ คือ เมื่อคุณพูนพลถวายผ้ากับดอกไม้ธูปเทียนเฝ้าตามประเพณีแล้ว ก็รับสั่งให้คุณพูนพลไปหยิบดอกกุหลาบมาจากแจกัน ทรงรับแล้วมอบให้ในมือ แล้วก็มีพลอยสีเขียวติดมาด้วย คนทรงใส่เสื้อแขนสั้น ถึงจะเล่นกลก็เล่นได้อย่างแนบเนียน จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์เช่นคุณพูนพลเองบอกไม่ได้ว่าดอกกุหลาบนำเอาพลอยติดมาถึงมือได้อย่างไร

อรนุช หัสดินฯ ผู้เข้าทรงพระเจ้าตากฯ (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2551)

5. พวกเราออกเดินทางมาเฮก เมื่อวันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ วันศุกร์ คุณผูกพัน ภริยาท่านเจ้ากรมแผนที่ ไปซื้อของที่พาหุรัดพร้อมกับภริยาคุณเอกรินทร์ น้องท่านเจ้ากรมเผอิญไปพบคุณอรนุชไปซื้อของ เมื่อคุยกันทราบว่าจะติดตามท่านเจ้ากรมมาสู้คดีเขาพระวิหาร ภริยาคุณเอกรินทร์จึงแนะนำให้ไปทูลลาขอศีลขอพรพระเจ้าตาก ทีแรกคุณอรนุชไม่ว่าง แต่เมื่อรู้ว่าพวกเราจะเดินทางวันเสาร์ก็ตกลงนัดให้ไปเฝ้าเป็นพิเศษในวันเสาร์ตอนเช้า ตอนเย็นวันเสาร์บอกว่าจะไปส่งที่ดอนเมืองด้วย

วันเสาร์เช้าท่านเจ้ากรมกับภริยาพร้อมด้วยคุณพูนพลกับภริยาจึงไปที่บ้านในโรงทหารม้าด้วยกัน ปรากฏว่า เป็นบ้านเล็ก ๆ แต่มีคนมาคอยเฝ้ากันแน่นขนัดประมาณ 30-40 คนเต็มห้องรับแขกจนหลามไปข้างนอก ทั้งนี้ คงจะเป็นเพราะมีข่าวแพร่ไปก่อนในบรรดาผู้เลื่อมใสว่าคณะทนายเขาพระวิหารจะไปทูลลา ครั้นไปถึงปรากฏว่า คุณอรนุชไปทำผมยังไม่กลับ แต่ก่อนไม่เคยทำ สอบถามได้ความว่าวันเสาร์จะเสด็จไปส่งคณะสู้คดีเขาพระวิหาร จึงรับสั่งให้คนทรงไปให้ช่างทำผมเป็นพิเศษ คณะท่านเจ้ากรมไปนั่งคอย หงุดหงิดอยู่ครึ่งชั่วโมง เจ้ากรมและมาดามเป็นคนไม่เชื่อเหมือนกัน คอยอยู่จนแทบจะกลับไปเสียก่อนแล้ว

6. ครั้นคุณอรนุชมาถึงก็เข้าทรง และรับสั่งให้คณะเขาพระวิหารเข้าเฝ้าก่อนคนอื่นที่ไปรออยู่ รับสั่งถามว่าที่พากันมาเฝ้าครั้งนี้มีความมุ่งหมายอย่างไร ท่านเจ้ากรมทูลว่าครั้งนี้คดีเข้าขั้นแพ้ชนะ จึงมาถวายบังคมลาเพื่อขอศีลพรให้เป็นสิริมงคล แล้วกลับทูลถามว่าคดีจะแพ้ชนะประการใด ทีแรกรับสั่งว่าดูก้ำกึ่งกันอยู่อยากให้แบ่งครึ่ง เพราะถ้าตกไปเป็นของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต่อไปข้างหน้าจะมีการยื้อแย่งกันให้ลูกหลานลำบาก พวกที่เฝ้าคัดค้านกันเกรียวกราวว่าของของเราจะไปยอมให้เป็นของเขมรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องให้ศาลพิพากษาว่าเป็นของไทยเสียก่อน ส่วนเขมรจะขอขึ้นมาใช้ด้วยเอาไว้พูดกันทีหลัง

เมื่อมีคนคัดค้านดังนี้จึงรับสั่งสั้น ๆ ว่าจะไปช่วยและจะไปรออยู่ที่ท้องพระโรง ทรงเตือนว่าเมื่อทนายฝ่ายเขาแหย่อย่าโกรธ คนที่ฟังอยู่ไม่รู้ว่าทรงหมายความอย่างไร ที่รับสั่งว่าจะไปรอที่ท้องพระโรง พูดกันภายหลังท่านเจ้ากรมจึงนึกขึ้นได้ว่าศาลโลกนั้นภาษาฝรั่งเรียกว่า…คือพระราชวังสันติธรรม และตามความจริงเมื่อเข้าศาลก็ถึงท้องพระโรงจริง ๆ มีบันไดใหญ่ขึ้นข้างบน เหมือนท้องพระโรงพระที่นั่งบรมพิมานฯ

เมื่อคณะกราบถวายบังคมลาได้ทรงรับผ้าขาวธูปเทียนดอกไม้เครื่องสักการะของท่านเจ้ากรมก่อน รับแล้วรับสั่งให้ท่านเจ้ากรมแบมือรับน้ำอบ แล้วทรงพระราชทานลงมาในมือท่านเจ้ากรม ทรงให้ศีลให้พรให้ไปดีมาดีมีชัย จบลงทรงใช้หัวแม่มือกดลงในกลางใจมือท่านเจ้ากรม ๆ แบมือออกดูปรากฏว่ามีพระห้อยคอทองกองอยู่องค์เขื่อง รับสั่งว่าเป็น “พระยอดธง” ซึ่งท่านเจ้ากรมห้อยคออยู่ในเวลานี้ ต่อจากนั้นรับสั่งเรียกเจ้าฟ้าหญิงเอื้องเข้าเฝ้า รับสั่งให้หยิบพวงมาลัยหน้าพระมาถวาย แล้วพระราชทานให้กับมือคุณวิลาวัณย์ เมื่อรับมาแล้วก็ปรากฏว่ามีแหวนนพเก้าติดพวงมาลัยมาวงหนึ่ง คุณวิลาวัณย์ใส่ติดนิ้วอยู่ในเวลานี้

ทั้งพระทองและแหวนตีราคาเป็นเงินประมาณ 1,000 บาท แต่ค่าที่พระราชทานมาคิดเป็นเงินไม่ได้ ทั้งท่านเจ้ากรมและคุณวิลาวัณย์ ตลอดจนคนที่เฝ้ายืนยันว่าคุณอรนุชคนทรงใส่เสื้อแขนสั้น ตอนพระราชทานน้ำอบท่านเจ้ากรม ๆ ยืนยันว่าคนทรงใช้มือทั้งสองข้างหยิบขวดน้ำอบเปิดจุกน้ำอบ ไม่เห็นกำอะไรไว้ในมือเลย ตอนพระราชทานพวงมาลัยแก่คุณวิลาวัณย์ ๆ ก็ยืนยันเช่นเดียวกันว่า ไม่มีอะไรในมือคนทรง ทั้งพระห้อยคอและแหวนติดมาอย่างไรไม่มีใครอธิบายได้ คน 30-40 คนก็ดูกันอยู่ตรงนั้นต่างรู้สึกอัศจรรย์ ขอดูของกันแซ่ไปหมด ตอนให้ศีลให้พรเจ้าฟ้าหญิงเอื้องทรงรับสั่งด้วยว่าให้ไปดีมาดีเพื่อแทนตัวเรา ข้อนี้ต้องบันทึกไว้เป็นสำคัญ เพราะเกี่ยวกับพฤติการณ์ของคุณวิลาวัณย์เองที่จะนำมากล่าว สำหรับท่านเจ้ากรมนั้นรับสั่งว่าวันแรกเริ่มเปิดคดีให้บ่ายหน้ามาทางเมืองไทยเพื่อทูลให้ทรงทราบ ถ้าส่งข่าวไม่ได้ด้วยควันธูปให้ส่งทางกระแสจิต เป็นเชิงว่าจะเสด็จมาช่วยปิดปากทนายเขมร ท่านเจ้ากรมถึงเฮกก็ได้รีบไปซื้อเข็มทิศเพื่อบ่ายหน้าให้ถูกทิศตามรับสั่ง ตอนค่ำคุณอรนุชมาส่งที่ดอนเมือง ทีแรกก็ดี ๆ พอพวกเราจะออกจากห้องพักผู้มีเกียรติเพื่อไปขึ้นเครื่องบินเวลา 19 น. คนทรงเกิดมีอาการแข็งที่คอและพูดให้ศีลให้พร เป็นการเข้าทรงเข้าแล้ว

7. เมื่อมาถึงเฮก วันที่มีการประชุมทนายฝ่ายไทยครั้งแรกวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ซึ่งวันนั้นผู้แทนและทนายทั้งสองฝ่ายไปเผชิญหน้ากันต่อหน้าประธานศาล ดังได้รายงานไปแล้ว ตอนเช้าท่านเจ้ากรมแผนที่ทำพิธีบอกกล่าวทูลไปให้ทรงทราบ แต่ธูปยังไม่มีจึงใช้บุหรี่ลักกี้สไตรค์แทน ผมเห็นด้วยตาตนเอง เจ้ากรมจุดบุหรี่วางพาดไว้ครึ่งต่อครึ่งที่ที่เขี่ยบุหรี่ บุหรี่ลามเป็นเถ้าไปตั้งครึ่งตัวแล้วจึงหักกลาง ผมก็อธิบายไม่ได้ว่า ทำไมจึงไม่หักก่อน เพราะส่วนปลายที่ไหม้เป็นขี้เถ้าเบากว่าส่วนที่ยังไม่ได้ไหม้ แต่ขี้เถ้าก็ทานบุหรี่อยู่ได้จนไหม้ไปครึ่งตัวแล้วจึงหัก ผมยังได้เรียกท่านเจ้ากรมไปดูไว้เป็นหลักฐาน ผมเริ่มรู้สึกปรากฏการณ์เป็นอัศจรรย์บ่ายวันเดียวกัน ซึ่งเมื่อทั้งสองฝ่ายไปปรากฏตัวพร้อมกันต่อหน้าประธานศาล ๆ ตั้งเรื่องจากในมุ้งเอามาเล่นงานปินโต ทนายเขมร จนปินโตพูดไม่ออก ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าท่านเจ้ากรมได้พูดมาตลอดทางจากเมืองไทยว่า พระเจ้าตากจะเสด็จมาช่วยปิดปากทนายเขมร

8. ครั้นเขมรเริ่มแถลงเมื่อวันที่ 1 รอยบุญรอยบาปก็ปรากฏขึ้นอีก ทนายเขมรมี 3 คนด้วยกัน อเมริกัน 1 คน ฝรั่งเศส 2 คน แทนที่จะแถลงกันเป็นทีม กลับต่างคนต่างแถลงไปคนละทางสองทาง แอจิสันหัวหน้าทนายแถลงเป็นเชิงตัดช่องน้อยเอาตัวรอด เริ่มแถลงจากผลมาหาเหตุว่า แผนที่หมายเลข 1 เป็นแผนที่กรรมการปักปัน แล้วสรุปเอาว่าเมื่อข้อเท็จจริงเป็นดังนั้น ผลจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ปัญหาสำคัญว่าแผนที่หมายเลข 1 เป็นของกรรมการจริงหรือไม่ กลับแถลงสั้น ๆ ว่า ปินโต ทนายที่ 2 จะแถลงในข้อนี้ เท่ากับง้างนกแล้วไม่ยิง คนฟังรวมทั้งผู้พิพากษาจึงเคล็ดไปตามกัน ถึงคราวปินโตมาแถลงเข้าจริง ๆ ก็แถลงข้อนี้ไม่ออก ในปัญหาสำคัญที่สุดเกี่ยวกับการแพ้หรือชนะของเขมรเอง เขมรไม่แถลงเหมือนมีใครมาปิดปาก กลับแถลงเลี่ยงประเด็นไปเป็นเชิงรับความจริงตามข้อเถียงของไทยว่า แม้จะถือว่าแผนที่หมายเลข 1 ไม่ใช่ของกรรมการก็เป็นผลงานสืบเนื่องมาจากงานของกรรมการ จึงเท่ากับเป็นการรับว่าแผนที่หมายเลข 1 ไม่ใช่งานของกรรมการนั่นเอง

ถึงคราวทนายคนที่ 3 คือเลอะเทอะขึ้นมาพูด กลับพูดไปเป็นเรื่องกฎหมายปิดปากซึ่งเท่ากับเป็นการรับว่าเขมรไม่มีสิทธิเหนือเขาพระวิหารดังฟ้อง แล้วตอนจบยังมาขอแก้คำขอให้ฟ้องเป็นอื่นจนทำให้ฟ้องไม่เป็นฟ้อง คือเดิมฟ้องขอดินแดนไว้เฉพาะที่ปราสาทเขาพระวิหาร กลับมาแก้เป็นขอดินแดนบนภูเขาดงรักตลอดทั้งแนว ทนายเขมรทั้งสามคนมีคนคารมแหลมอยู่คนเดียวคือแอจิสัน อีก 2 คนเนือย ๆ แบบศาสตราจารย์ เราจึงเพ่งเล็งกันมากกว่า เฉพาะแอจิสันครั้งก่อนขั้นตัดฟ้อง แอจิสันแถลงได้แถลงเอาสับเขกเราแย่ไปเลย เวลาแถลงก็แถลงปากเปล่าไม่เขียนมาแถลง แต่ครั้งนี้ตรงกันข้าม เขียนมาอ่านตะกุกตะกักมือไม้สั่น ตอนเข้านั่งที่เซ่อมานั่งในที่ของผม พนักงานศาลต้องมาเชิญไปนั่งให้ถูกที่ แถลงเสร็จต้องไปเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคหัวใจเต้นบ้างหยุดบ้าง นอกจากจะมีพฤติการณ์เหมือนมีใครมาบีบหัวใจแอจิสันแล้ว นายเลอะเทอะยังมาออกตัวกับลุงโรว่าตนตกประหม่าหน้ามืดอย่างไร ผมก็ได้เขียนถึงเจ้าคุณแล้ว อย่างอื่นขอให้เก็บตกเอาจากจดหมายของผมเอง ทั้งหมดเหมือนกับมีอำนาจอะไรมาชักนำสติปัญญาให้ไขว้เขวไปหมด

ภาพวาดเขาพระวิหาร และเส้นทางเดินสู่ตัวปราสาทแต่ละชั้น (ภาพจาก “โบราณวัตถุสถานทั่วราชอาณาจักร” กรมศิลปากร)

9. ผมเล่ามาทั้งหมดก็เพื่อนำมาสู่เหตุการณ์ในตอนสุดท้าย ก่อนอื่นขอย้อนไปกล่าวสักนิดถึงเจ้าฟ้าหญิงเอื้อง วันแรกเขมรเริ่มแถลง พวกผู้หญิงที่มาด้วยกันไม่มีใครยอมไปฟัง เนื่องด้วยทิฐิของผู้หญิงไทย แต่คุณวิลาวัณย์แสดงความจำนงว่าจะไปฟัง เพราะพ่อสั่งมาให้ไปช่วยปิดปากเขมร จึงมีคนขอให้คุณกีรณาภริยาคุณวุฒิไปเป็นเพื่อนด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่คุณวิลาวัณย์มาเมืองนอก การไปศาลจะต้องแต่งแหม่มใส่หมวก ทำให้พวกเราหวั่น ๆ กันอยู่ว่าจะไปกะเปิ๊ปอย่างไรไม่รู้ เช้าวันนั้นผมคอยอยู่ข้างล่างด้วยความกระวนกระวายเพราะใกล้เวลาแล้ว คุณวิลาวัณย์แต่งตัวเท่าไร ๆ ก็ไม่เสร็จ ต้องให้คุณกีรณานางกำนัลขึ้นไปตามตั้ง 2 หน จึงได้ลงบันไดมาเกือบเป็นนาทีสุดท้าย คุณวิลาวัณย์นั้นเรียกกันว่าคุณเล็ก ธรรมดาก็ดูเหมือนเด็ก ๆ เพราะอายุยังน้อย แก่กว่าเด็กที่สุดในคณะคือคุณกีรณาไม่กี่ปี ไปซื้อของด้วยกัน 2 คนเมื่อหิมะตกผู้ใหญ่ยังบอกว่าถ้าอยากไปเล่นหิมะขว้างกันก็ให้ไปเล่นเสีย เพราะมาเมืองนอกลูกไม่ได้ตามมาด้วย

แต่วันไปศาลครั้งแรก ผมรออยู่ข้างล่าง ลงบันไดมาก็เห็นได้ทันทีว่า คุณวิลาวัณย์เปลี่ยนไปเป็นคนละคน คือท่าทางเปลี่ยนไปเป็นผู้ใหญ่จะพูดจาก็กระเดียดจะเป็นเจ้าฟ้าหญิงธิดามหาราชเอาจริง ๆ เธอสวมหมวกแบบฝรั่งแต่ก็ดูเป็นมงกุฎ ผมจึงผสมรอยทำพิธีครึ่งจริงครึ่งล้อ เปิดประตูรถประตูบ้านให้ และใช้คำราชาศัพท์ทูลเจ้าฟ้าหญิงเสด็จราชดำเนิน ซึ่งคนในอารมณ์ธรรมดาอาจเห็นเป็นของขัน หรือไม่ก็อาจโกรธเพราะมาล้อ แต่สำหรับคุณวิลาวัณย์เช้าวันนี้ไม่ขันไม่โกรธ คือถือเอาเป็นจริงเป็นจังว่าตนเองเป็นเจ้าฟ้าหญิงเอื้อง รับสั่งทูลกระหม่อมพ่อให้มาคุมคดี ความรู้สึกของผมที่นั่งรถไปด้วยกันก็เป็นอย่างนั้น ครึ่งผีครึ่งคน ชอบกลจริง ๆ คุณวิลาวัณย์กลับถึงบ้านมาพูดแต่เพียงว่าไปทำหน้าที่มาแล้ว เขมรแถลง 3 วัน ไปวันเดียว แล้วไม่ไปอีกจนวันไทยแถลง

10. วันแรกไทยแถลง คนไทยที่เฮกทั้งหมดเตรียมยกทัพใหญ่ไปฟังกัน เป็นผู้หญิงส่วนมาก ดังที่ผมได้เขียนบอกไปก่อน ใกล้เวลาไทยแถลงอากาศเริ่มแจ่มใส เขมรแถลงหิมะตกหนาวจัดมาหยก ๆ วันที่ 7 ไทยแถลง มากลายเป็นอากาศฤดูใบไม้ผลิไปได้ แดดออก อากาศอุ่น ต้นไม้เริ่มผลิใบ ผมเขียนแถลงเสร็จไปแต่เย็นวันที่ 6 เสร็จหน้าที่ รุ่งเช้าวันที่ 7 ตื่นขึ้นมาแต่เช้าก็ให้รู้สึกสบายใจ ถึงกับร้องเพลงลาวดวงเดือน ในห้องน้ำได้ ซึ่งพวกพ้องต่างพากันได้ยินและแปลกใจไปตามกัน เพราะตั้งแต่มาถึงก็เจ็บ แล้วก็ทำงานทั้งกลางวันกลางคืน ใครมาขัดจังหวะดีไม่ดีตะเพิดไปก็มี พรรคพวกจึงพากันประหลาดใจว่าเช้าวันแถลงนี้ ทำไมทนายจึงมีอารมณ์ดีนักถึงกับร้องเพลงออกเสียงซึ่งหมดหายมาเป็นแห้ง เริ่มเป็นเสียงดีปกติเช้าวันนี้

ตอนแต่งตัวจะไปศาลวันนี้ผมเข้าเครื่อง คอแข็งเป็นพิเศษ ไม่ยอมเข้าเต็มยศระหว่างเขมรแถลง แต่การใช้คอลล่าร์แข็งนี้ใช้มากี่ที ๆ ขลุกขลักทุกครั้ง กว่าจะกดแข็งลงผูกผ้าผูกคอได้ต้องแก้ถอดใส่ใหม่ 2-3 ครั้งแล้วก็ยังไม่ได้ที่หลุดที่โน่น หย่อนตรงนี้ เสมอมาทุกครั้ง แต่เช้าวันที่ 7 ไปยังไงมายังไงไม่ทราบ พอใส่ทีแรกก็เข้าที่ที่เดียว ผมยังได้พูดกับคุณอุศนาว่าวันนี้นิมิตรดีจริง ๆ ยังไม่เคยใส่คอลล่าร์แข็งทีเดียวได้เหมือนวันนี้ พอพูดขาดคำก็เสียงข้างล่างดังปัง เหมือนเสียงปืน ผมลงไปดูได้ความเห็นอัศจรรย์ดังต่อไปนี้

11. คุณวิลาวัณย์แต่งตัวเสร็จลงไปข้างล่าง จึงประกอบพิธีส่งข่าวบอกกล่าวไปถึงพ่อ ได้อาศัยใช้ห้องรับแขกข้างล่างเป็นที่จุดธูปเทียนอธิษฐาน ห้องรับแขกข้างล่างนี้หันหน้าไปทางตะวันออกพอดี ทางขวามือมีตู้เหล้า มีขวดเหล้าของท่านเจ้ากรมและพวกเราวางอยู่ 6-7 ขวด ล้วนแต่เหล้าดี ๆ ซื้อมาด้วยราคาแพง บนกำแพงเหนือที่วางขวดเหล้ามีรูปแขวนอยู่รูปหนึ่ง ยาวประมาณ 1 เมตร กว้างเกือบ 1 เมตร เป็นรูปภาพสีน้ำมันเห็นแต่น้ำทะเลกับฟ้า เห็นทีแรกผมยังรู้สึกเศร้า ๆ เพราะทำให้รู้สึกว่าตัวเราลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเล จะไปถึงฝั่งได้อย่างไรยังไม่รู้ ฝาที่แขวนอยู่นี้เป็นผนังตึก ถัดออกไปข้างนอกเป็นประตูเข้าออกสู่ถนน พวกเราเข้าออกปิดประตูกระแทกกันโครมครามมาหลายวันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่ตู้เหล้ามีเชิงเทียนเทียมเงินวางอยู่ด้วยข้างหนึ่งเป็นของหนัก แต่ไม่ใช่ของแตกเหมือนขวดเหล้า หน้าขวดเหล้าคุณวิลาวัณย์วางกระเป๋าถือของแกไว้

คุณวิลาวัณย์ขอให้คนทั้งหมดออกไปจากห้องเพื่อตั้งใจอธิษฐาน ขอให้จุดธูปมาให้ 9 ดอก เมื่อคนออกหมดแล้วจึงปิดประตู ลงนั่งคุกเข่ากับผนังแขวนรูปทะเลน้ำเจิ่งนั่นเอง คุณวิลาวัณย์หันหน้าไปทางตะวันออก คือ เมืองไทย ใจความที่อธิษฐานคือวันนี้ฝ่ายไทยจะเริ่มแถลงเฉพาะหม่อมเสนีย์ หัวหน้าทนายได้เตรียมแถลงมานานด้วยความเหนื่อยยาก ถ้าพระเจ้าตากเป็นทูลกระหม่อมพ่อจริงดังอ้างแล้ว ขอให้ทรงรับทราบและเสด็จมาช่วยคุณเสนีย์ พูดอะไรพูดถูก ขอให้ศาลเชื่อฟัง และขอให้ไทยชนะคดี กู้เขาพระวิหารไว้ให้ได้ในที่สุด อธิษฐานแล้วคุณวิลาวัณย์ เปิดประตูเรียกตุ้ยให้มารับธูปไปปักส่งข่าวข้างนอกบ้าน ตุ้ยปักธูปเสร็จกำลังเดินกลับเข้าประตูบ้านยังไม่ทันจะปิดประตูก็เกิดปาฏิหาริย์

12. รูปที่แขวนไว้ข้างฝาตกลงมาเฉย ๆ โดยไม่มีเหตุอะไรเลย ตรวจดูภายหลังปรากฏว่าเชือกแขวนขาด ซึ่งสอบได้ความว่าแขวนมานานเป็นปี ๆ แขวนอยู่ได้ ทำไมจะต้องมาขาดตกลงดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนเสียงปืนเฉพาะในวันที่เจ้าฟ้าหญิงเอื้องอธิษฐานขอให้พ่อมาช่วย ข้อนี้ไม่มีใครอธิบายได้ รูปตกลงมากับพื้นกรอบแตกละเอียดตรงที่เจ้าฟ้าหญิงนั่งอธิษฐานถึงพ่อนั่นเอง แล้วเชิงเทียนยังเผ่นตามลงมาทับรูปไว้ด้วย ซึ่งถ้าเจ้าฟ้าหญิงไม่ลุกไปเสียก่อน เพื่อเรียกตุ้ยให้เอาธูปไปปักข้างนอกในนาทีนั้น กรอบรูปหรือไม่ก็เชิงเทียนจะต้องตกลงมาถูกหัวแตก

ที่เห็นเป็นอัศจรรย์คือ รูปตกลงมาโดนขวดเหล้า 6-7 ขวด แต่ขวดเหล้ากลับไม่หล่นไม่แตกเป็นแต่ล้มเรียงรายแถวกันอยู่บนตู้เหล้านั่นเอง ขวดเหล้าวางอยู่กลางไม่ เป็นอันตราย แต่เชิงเทียนวางไว้ริมตู้ กลับถูกกรอบรูปเฉียวเอาตกลงมากับพื้น แต่เพราะเป็นของไม่แตกจึงไม่เสียหาย เจ้าของบ้านรู้เข้ารีบหารูปมาแขวนเปลี่ยนให้ใหม่ โดยไม่ได้บอกไม่ได้กล่าวกันเลย แทนที่จะเอารูปทะเลเห็นแต่น้ำกับฟ้าเวิ้งว้างมาเปลี่ยนให้เหมือนเดิม กลับเอารูปทะเลมีเรือถึงฝั่งมาเปลี่ยนให้ พวกเราจึงเห็นเป็นนิมิตดีว่าคดีของเราเข้าถึงฝั่งชนะกันวันนี้เอง ซึ่งเมื่อเจ้าคุณได้อ่านรายงานคดีของผม อาจเห็นจริงด้วยในข้อนี้

ปราสาทเข้าพระวิหาร (Preah Vihear Temple) ภาพถ่ายเมื่อ พ.ศ. 2505 (ภาพจาก หนังสือ คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศคดีปราสาทพระวิหาร, โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, 2505)

คุณวิลาวัณย์เล่าให้ฟังว่าระหว่างผมแถลงต่อหน้าศาล เธอได้อธิษฐานอีก นึกในใจให้สมเด็จพระเจ้าตากถือพระแสงดาบยืนอยู่เหนือศีรษะผม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะคุณวิลาวัณย์ไปอธิษฐานท้าทายเข้าว่า ถ้าชาติก่อนเป็นลูกพ่อกันจริงก็ให้มาช่วย พลังมหาราชจึงได้สำแดงให้เห็นรุนแรงอีกถึงเพียงนี้โดยไม่มีใครต้องเป็นอันตราย แต่นั้นมาพวกเด็กผู้หญิงไม่มีใครกล้าตื่นเช้าลงมาต้มกาแฟให้พวกเรากินตามลำพัง

ผมเรียกคุณวิลาวัณย์มาปฏิญาณต่อหน้าคุณวุฒิว่า ผมเป็นคนสติปัญญาน้อย ไม่อยู่ในฐานะที่จะเห็นไกลไปถึงภพหน้าได้ แต่ได้เห็นปาฏิหาริย์เช้าวันนี้ ให้รู้สึกอัศจรรย์ใจ ถ้าคดีแพ้ก็แล้วไป แต่ถ้าชนะ ผมสวดมนต์ไหว้พระทุกคืน จะไหว้มหาราชผู้กู้ชาติ วันฉลองมหาราชฝั่งธนฯ ที่ผมบ่ายเบี่ยงไม่เคยไป ก็ขอปฏิญาณว่าต่อไปนี้จะไปทุกวันที่ 28 ธันวาคม ถ้าไม่มีเหตุอะไรขัดขวาง คุณวิลาวัณย์ยกมือขึ้นพนมแล้วพูดแต่เพียงว่าขอบใจ

วันที่ 8 หลังจากปาฏิหาริย์ ผมบันทึกเรื่องราวของท่านเสร็จเพื่อเป็นการเทอดพระเกียรติ มาศาลตอนบ่ายก่อนคนอื่นเพื่อตรวจอ่าน เข้าห้องพิจารณามีเขมรตัวดำ ๆ อยู่คนหนึ่ง ผมเข้าไปกับท่านเจ้ากรมรวมเป็น 3 คน นอกจากนี้ไม่มีใคร ทันใดนั้นได้กลิ่นธูปคลุ้งไปหมด ถามท่านเจ้ากรมก็ได้กลิ่น แต่พอผมทักเข้าก็หายไป ต่อมาคนเริ่มทยอยกันเข้าศาล ผมกำลังเล่าให้ตุ้ยฟัง ลุงโรทนายใหญ่คนสำคัญของฝ่ายไทยเดินเข้ามา ทันใดนั้นผมก็ได้กลิ่นธูปอีก เหมือนกับจะเสด็จตามเข้ามาตบหลังลุงโรซึ่งแถลงคดีไทยได้ดีมาก แต่ตอนนี้ไม่มีใครได้กลิ่นนอกจากผม

กลับจากศาลวันเดียวกัน พวกผู้หญิงอยู่เฝ้าบ้านเล่าให้ฟังว่า เมื่อเช้านี้ตอนพวกผู้ชายไปศาลแล้วเปิดประตูหน้าบ้านออกไปมีแมวไทยพันธุ์โคราชสีเทาเดินเข้ามาเคล้าแข้งเคล้าขาแล้วยังยอมให้พวกผู้หญิงอุ้มเล่นได้ เมื่ออุ้มยังเงยหน้ามองอย่างรักใคร่เอ็นดูเป็นการใหญ่ แมวไทยตามมาหาถึงบ้านไทย ก็นับว่าเป็นนิมิตดีอย่างหนึ่ง ถ้าคดีนี้แพ้ ต่อไปนี้ผมไม่เชื่ออะไรอีกนอกจากว่าตายแล้วสูญ ทำดีทำชั่วผลเท่ากัน หนังสือนี้ได้ให้ผู้มีชื่อว่ารู้เห็นตรวจอ่านกันแล้วทุกคน จึงมีมาถึงเจ้าคุณ

รักและนับถือ

(ลงชื่อ) เสนีย์ ปราโมช

(ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช)


[1] เจ้าคุณ คือ พระยาศราภัยพิพัฒน์


หมายเหตุ : คัดเนื้อหาจากบทความ “พระเจ้าตากฯ กับคดีเขาพระวิหาร” โดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2551


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 28 มิถุนายน 2565