กรมดำรงซื้อไม่ได้ด้วยเงิน! พระดำรัสไม่กลับเมืองไทย ทรงยอมใช้ชีวิตมัธยัสถ์ที่ปีนัง

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

“—ขอบใจคุณมาก แต่กรมดำรงซื้อไม่ได้ด้วยเงิน ถ้าจะให้คุกเข่าลงเพื่อเงินแล้วไม่กลับ—“

เป็นพระดำรัสของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตรัสกับ นายมังกร สามเสน ครั้งพบกันที่เมืองไทร นายมังกรได้ทูลเตือนให้เสด็จกลับเมืองไทย อันเนื่องมาแต่รู้ข่าวว่ารัฐบาลกำลังมีดำริจะตัดเงินรายได้เจ้านายที่เสด็จไปอยู่ต่างประเทศ

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชุ่ม เป็นพระราชอนุชาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดปรานให้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทจนตลอดรัชสมัย ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาตินานัปการ และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ก็เป็นพระบรมวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ที่มีผู้นับถือเชื่อฟังมากตลอดมา

เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คณะราษฎรจึงเกิดความระแวงสงสัยไม่ไว้วางพระทัยเกรงจะก่ออันตรายให้เกิดแก่รัฐบาลประชาธิปไตย พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยเสด็จไปประทับที่ปีนังพร้อมพระธิดา 3 พระองค์ เป็นการถาวร โดยทรงให้เหตุผลกับพระธิดาและคนใกล้ชิดว่า “—พ่อยังมีลูกศิษย์และเพื่อนฝูงมากทั่วพระราชอาณาจักร เขาไม่มาหาก็ดูเป็นอกตัญญู ถ้ามาก็จะถูกหาว่าเป็นพวกเจ้า เราให้สุขเขาไม่ได้ก็อย่าให้ทุกข์เขาเลย ไปเสียให้พ้นดีกว่าเราก็สบาย เขาก็สบาย—“

สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เสด็จเยี่ยมสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพและพระธิดา ที่เมืองปีนัง พ.ศ. ๒๔๘๐

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ และพระธิดาทั้ง 3 พระองค์ ทรงดำรงพระชนมชีพอยู่ที่ปีนังด้วยรายได้ไม่มากนัก คือเงินปีของพระบรมวงศานุวงศ์ปีละ 6,000 บาท เบี้ยบำนาญซึ่งเดิมได้รับเดือนละ 3,600 บาท แต่ถูกตัดทอนลงหลายครั้งจนเหลือเพียงเดือนละ 960 บาท เบี้ยหวัดเงินปีของพระธิดาองค์ละ 80 บาท เฉลี่ยแล้วทรงมีรายได้ตกเดือนละ 1,480 บาท หรือประมาณ 640 เหรียญ การจัดสรรเงินเพื่อใช้จ่ายภายในครอบครัวเป็นภาระของพระธิดาทั้ง 3 พระองค์ ที่ตามเสด็จไปประทับอยู่ด้วย ทรงวางแผนการใช้เงินอย่างรอบคอบประหยัดให้เพียงพอแก่การดำรงชีวิตทั้งรักษาพระเกียรติยศ

หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัยทรงเล่าถึงการใช้จ่ายเงินที่นอกเหนือไปจากการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไว้ว่า “—วันหนึ่งเสด็จพ่อท่านเสด็จไปพบหนังสือขายที่ร้านขายหนังสือเล่มหนึ่งราคา 8 เหรียญ ท่านอยากทรงแต่เห็นว่าแพงเกินกำลังก็ยืนเปิด ๆ ทอดพระเนตร แขกผู้ขายเข้าใจ ทูลว่า ‘เอาไปก่อนเถอะ จะใช้เงินเมื่อไรก็ได้’ ท่านก็เอามา ตรัสบอกหญิงเหลือผู้เก็บเงินว่า ‘แขกมันเชื่อพ่อ เธอเอาไปใช้มันเสียทีนะ’ เวลานั้นกำลังจะสิ้นเดือนหญิงเหลือก็หัวเสียบ่นออกไปว่า ‘ดีไม่กินละข้าว กินหนังสือแทน’

ท่านทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วเสด็จออกไปจากห้องสักครู่ใหญ่ ๆ เสด็จกลับเข้ามาตรัสว่า ‘จะเอายังไงกับพ่อ สุรา นารี พาชี กีฬาบัตร ซึ่งผู้ชายน้อยคนนักจะรอดพ้นมาได้ พ่อก็ไม่มีเลยมีแต่หนังสือเท่านั้นที่เป็นความสุข จะเอาอย่างไรเล่า’ เรานิ่ง ท่านก็ออกไปเขียบนหนังสือต่อ หญิงเหลือเขาลุกขึ้นคว้าเงินในลิ้นชักได้อีก 12 เหรียญ เขาก็เอาออกไปส่งถวายว่ายังมีซื้อได้อีกเล่มหนึ่ง ท่านก็ทรงพระสรวลไม่ว่าอะไร ตามธรรมดาไม่ทรงเก็บเงินเอง ขอมีติดกระเป๋าเพียง 1 เหรียญ เผื่อรถเสียจะได้กลับบ้านเท่านั้น—“

ความยากลำบากในการดำรงชีพที่ปีนังไม่ได้ทำให้สมาชิกในราชสกุลดิศกุลทรงย่อท้อ ทุกพระองค์ทรงเข้มแข็งและรักษาพระเกียรติยศแห่งราชสกุลตลอดระยะเวลายาวนานถึง 10 ปี ที่ประทับ ณ ที่นั้น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงใช้เวลาว่างและหาความสุขส่วนพระองค์ด้วยการอ่านเขียนและบันทึกความรู้ต่าง ๆ ทั้งศิลปะ วรรณคดี อักษรศาสตร์ สถาปัตยกรรมไทย โบราณคดี ประวัติศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และวัฒนธรรม ในรูปจดหมายโต้ตอบกับสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ปัจจุบันได้รวบรวมตีพิมพ์ออกเผยแพร่ในนามของหนังสือชุดสาส์นสมเด็จ

ตลอดระยะเวลาที่ประทับ ณ ปีนัง ทรงต้องระวังพระองค์ในทุก ๆ ด้าน ด้านพระนิพนธ์หนังสือโต้ตอบกับสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ ก็จะไม่ทรงพระนิพนธ์เกี่ยวข้องไปถึงการเมืองไม่ว่าจะในแง่มุมใดทั้งสิ้น และจะไม่ทรงพบปะกับคนไทยที่เดินทางมาเที่ยวปีนัง แม้จะเป็นคนเคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน แต่จะทรงต้อนรับหากผู้นั้นเสด็จหรือมาหาพระองค์ที่ที่ประทับ ทั้งนี้เพราะทรงตระหนักพระทัยดีว่า รัฐบาลไทยยังคงระแวงและเกรงบารมีพระองค์อยู่ จึงไม่ทรงปรารถนาจะนำความเดือดร้อนไปให้ผู้ใด แม้จะเป็นการไปเพื่อพบปะพูดคุยกันด้วยความระลึกถึง แต่หากผู้ใดไปพบพระองค์ ณ บ้านซินนามอน ก็จะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น

๑ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ขณะประทับอยู่ที่เมืองปีนัง, ๒ ทรงมีความสุขกับการอ่านหนังสือ

วันหนึ่งตนกูมะหะหมัด เจ้าเมืองไทร เชิญเสด็จพระองค์ไปเสวยกลางวัน ขณะเสด็จลงเรือข้ามฟากทะเลไปเมืองไทรพบ นายมังกร สามเสน ในเรือข้ามฟาก นายมังกรได้กราบทูลพระองค์ว่า “ข้าพระพุทธเจ้าอยากเชิญเสด็จกลับกรุงเทพฯ เพราะมีคนแนะนำสภาว่า ให้ตัดเงินเดือนเจ้านายที่ไปอยู่ต่างประเทศ เว้นแต่กรมพระนครสวรรค์ เพราะเขาให้ท่านไป ข้าพระพุทธเจ้ารู้ดีว่า ฝ่าบาทไม่ใช่เจ้านายที่มั่งมี จึงไม่อยากเห็นทรงลำบากในเวลาทรงพระชราแล้ว—”

ไม่ว่าคำกราบทูลของนายมังกรจะมีความปรารถนาดีต่อพระองค์หรือไม่ก็ตาม แต่ความหมายที่แฝงอยู่ในคำกราบทูลนั้น หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัยทรงบันทึกถึงผลที่เกิดไว้อย่างละเอียดว่า “—เวลานั้นพระชันษาเสด็จพ่อ 78 ปี ท่านพระพักตร์แดง ยืดพระองค์ตรง และตรัสว่า ‘ขอบใจคุณมาก แต่กรมดำรงซื้อไม่ได้ด้วยเงิน ถ้าจะให้คุกเข่าลงเพื่อเงินแล้วไม่กลับ’ และยังทรงกล่าวต่อกับนายมังกรว่า ‘—ฉันมีมากก็ใช้มากมีน้อยก็ใช้น้อย อายุถึงปูนนี้แล้วเหตุใดจะเอาวันเหลือข้างหน้าอีก 2-3 วันมาลบวันข้างหลังที่ได้ทำมาแล้วเสียเล่า—‘”Ž

พระดำรัสที่ตรัสนั้น บ่งบอกอย่างแจ่มชัดถึงพระอุปนิสัย ความรักศักดิ์ศรีเกียรติยศยิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทอง แต่สำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจไม่รู้จักคำว่าศักดิ์ศรีหรือเกียรติยศ ก็คงยากที่จะเข้าใจความหมายที่ตรัสได้อย่างถ่องแท้

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ เสด็จประทับที่ปีนัง 9 ปีเศษ จึงเสด็จกลับเพราะโรคพระหทัยพิการที่ทรงเป็นอยู่กำเริบ หม่อมเจ้าพิสิษฐ์ดิศพงษ์ พระโอรสพระองค์หนึ่งได้ติดต่อรัฐบาลไทย และกองทัพญี่ปุ่นขอรับสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ เสด็จกลับมารักษาพระองค์ที่ประเทศไทย ได้เสด็จกลับถึงประเทศไทยในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2485

 


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 28 ตุลาคม 2562