ฟรานซิส ไลท์ “กัปตันเหล็ก” ผู้บุกเบิกเกาะปีนัง ที่ครั้งหนึ่งมีแผนยึดเกาะถลาง (ภูเก็ต)

ฟรานซิส ไลท์ เกาะปีนัง
ฟรานซิส ไลท์ ผู้บุกเบิกเกาะปีนัง

ฟรานซิส ไลท์ “กัปตันเหล็ก” ผู้บุกเบิก เกาะปีนัง ที่ครั้งหนึ่งมีแผนยึด เกาะถลาง (ภูเก็ต)

แดดเที่ยงสาดแสงจ้าอยู่ท่ามกลางตึกสูง บ้านเก่างามประณีต ย่านการค้าพลุกพล่าน หากเพียงเลี้ยวมุมถนนนอร์แทม เกาะปีนัง ถัดจากตึกสูงเพียงชั่วถนนกั้น คือภาพของดงไม้ร่มครึ้มซ่อนอยู่หลังกำแพงซีเมนต์เก่าคร่ำ เป็นมุมแห่งความสงบ เงียบเชียบ และวังเวงยิ่งนักเมื่อเดินผ่านไปใต้เงาไม้สลัว มองเห็นเปลวแดดมลังเมลือง ฉายผ่านใบไม้ซับซ้อนฉลุลายแต้มสีทองวับ ๆ อยู่บน “หลุมศพฝรั่ง” กลางสุสานโปรเตสแตนต์อันเก่าแก่

มุมหนึ่งในสุสานแห่งนี้ คือหลุมศพของ กัปตัน ฟรานซิส ไลท์ (ค.ศ. 1745 – 21 ตุลาคม ค.ศ. 1794) กัปตันไลท์เป็นพ่อค้าชาวอังกฤษ สังกัดบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ เขามีผลประโยชน์ทางการค้าอย่างกว้างขวางในฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรมลายู เคยเข้ามาอยู่ใน “เกาะถลาง” (ภูเก็ต) หลายปี เพื่อค้าดีบุก

ฟรานซิส ไลท์ พ่อค้าผู้มากสายสัมพันธ์

ฟรานซิส ไลท์ มีความสนิทสนมชอบพอกับ พระพิมล เจ้าเมืองถลาง และ คุณหญิงจัน ผู้เป็นภรรยา เป็นอย่างดี ถึงขนาดได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่เสมอ เขาเคยจัดหาอาวุธปืนขายให้กับ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อต่อสู้กับพม่า ในระยะของการฟื้นฟูอำนาจของสยาม เขาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากพระมหากษัตริย์ไทยให้เป็น “พระยาราชกปิตัน” หรือที่ชาวไทยร่วมสมัยรู้จักกันในนามของ “กปิตันเหล็ก” หรือ “กัปตันเหล็ก”

แต่เนื้อแท้แล้ว กัปตันไลท์เป็นพ่อค้า มีงานศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของกัปตันไลท์ไว้ว่า ในระยะที่มีทั้งข่าวลือ และสถานการณ์อันเป็นจริงว่า ช่วงที่ดัตช์และฝรั่งเศสจะเข้ามาสถาปนาอำนาจในดินแดนอินโดจีน กัปตันไลท์มองเห็นความหายนะของผลประโยชน์ตน เขาจึงพยายามเรียกร้อง ผลักไส วิ่งเต้นให้บริษัทอินเดียตะวันออกยึดดินแดนหนึ่งในแถบนี้ เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางการค้าของตนเอง

ดังที่เขาได้พยายามให้บริษัทอังกฤษยึดปากน้ำไทรบุรี ถลาง มะริด กลับมาถลางใหม่ และไปสำเร็จที่ปีนังในที่สุด

ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ อังกฤษมีนโยบายที่จะแผ่อิทธิพลออกมาทางคาบสมุทรอินโดจีน โดยเฉพาะมีความประสงค์อย่างแน่วแน่ที่จะหาที่ตั้งท่าจอดเรือรบ และเรือสินค้าทางฝั่งตะวันออกของอ่าวเบงกอล แต่ก็ยังมิได้เจาะจงลงไปว่าจะเป็นที่ใด เพราะอังกฤษยังไม่รู้จักภูมิประเทศบ้านเมืองแถบนี้ดี

ครั้งนั้น กัปตันไลท์คิดยึด “เกาะถลาง” มาเป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จดหมายที่ติดต่อกับทางอังกฤษหลายฉบับในระยะต่อมา บอกให้รู้ว่า กัปตันไลท์เคยสนับสนุนให้อังกฤษรวบเอาทั้งเกาะถลางและเกาะปีนัง

หากในที่สุด ข้าหลวงใหญ่อังกฤษที่อินเดีย ก็ตัดสินใจเลิกยึด “เกาะถลาง” หันไปเอา “เกาะปีนัง” เพียงแห่งเดียว โดยให้เหตุผลว่า

1. เมืองถลางป้องกันรักษายากกว่า จำเป็นจะต้องมีกำลังทหารไว้รักษามาก

2. ในครั้งนั้น รัฐบาลอังกฤษต้องการจะได้ท่าเรือรบ และท่าเรือสินค้า เพื่อค้าขายแข่งกับฮอลันดา ซึ่งได้เมืองมะละกาไว้เป็นที่มั่น ในแง่นี้ อ่าวจอดเรือของปีนังดีกว่าถลาง

บุกเบิก “เกาะปีนัง”

ในที่สุดฟรานซิส ไลท์ ได้ประสบผลสำเร็จในการเจรจาขอเช่า เกาะปีนัง จากเจ้าเมืองไทรบุรี ด้วยวิธีให้ข้อเสนอที่พระยาไทรบุรีไม่อาจปฏิเสธได้ ดังที่กล่าวไว้ในประวัติตอนหนึ่งของเขาว่า “พระยาไทรบุรีต้องการทราบว่าถ้าตนจะไม่ตกลงในจดหมายหลายฉบับของบริษัทแล้ว ฟรานซิส ไลท์ จะกลับไปเบงกอลอย่างสงบโดยไม่เป็นศัตรูกันหรือไม่ คำถามข้อนี้กัปตันไลท์ไม่ตอบ นิ่งเสีย คงจะเป็นเชิงขู่พระยาไทรบุรีอยู่ในตัว”

ยุคสมัยนั้น ปีนังยังเป็นเกาะร้าง แต่บริบูรณ์ด้วยน้ำจืดและสัตว์ป่า รกครื้มไปด้วยป่าดิบ ในอ่าวเต็มไปด้วยปลานานาชนิด และบนแผ่นดินใหญ่ตรงข้ามปีนัง (หรือเขตบัตเตอร์เวิร์ธในปัจจุบัน) ก็มีคนอาศัยอยู่มาก ทำนาปลูกข้าวเลี้ยงเป็ดไก่กันในพื้นที่กว้างขวาง มีชัยภูมิดีเยี่ยม สามารถใช้ปืนใหญ่บนเกาะและบนแผ่นดินใหญ่ ป้องกันทางเข้าไม่ให้ศัตรูบุกขึ้นเกาะได้ง่าย ๆ

อีกทั้งปีนังยังสะดวกยิ่งสำหรับการเดินเรือค้าขายที่มุ่งหน้าไปเมืองจีน พร้อมจะเป็นศูนย์กลางตั้งถิ่นฐานของทั้งคนจีน อินเดีย มลายู นานาสัญชาติที่ผ่านเข้ามาแลกเปลี่ยนค้าขายในดินแดนแถบนี้

ดังนั้น การที่กัปตันไลท์พยายามดิ้นรนให้อังกฤษยึดครองเกาะปีนังเอาไว้ให้ได้ จึงนับเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ทางการค้า และการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่กว้างไกลอย่างยิ่ง

เมื่อสามารถเช่าเกาะปีนังจากพระยาไทรบุรีได้เรียบร้อย กัปตันไลท์ก็ได้ตระเตรียมที่จะตั้งอาณานิคมของอังกฤษขึ้นทันที

เขาจัดเรือ 3 ลำแล่นไปยังเกาะปีนัง เมื่อเย็นวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1786 (พ.ศ. 2329) คนที่ขึ้นเกาะในคราวแรกนี้มีทั้งทหารอังกฤษ กะลาสีชาวเบงกอล 100 คน วิศวกร พ่อค้าอังกฤษ และยังมีอาวุธต่าง ๆ กับปืนใหญ่อีกจำนวนมาก

ในวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1786 กัปตันไลท์ตั้งชื่อเกาะปีนังใหม่ว่า เกาะพริ้นซ์ ออฟ เวลส์ (Prince of Wales Island) เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าชายแห่งเวลส์ของประเทศอังกฤษ และนับเอาวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1786 เป็นวันตั้งอาณานิคมของอังกฤษบนเกาะนี้

บริเวณเกาะปีนัง ภาพวาดเมื่อ ค.ศ. 1828

กัปตันไลท์ เจ้าเมืองปีนังคนแรก

กัปตัน ฟรานซิส ไลท์ เป็นเจ้าเมืองปีนังคนแรก ตลอดช่วงชีวิตที่ปีนัง เขาได้เป็นที่พึ่งของเจ้าเมืองมลายูหลายคนที่บ่ายหน้ามาขอความช่วยเหลือ เพื่อให้กัปตันไลท์และอังกฤษปกป้องหัวเมืองมลายูจากการคุกคามของสยามและพม่า

นอกจากนี้ กัปตันไลท์ได้พัฒนาบุกเบิกปีนังให้เจริญรุดหน้าในหลาย ๆ ด้าน เมืองปีนังกลายเป็นสถานีทางการค้าอันเฟื่องฟู มีผู้คนนานาชาติเข้ามาตั้งรกราก จนเป็นเมืองที่มีการผสมผสานทางวัฒนธรรมของหลากหลายกลุ่มชน ทั้งแขกมลายู แขกอินเดีย แขก อาเจะห์ จีนฮกเกี้ยน จีนไหหลำ ฯลฯ มาจนปัจจุบัน

แต่กัปตันไลท์มีเวลาอยู่ในปีนังเพียงแค่ 8 ปี เขาล้มป่วย อาการหนัก เขียนพินัยกรรมยกสมบัติให้ มาร์ติน่า โรเซลล์ หญิงลูกครึ่งโปรตุเกส-ไทย ผู้เป็นภรรยา กับลูก ๆ ส่วนทรัพย์สินที่เหลืออีกจำนวนมาก กัปตันไลท์ได้ยกให้กับเพื่อน ๆ ผู้บุกเบิกสร้างเกาะปีนังมาด้วยกันกับเขา นอกจากนี้ เขายังปลดปล่อยทาสของตนให้เป็นอิสระ อาการป่วยของเขาหนักมากขึ้นทุกที

ในที่สุด กัปตัน ฟรานซิส ไลท์ ได้ถึงแก่อนิจกรรมในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1794 (พ.ศ. 2337) ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของบุตร ภรรยา และผู้ที่มาตั้งรกรากในเกาะปีนังทั้งมวล

หลุมฝังศพกัปตันฟรานซิส ไลท์ ที่ปีนัง (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม 2549)

ศพของกัปตันไลท์ได้ทำพิธีทางศาสนา และฝังอยู่ที่สุสานโปรเตสแตนต์ ชายขอบของเมืองยุคนั้น หากกลายเป็นพื้นที่กลางเมืองปีนังในห้วงเวลาปัจจุบัน

แต่เดิมสุสานโปรเตสแตนต์เคยมีเพียงหลุมศพสูง ๆ ต่ำ ๆ พอถึง ค.ศ. 1818 ได้มีการสร้างกำแพงขึ้น เพื่อกำหนดเขตของสุสาน เมื่อเวลาล่วงผ่าน จำนวนคนตายก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีหลุมฝังศพเต็มพื้นที่ ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 จึงได้มีการปิดสุสาน ไม่รับฝังศพเพิ่มขึ้นอีก

บัดนี้สุสานโปรเตสแตนต์ได้กลายเป็นที่พำนักแหล่งสุดท้ายของคนรุ่นบุกเบิก นักแสวงโชคจากดินแดนไกลโพ้น ที่เรื่องราวของพวกเขายังมีชีวิตแทรกอยู่ในเงาสลัวของเวลา

กลางสุสาน สองฟากทางเดินเต็มไปด้วยหลุมศพและแผ่นหินจารึกคำอำลา บรรยากาศในสุสานเยือกเย็น แกมวังเวง ลมกระโชกแรง ดอกลั่นทมขาวร่วงพรูพราย กลิ่นหอมอ่อนกำจายกรุ่น ร่มใบลั่นทมบังแดดเที่ยงให้กลายเป็นแสงครึ้มสลัว ที่พำนักของกัปตันไลท์ มองเห็นสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางหลุมศพของมิตรสหายจำนวนมากที่ร่วมบุกเบิกก่อตั้งเกาะปีนังมากับเขา ดังเช่น เจมส์ สก็อตต์, เดวิด บราวน์, เจมส์ ริชาร์ดสัน โลแกน ฯลฯ

สำหรับนักเดินเรือ นักผจญภัย พ่อค้าชาติตะวันตกและครอบครัว ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส ดัตช์ สเปน โปรตุเกส ฯลฯ ผู้มุ่งหน้ามาแสวงโชค และสามารถกอบโกยความมั่งคั่งได้ดังใจปรารถนา หาก “ราคา” ที่ฝรั่งนักบุกเบิกยุคนั้นต้อง “จ่าย” ให้กับแผ่นดินตะวันออกที่แสนห่างไกล ก็ดูจะ “แพง” อยู่ไม่น้อย

หลายกรณี ความมั่งคั่งหรือการสนองตอบต่อวิญญาณของนักบุกเบิกผจญภัย ต้องแลกมาด้วย “ชีวิต” คนต่างแผ่นดินจำนวนมากเดินทางมาล้มตายด้วยโรคเมืองร้อน ดังเช่น มาลาเรีย อหิวาตกโรค ไข้บิด ไข้รากสาด ทั้งที่อยู่ในวัยไม่สมควร อัตรารอดชีวิตของเด็กฝรั่งเด็กลูกครึ่งในประเทศอาณานิคมก็ออกจะต่ำมาก ๆ รวมทั้งผู้หญิงฝรั่งที่คลอดลูกตาย ก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก ให้เราได้มองเห็นเรื่องราวของเขาและเธอ จากแผ่นหินจารึกเหนือหลุมศพ อันเต็มไปด้วยรอยอาลัยล้ำลึก

เช่นเดียวกับกัปตัน ฟรานซิส ไลท์ ที่โรคเมืองร้อนบน “เกาะปีนัง” คร่าชีวิตเขาไปในวัยเพียง 49 ปี

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่ 


หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทความ “กัปตันฟรานซิส ไลท์ ในเงาสลัวของเวลา” เขียนโดย นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม 2549


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 31 พฤษภาคม 2565