ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
การกระตุ้นความรู้สึก “ชาตินิยม” สร้างเสริมอำนาจทางการเมืองของ “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์” ท่ามกลางความขัดแย้งไทย-เขมร จากกรณีกัมพูชาเรียกร้องปราสาทเขาพระวิหารคืนจากไทย ต้นทศวรรษ 2500
ดร. ยิ่งยศ บุญจันทร์ แห่งคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เล่าถึงประเด็นดังกล่าวไว้ใน วารสารอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (มกราคม – มิถุนายน 2564) โดยชี้ว่า ความขัดแย้งกรณีปราสาทพระวิหารเมื่อต้นทศวรรษ 2500 มีส่วนต่อการก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างเต็มตัวในฐานะนายกรัฐมนตรีของจอมพลสฤษดิ์ หลังการปฏิวัติ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501
ท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งไทยกับกัมพูชา ที่ขยายตัวจนนำไปสู่การตัดความสัมพันธ์ทางการทูต ตลอดจนสถานการณ์เมื่อ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) มีคำตัดสินคดีเมื่อ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ให้ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในอธิปไตยของกัมพูชา เรื่องเหล่านี้ “ควร” สร้างวิกฤตศรัทธาต่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศในขณะนั้น ทั้งยังเป็นนายกรัฐมนตรีจากการรัฐประหาร
แต่ปรากฏว่า จอมพลสฤษดิ์สามารถรับมือสถานการณ์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะช่วงที่มีการยุติความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับกัมพูชา
“จอมพลผ้าขาวม้าแดง” จัดการเรื่องดังกล่าวอย่างไร ?

ยิ่งยศอธิบายว่า ก่อนการขึ้นมามีอำนาจเต็มตัวของจอมพลสฤษดิ์ ปัญหากรณีปราสาทเขาพระวิหารมีความเด่นชัดเมื่อกัมพูชาได้รับเอกราช แล้วรัฐบาลไทยส่งกำลังทหารเข้าไปประจำการบริเวณปราสาทใน พ.ศ. 2497
เวลานั้น รัฐบาลกัมพูชาตอบโต้ด้วยการยื่นหนังสือประท้วง ก่อนจะลุกลามสู่การเดินขบวนประท้วงของข้าราชตำรวจและพลเรือนชาวเขมร ณ หน้าสถานทูตไทยกรุงพนมเปญ เมื่อ พ.ศ. 2501 โดยมีการประณามรัฐบาลไทยว่า “ไทยโกงเอาเขาพระวิหารของเขมรไป เขมรจึงควรจะทวงเอาคืนมา”
หลังจากนั้นกัมพูชาก็โจมตีรัฐบาลไทยผ่านสื่อในประเทศและสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาในต่างประเทศอยู่เนือง ๆ หนักถึงขั้นพาดพิงและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ไทยด้วย ซึ่งนั่นสร้างความไม่พอใจในหมู่คนไทยอย่างมาก กลายเป็นแรงกดดันต่อรัฐบาลไทยในขณะนั้น ที่อยู่ภายใต้การนำของ พลเอกถนอม กิตติขจร
เมื่อ สมเด็จนโรดม สีหนุ นายกรัฐมตรีกัมพูชา (ในบทความเรียก สมเด็จพระอุปยุวราชนโรดมสีหนุประมุขแห่งกัมพูชา) เสด็จเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน และประกาศรับรองรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้ไทยซึ่งอยู่ข้างโลกเสรีที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ
ฝ่ายการเมืองในไทยยังวิพากษ์วิจารณ์พลเอกถนอม โทษฐานปล่อยปละละเลยต่อท่าทีของกัมพูชา ตลอดจนเรียกร้องให้รัฐบาลเอามณฑลบูรพา (เสียมเรียบและพระตะบอง) และประจันตคีรีเขตร์ (เกาะกง) คืนจากกัมพูชา เพราะถือว่าไทยถูกฝรั่งเศสแย่งไป เมื่อฝรั่งเศสให้เอกราชกัมพูชา ก็ควรคืนดินแดนดังกล่าวแก่ไทย ประชาชนจำนวนหนึ่งยังไปประท้วงหน้าสถานทูตกัมพูชา บริเวณถนนราชดำริ จนเกิดการปะทะกับตำรวจที่ฉีดน้ำสกัดผู้ชุมนุมไม่ให้บุกเข้าไปในสถานทูตด้วย
สภาพการณ์ข้างต้นสั่นคลอนความมั่นคงของรัฐบาลพอสมควร ผนวกกับความวุ่นวายทางการเมืองของการปกครองรูปแบบรัฐสภา ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์
จอมพลสฤษดิ์จึงก่อการปฏิวัติเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ท่ามกลางสายตาประชาชนที่มองว่าไม่มีความชอบธรรมนักและเป็นความพยายามรักษาอำนาจเท่านั้น
24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501 หลังการปฏิวัติไม่ถึงเดือน กัมพูชาก็ยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยเป็นการชั่วคราว โดยอ้างกรณีปราสาทเขาพระวิหารและการเรียกร้องเอาดินแดนของหนังสือพิมพ์ไทย
เรื่องนี้ผลักดันให้จอมพลสฤษดิ์เข้ามามีบทบาทในกรณีปราสาทเขาพระวิหารโดยตรง เพราะเช้าวันต่อมา รัฐบาลไทยตอบโต้ทันที ด้วยการสั่งปิดพรมแดนระหว่างไทยกับเขมร “เพื่อมิให้เหตุร้ายลุกลาม และเพื่อความปลอดภัยของประชาชน” ทั้งเรียกทูตไทยประจำกัมพูชาและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดกลับไทย พร้อมประณามพฤติกรรมของกัมพูชา
เรียกว่าเป็นการตัดความสัมพันธ์อย่างเด็ดขาด หนักหน่วงกว่าการยุติความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นการ “ชั่วคราว” ที่เขมรตั้งใจในตอนแรก

วันเดียวกันนั้น จอมพลสฤษดิ์พร้อมด้วยนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เดินทางไปตรวจสถานการณ์ด้านชายแดนกัมพูชาทันทีโดยเฮลิคอปเตอร์ ต่อมาวันที่ 26 พฤศจิกายน ก็แวะเยี่ยมเยียนกองตำรวจตระเวนชายแดนที่ปราสาทเขาพระวิหารด้วยตนเอง
วันที่ 27 พฤศจิกายน ยังมีประกาศยืนยันอธิปไตยของไทยเหนือปราสาทเขาพระวิหาร รวมถึงแจ้งความพยายามของคณะปฏิวัติในการป้องกันและรักษาความปลอดภัยของประชาชนชาวไทย ทั้งเพิ่มกำลังตำรวจตระเวนชายแดนที่ปราสาทเขาพระวิหารอีก 6 เท่า โดยถือว่าบริเวณนี้เป็นผืนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวไทยที่ชนชาติอื่นจะล่วงล้ำและละเมิดไม่ได้ และให้ชักธงชาติไทยขึ้นไว้ให้เห็นโดยชัดเจน
ที่รัฐบาลไทยสามารถดำเนินการทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วและเฉียบขาด เพราะอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก ความเด็ดขาดและทันท่วงทีเหล่านี้สนองตอบความรู้สึกขุ่นเคืองของประชาชนที่มีต่อเขมรได้เป็นอย่างดี
ยิ่งกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชามีแถลงขอให้ตั้งกงสุลกัมพูชาในกรุงเทพฯ เพื่อความสัมพันธ์ในระดับอุปทูตต่อกัน แต่จอมพลสฤษดิ์ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวทันที ท่าทีขึงขังนี้ยิ่ง “ได้ใจ” คนไทยเข้าไปอีก
หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย ถึงกับชื่นชมรัฐบาลว่า “คณะปฏิวัติได้ตัดสินใจถูกต้องแล้วในการไม่เห็นชอบด้วยกับข้อเสนอของรัฐบาลกัมพูชาเรื่องการสถาปนาสัมพันธไมตรีชั้นอุปทูตและตั้งเงื่อนไขไว้อย่างสวยงามเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของประเทศไทย”

ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ฝ่ายกัมพูชายังยั่วยุรัฐบาลไทยหลายอย่าง เช่น ยื่นเรื่องร้องเรียนปัญหาความสัมพันธ์ต่อสหประชาชาติ โจมตีรัฐบาลไทยผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และวิทยุ จัดให้ประชาชนเดินขบวนประท้วงไทย
ที่รุนแรงกว่านั้นคือวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501 ตำรวจกัมพูชาทำทีชักชวนราษฎรไทยอำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ไปประชุมกันในเขตกัมพูชาแล้วทำการจับกุม และวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2501 ทหารเขมรราว 200 คน ยกพลขึ้นบกที่บ้านหาดเล็ก จังหวัดตราด แล้วจับกุมราษฎรไทย 5 คนไป
จอมพลสฤษดิ์จึงมีคำสั่งให้จับกุมชาวเขมรที่ลอบเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมาย ในข้อหา “จารบุรุษ” พร้อมมีแถลงการณ์ต่อหนังสือพิมพ์ในสถานการณ์ขณะนั้นว่า
“คณะปฏิวัติรู้สึกเกรงไปว่าประชาชนที่ได้ฟังข่าวการปฏิบัติการของกัมพูชาต่อไทย จะนึกว่าฝ่ายไทยอ่อนแอ แต่ความจริงมิใช่เช่นนั้น หากแต่ว่าการปฏิบัติตอบโต้ในเรื่องนี้ เราจะต้องกระทำโดยรอบคอบ มิฉะนั้นแล้วอาจจะนำไทยไปสู่ความหายนะก็เป็นไป… เคยมีแต่ผู้ใหญ่รังแกเด็ก แต่นี่เด็กเกิดจะรังแกผู้ใหญ่ซึ่งไม่เคยมี เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ประเทศไทยก็ต้องใช้ความรอบคอบและทำให้ชาวโลกเขาเห็นว่าไทยเป็นฝ่ายมีขันติธรรม”
สุดท้ายปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาก็บรรเทาลงด้วยการไกล่เกลี่ยของสหประชาชาติ กัมพูชาส่งตัวราษฎรไทยที่ถูกจับกุมคืนทางด่านอรัญประเทศ ซึ่งจอมพลสฤษดิ์เดินทางไปรับราษฎรกลุ่มนี้ด้วยตนเอง และกลับมาแถลงการณ์เปิดความสัมพันธ์ทางการทูตอีกครั้งในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502
ปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาร้อนแรงอีกครั้ง หลังวันที่ 6 ตุลาคม ปีเดียวกัน จากการที่กัมพูชายื่นเรื่องขอคำวินิจฉัยกรณีพิพาทเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหารต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ความเคลื่อนไหวนี้สร้างความโกรธแค้นแก่คนไทยอย่างมาก
วันต่อมา จอมพลสฤษดิ์จึงแถลงการณ์เน้นย้ำสิทธิของไทยเหนือปราสาท และรับปากว่าจะสู้คดีอย่างสุดกำลังเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นถึงความพยายามในการจัดการปัญหาดังกล่าวของรัฐบาล ซึ่งล้วนแต่เป็นถ้อยคำกินใจที่ส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาชน ที่ต่างมีความรู้สึกหวงแหนปราสาทเขาพระวิหารอย่างรุนแรง
ยิ่งยศ สรุปว่า “จอมพลสฤษดิ์สามารถรับมือกับกรณีดังกล่าวและสร้างความรู้สึกร่วมในการต่อสู้กับประชาชนได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีผลให้จอมพลสฤษดิ์ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในฐานะผู้นำคณะปฏิวัติที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาผลประโยชน์แห่งชาติเอาไว้
ท้ายที่สุดแม้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะมีคำตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในอธิปไตยของกัมพูชา ก็ไม่ทำให้เกิดวิกฤตศรัทธาต่อจอมพลสฤษดิ์”
เรียกได้ว่า จอมพลสฤษดิ์ รู้จักใช้ “ชาตินิยม” สร้างความชอบธรรมในสายตาประชาชน แม้สุดท้ายไทยจะต้องเสียปราสาทเขาพระวิหารให้กัมพูชา แต่ท่านยังดำรงสถานะผู้นำรัฐบาลอย่างมั่นคง ก่อนจะถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506
อ่านเพิ่มเติม :
- พระเจ้าตากฯ กับคดีเขาพระวิหาร
- “โจรสยาม VS เคลมโบเดีย” (ตอนที่ 2) ใคร – อะไร ทำให้ไทยกับเขมรเกลียดกันนัก ?
- ปัญหาพรมแดนไทย-เขมร กรณี “ปราสาทพระวิหาร” ในทัศนะกัมพูชา หลังเป็นเอกราช
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
ยิ่งยศ บุญจันทร์ ; นักศึกษาหลักสูตรอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. การสร้างความชอบธรรมทางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จากกรณีปราสาทเขาพระวิหาร ระหว่าง พ.ศ. 2501-2506. วารสารอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. ปีที่ 43 ฉบับที่ 1 : มกราคม – มิถุนายน 2564.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 12 มิถุนายน 2568