ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับธันวาคม 2551 |
---|---|
ผู้เขียน | ณัฏฐพงษ์ สกุลเดี่ยว |
เผยแพร่ |
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลจำเป็นต้องเข้าควบคุม การค้าข้าว ระหว่างประเทศ เนื่องจากประเทศไทยจะต้องส่งมอบข้าวให้แก่สหประชาชาติโดยไม่คิดมูลค่าเป็นจำนวนถึง 1.5 ล้านตัน ตามข้อตกลงสมบูรณ์แบบที่ทำไว้กับอังกฤษเพื่อให้ประเทศไทยรอดพ้นจากฐานะผู้แพ้สงคราม
แต่ข้อเรียกร้องนี้ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบมากเกินไป จนไม่อาจจะหาข้าวมาให้ได้ตามที่กำหนด จึงเกิดการเจรจาขึ้นอีกหลายครั้งในภายหลัง เพื่อให้ประเทศไทยสามารถขายข้าวได้ในราคาที่ใกล้เคียงกับตลาดโลก และเมื่อสามารถขายข้าวได้ในราคาที่สูงขึ้น ก็ทำให้สถานการณ์ภายในประเทศดีขึ้นมาก และใน พ.ศ. 2492 ได้ปรากฏว่าข้าวไทยยังเหลือจากการคัดสรรประมาณ 2.5 แสนตัน จึงเป็นปีที่ประเทศไทยมีโอกาสส่งข้าวขายได้อย่างเสรีเป็นครั้งแรก
ตั้งหน่วยงานแก้ปัญหา “การค้าข้าว”
“สำนักงานข้าว” เป็นหน่วยงานที่รัฐบาลตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหา การค้าข้าว ส่งออกนอกประเทศโดยตรง อยู่ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ ทำหน้าที่ผูกขาดการส่งข้าวออกไปจำหน่ายต่างประเทศแต่ผู้เดียว ในการซื้อข้าวนั้นสำนักงานข้าวจะซื้อจากพ่อค้าข้าวสารหรือโรงสีในราคาที่รัฐบาลประกาศควบคุม และสำนักงานข้าวก็จะเป็นผู้จำหน่ายข้าวสารที่ซื้อในประเทศอีกขั้นตอนหนึ่ง
แม้ว่าใน พ.ศ. 2492 สถานการณ์การค้าข้าวต่างประเทศจะดีขึ้น แต่รัฐบาลก็ยังคงให้สำนักงานข้าวผูกขาดการค้าข้าวระหว่างประเทศต่อไป เนื่องจากการผูกขาดการค้าข้าว เป็นที่มาของรายได้ก้อนโตของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ได้เปิดโอกาสให้พ่อค้าเอกชนติดต่อตลาดต่างประเทศแล้วมาขอส่งออกผ่านสำนักงานข้าว กล่าวคือ พ่อค้าที่หาตลาดต่างประเทศได้แล้ว ก็นำข้าวมาขายให้สำนักงานข้าว แล้วสำนักงานข้าวก็จะนำข้าวจำนวนนี้ไปขายต่างประเทศตามจำนวนที่พ่อค้าได้ติดต่อเอาไว้ สำนักงานข้าวจะได้กำไรจากการตั้งราคารับซื้อต่ำกว่าราคาขาย ส่วนพ่อค้าก็จะได้กำไรจากการซื้อข้าวจากชาวนามาส่งให้สำนักงานข้าวอีกทอดหนึ่ง

เมื่อการค้าข้าวส่งออกเป็นธุรกิจที่ให้ผลประโยชน์สูง ผู้นำทางการเมืองในสมัยนั้นจึงให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ จอมพล ผิน ชุณหะวัณ มี บริษัททหารสามัคคี และบริษัทค้าต่างประเทศทหารสามัคคี ส่วนจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ มี บริษัทบางกอกสากลการค้า และ จอมพล ประภาส จารุเสถียร มี บริษัทสหพาณิชย์สามัคคี
บริษัทเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการค้าข้าวส่งออก และล้วนใช้อิทธิพลทางการเมืองเป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจทั้งสิ้น เช่น บริษัท ทหารสามัคคีได้รับโควต้าส่งออกข้าวมากที่สุดเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2492-2499 ประมาณร้อยละ 20-25 ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด
เมื่อกลุ่มผู้นำทางการเมืองให้ความสนใจในธุรกิจค้าข้าว รวมทั้งจอมพล ป. ยังได้นำนโยบายชาตินิยมทางเศรษฐกิจกลับมาใช้ในการค้าข้าว ดังปรากฏในการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2491 ที่มีการนำปัญหาเรื่องข้าวเข้าหารือ และมอบนโยบายที่จะให้รวมโรงสีให้เหลือน้อยลง และให้บริษัทข้าวไทยเข้าถือหุ้น พร้อมทั้งตั้งโรงสีใหม่ให้คนไทยเข้าถือหุ้นด้วย
จากปัจจัยทั้ง 2 อย่างนี้เอง ทำให้พ่อค้าข้าวเอกชนทั้งหลายต้องเดือดร้อน และต้องวิ่งเต้นกันอย่างหนักหากยังหวังที่จะให้ธุรกิจของตนเองอยู่รอด นอกจากนี้ พ่อค้าข้าวยังประสบปัญหาอื่น ๆ เช่น กรณี พ่อค้าข้าวในภาคอีสานที่ประสบปัญหาการขนส่งทางรถไฟไม่เพียงพอ ต้องแข่งกันวิ่งเต้น ผลสุดท้ายก็คือเงินที่ต้องจ่ายเป็นสินบนให้แก่เจ้าหน้าที่การรถไฟจำนวนมากขึ้นทุกที อีกทั้งยังถูกบีบจากรัฐบาลให้โอนหุ้นเป็นของคนไทย
จนในที่สุดแล้ว นายหวังมูเหน็ง (Wang Muneng) เจ้าของโรงสีใหญ่ในอุดรธานี ต้องดำเนินการรวมกลุ่มเจ้าของโรงสีประมาณ 20 คน และจัดตั้งสมาคมเจ้าของโรงสีแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือขึ้น พร้อมทั้งติดต่อกับ จอมพล ผิน ชุณหะวัณ โดยตกลงที่จะรวมกิจการเข้ากับบริษัททหารสามัคคี ซึ่งเป็นขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก บริษัททหารสามัคคีได้รับเอกสิทธิ์ในการใช้รถบรรทุกสินค้าทางรถไฟได้อย่างเต็มที่ และจัดสรรสิทธิดังกล่าวนี้แก่ผู้ถือหุ้น โดยผู้รับสัมปทานต้องขายข้าวครึ่งหนึ่งของผลผลิตทั้งหมดแก่บริษัททหารสามัคคี และบริษัททหารสามัคคีนำไปขายต่อให้รัฐบาล เพื่อการส่งออกอีกทอดหนึ่ง
รูปแบบดังกล่าวนี้ได้ปรากฏต่อมา เมื่อเจ้าของโรงสีในภาคเหนือได้รวมตัวก่อตั้งสมาคมเจ้าของโรงสีแห่งภาคเหนือขึ้นในปี 2495 และหาผลประโยชน์ร่วมกับบริษัททหารสามัคคีด้วยวิธีการเช่นเดียวกัน
การรวมตัวกันสร้างเป็น “เครือข่ายบริษัทอภิสิทธิ์” เช่นนี้ น่าจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่พ่อค้าเอกชนทั่วไป ที่อยู่นอกเครือข่ายหรือไม่มี “ผู้มีอิทธิพล” คอยหนุนหลัง ดังปรากฏว่าบริษัทประชานิยมที่ดำเนินการโดย นายสะอาด ปิยวรรณ ได้รับซื้อพืชไร่และข้าวในจังหวัดลำปาง แข่งขันกับบริษัททหารสามัคคี โดยจะซื้อตัดหน้า และให้ราคาสูงกว่าประมาณ 5-10 สตางค์ ซึ่งต่อมาเมื่อจอมพล ผิน ทราบเรื่องเข้า ก็ได้มีคำสั่งให้บริษัทประชานิยมเลิกกิจการไปเสีย
หรือที่ปากพนัง (อำเภอหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช) ก็ปรากฏว่ามีผลกระทบจากการผูกขาดและควบคุมราคาข้าวของรัฐบาลเช่นเดียวกัน เพราะทำให้เจ้าของโรงสีในปากพนังต้องหาทางไม่ให้กำไรลดลงโดยการขายส่งข้าวคุณภาพต่ำให้แก่รัฐบาล แต่โรงสีหลายแห่งก็ตั้งอยู่ไม่ได้ต้องเลิกกิจการไป ทำให้โรงสีในปากพนังลดจำนวนลง
นอกจากจะกระทบโดยตรงต่อพ่อค้าแล้ว ยังพบว่าการผูกขาดและควบคุมการค้าข้าวของรัฐบาลยังส่งผลกระทบแก่ประชาชนทั่วไปอีกด้วย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ซึ่งมีการเพาะปลูกข้าวน้อยทำให้ได้รับความเดือดร้อนมากเป็นพิเศษ ดังปรากฏในรายงานของนักหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า
“…เหตุที่รัฐบาลยินยอมให้เลิกการควบคุมการขนย้ายข้าว โดยปล่อยให้พ่อค้าสามารถขนย้ายข้าวไปจำหน่ายได้โดยเสรี แทนที่จะปล่อยให้บริษัทจังหวัดดำเนินการผูกขาดข้าวปันส่วนแต่เพียงผู้เดียวนั้น…เนื่องมาจากการที่มีราษฎรพากันร่ำร้องว่าได้รับความเดือดร้อน เพราะไม่ได้รับความสะดวกนานาประการ อาทิเช่น คุณภาพของข้าวไม่สมควรใช้เป็นข้าวบริโภคบ้าง ราคาสูงเกินไปบ้าง รวมตลอดทั้งหาซื้อได้ยาก และนับแต่รัฐบาลได้อนุญาตให้พ่อค้าทำการค้าข้าวโดยเสรีได้แล้ว เสียงร้องว่าได้รับความเดือดร้อนของราษฎรในจังหวัดภาคใต้ที่มิได้มีการเพาะปลูกข้าวเช่นในจังหวัดภูเก็ต จังหวัดพังงา จังหวัดระนองก็ดูจะเบาบางลงไป นอกจากนั้นยังได้ทราบว่าราคาข้าวสารที่เคยจำหน่ายในราคาสูงก็พลอยลดลงไปด้วย และเป็นสิ่งที่ทำให้ราษฎรในจังหวัดดังกล่าวมีความปิติยินดีต่อการกระทำของรัฐบาลเป็นอันมาก…”

สูญเสียตลาดค้าข้าวเพราะเครือข่ายอภิสิทธิ์ชน?
ในปลายทศวรรษ 2490 สถานการณ์การค้าข้าวของประเทศไทยก็ย่ำแย่ลงไปอีก กล่าวคือ ข้าวจากที่เคยเป็นสินค้าที่ผู้ซื้อต้องง้อผู้ขาย (Seller’s Market) (เนื่องจากประเทศต่าง ๆ ที่เคยเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ยังไม่อาจเพิ่มการผลิตได้พอแก่ความต้องการของโลกได้ทันท่วงที นอกจากนั้น บางประเทศ เช่น พม่าและอินโดจีน ต้องประสบกับความยุ่งยากทางการเมืองต่อมาอีกหลายปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง) กลับเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะมีประเทศที่ขายข้าวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้ข้าวไทยเสียตลาดและส่งออกได้น้อยลงเป็นอันมาก และเป็นผลให้ราคาข้าวภายในประเทศตกต่ำอย่างที่สุด พ่อค้าข้าวรายเล็กรายน้อยจึงล้มลงเป็นจำนวนมาก ดังปรากฏในข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า
“ข้าพเจ้าออกไปเยี่ยมราษฎรในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็พากันร้องว่าขายข้าวไม่ออกแม้แต่ราคาต่ำ ๆ ก็ไม่มีใครมาซื้อ ขอให้ผู้แทนช่วยเหลือด้วย...ครั้นข้าพเจ้ากลับมาที่กรุงเทพฯ คุยกับเพื่อนพ่อค้าข้าวก็บอกว่าพ่อค้าข้าวเจ๊งไปหลายรายแล้ว เขาพรรณนาถึงชื่อบริษัทที่ล้ม และปิดให้ข้าพเจ้าฟัง…เขาบอกว่าพ่อค้าข้าวและโรงสีปีนี้ขาดทุนย่อยยับ ข้าพเจ้าบอกเขาว่าบริษัทที่ข้าพเจ้าเป็นกรรมการอยู่ 2 แห่งก็ขาดทุนย่อยยับ เวลานี้กำลังจะเอนหลังอยู่เหมือนกัน…ข้าพเจ้าฟังดูตามเพื่อนพ่อค้าที่รู้จักแถวราชวงศ์, ทรงวาด ก็ได้รับตอบว่าปีนี้เซ็งลี้ไม่ฮ่อ พ่อค้าก็ล้มไปสองสามราย…”
ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่และสังคมต้องการคำตอบอย่างมาก แม้รัฐบาลจะพยายามไขข้อข้องใจโดยมีข่าวว่าจะให้ยกเลิกโรงสีเล็ก เนื่องจากเป็นโรงสีที่สีข้าวได้คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน ทำให้เกิดเมล็ดข้าวหักปลอมปน จึงส่งผลร้ายต่อการแข่งขันในตลาดต่างประเทศและทำให้ข้าวไทยเสียตลาด แต่ว่าสังคมหาได้ยอมรับในคำอธิบายนี้ไม่
หนังสือพิมพ์ต่าง ๆ จึงเริ่มขุดคุ้ยค้นหาสาเหตุที่ทำให้ไทยสูญเสียตลาดข้าวในต่างประเทศไป และโดยส่วนใหญ่ก็จะโจมตีนโยบายผูกขาด การค้าข้าว ระบบราชการ ที่ทุจริตติดสินบน และบริษัทอภิสิทธิ์ ว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตลาดข้าวในต่างประเทศเสียไป จนทำให้ราคาข้าวภายในประเทศตกต่ำลง ดังปรากฏในหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ฉบับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2497 ความว่า
“ขณะนี้ราคาข้าวตามหัวเมืองตกต่ำจริงและเหตุที่ตกต่ำนั้นมิใช่พ่อค้ากดราคาข้าวเองหวังผลกำไร..เพราะรัฐบาลได้ทำให้ตลาดข้าวในต่างประเทศเสียไป…เพราะกระทรวงเศรษฐการควบคุมการค้าข้าวและดำเนินนโยบายผิด…คือเราไม่ยอมให้ข้าวออกนอกประเทศ เพื่อให้การขายใบอนุญาตมีราคาและเพื่อให้การขนส่งลงเรือใหญ่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เพื่อให้คนบางคนได้เป็นผู้ขนส่งโดยเฉพาะ เมื่อการซื้อข้าวจากประเทศไทยเป็นไปโดยยากลำบาก…พ่อค้าที่เคยซื้อก็เลิกซื้อด้วยวิธีการเช่นนี้ได้มีหนังสือพิมพ์เคยคาดโฉมหน้าไว้แล้วว่าเป็นการกระทำชนิดฆ่าช้างเพื่อเอางา คือฆ่าชาวนาทั้งประเทศ…”

ในช่วง พ.ศ. 2497 การเรียกร้องให้ยกเลิกการผูกขาดและควบคุมการค้าข้าว เริ่มดังขึ้นมาเรื่อย ๆ ทั้งจาก พ่อค้า นักหนังสือพิมพ์ รวมทั้งคนที่ทำงานในรัฐบาลเอง โดยเฉพาะเสียงจากกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ดังเช่น ป๋วย อึ้งภากรณ์ ก็ได้เสนอให้ยกเลิกอำนาจการผูกขาดของสำนักงานข้าวในปี พ.ศ. 2498 เพราะเห็นว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นในหมู่เจ้าหน้าที่และรัฐมนตรี เช่น การให้ใบอนุญาตแก่พวกพ้องเพื่อนำไปขายต่อให้พ่อค้า เป็นต้น
ปัญหาเรื่องข้าวนี้กลายเป็นปัญหาที่รัฐบาลแก้ไม่ตก แม้ว่าจะมีการปรับนโยบายเพื่อผ่อนคลายการผูกขาดตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2497 โดยแบ่งข้าวส่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ข้าวที่ส่งขายระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล ข้าวชดเชยที่รัฐบาลอนุญาตให้พ่อค้าส่งออกได้ แต่ต้องนำข้าวมาขายให้สำนักงานข้าว 5 ตัน จึงจะมีสิทธิส่งข้าวออก 1 ตัน และข้าวที่สำนักงานข้าวอนุญาตให้พ่อค้าส่งออกต่างประเทศตามวิถีทางการค้าโดยมีคณะกรรมการของสำนักงานข้าวเป็นผู้พิจารณาอนุญาต
แต่มาตรการดังกล่าวก็ไม่สามารถแก้ปัญหาการทุจริตในวงราชการและการแทรกแซงจากนักการเมืองได้ จนในที่สุดรัฐบาลก็ประกาศยกเลิกการผูกขาดค้าข้าว เพื่อเปิดโอกาสให้พ่อค้าส่งออกขายต่างประเทศโดยไม่ต้องผ่านสำนักงานข้าว เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2498
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลจะเลิกการผูกขาดไปแล้ว แต่รัฐบาลก็ยังใช้มาตรการควบคุมการค้าข้าวต่างระเทศ โดยใช้วิธีเก็บค่าพรีเมี่ยมข้าว เป็นวิธีการที่รัฐบาลควบคุมราคาข้าวในประเทศไม่ให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และเพื่อรักษาระดับราคาข้าวในประเทศให้ทรงตัวไม่ผันแปรไปตามตลาดโลกมากนัก
และทันทีที่รัฐบาลยกเลิกการผูกขาด การค้าข้าวของประเทศไทยก็ดีขึ้นโดยฉับพลัน พ่อค้าเอกชนและนักหนังสือพิมพ์ให้ความสนับสนุนนโยบายดังกล่าวเป็นอย่างมาก เนื่องจากเห็นว่ารัฐบาลแก้ปัญหาได้ถูกจุด ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็เพราะการค้าผูกขาดโดยบริษัทอภิสิทธิ์ต่าง ๆ และการทุจริตคอร์รัปชั่นในแวดวงของข้าราชการเอง การเปิดให้เอกชนได้ค้าขายแข่งขันโดยเสรีจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ในรายงานของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้แสดงให้เห็นถึงปัญหาและทางออกของการค้าข้าวในช่วงนี้ไว้ได้ค่อนข้างชัดเจน ดังความว่า
“…เมื่อวันที่ 2 เดือนนี้มีรายงานข่าวจากกระทรวงเศรษฐการว่าตลอดเดือนมกราคมศกนี้ กระทรวงเศรษฐการได้ออกใบอนุญาตข้าวที่จะส่งออกจำหน่ายยังต่างประเทศ เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 78,837.05 ตัน ได้ส่งออกไปแล้วทั้งสิ้น 53,584.5 ตัน…การที่เราสามารถขายข้าวได้ในเดือนแรกของช่วงปีใหม่เป็นจำนวนมากเกินความคาดหมายนี้ กล่าวกันว่าเป็นผลเนื่องมาจากการที่รัฐบาลได้แก้ไขระเบียบการค้าข้าวใหม่และได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 31 เดือนธันวาคมศกก่อน แม้ว่าในระเบียบที่แก้ไขใหม่นั้นจะยังมีอีกหลายอย่างที่พ่อค้ามีภาระผูกพันจะต้องปฏิบัติต่อรัฐบาลก็ยังก่อผลดีให้เห็นได้อย่างประจักษ์ชัด ซึ่งถ้าหากระเบียบนั้นได้ถูกแก้ไขเปิดโอกาสให้พ่อค้าได้รับความสะดวกมากขึ้น บางทีเราอาจขายข้าวได้มากกว่านี้อีก และเมื่อนั้นปัญหาที่ว่าข้าวไทยไม่มีตลาดข้าวไทยขายไม่ได้ ก็จะหมดไป…
อุปสรรคเกี่ยวกับการค้าข้าวที่พ่อค้าทั่วไปพากันท้อแท้ มิใช่อยู่ที่การหาตลาด มิใช่อยู่ที่ต้องพรีเมี่ยมให้รัฐบาล หากแต่อยู่ที่ระเบียบแบบแผนและวิธีการต่าง ๆ ที่รัฐบาลตั้งไว้เป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลบางพวกที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเรียกค่าน้ำร้อนน้ำชา อันเป็นการเพิ่มรายจ่ายให้แก่พวกพ่อค้าโดยมิเป็นธรรม ซึ่งรายจ่ายเหล่านั้นเป็นความจำเป็นที่จะต้องบวกเข้าไปในราคาข้าวด้วย ทำให้ข้าวที่ส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศยังคงมีราคาอยู่ในเกณฑ์แพง แม้ได้พยายามลดแล้วก็ยังแพงอยู่เมื่อเทียบกับต่างประเทศ
เราเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลควรจะได้เลิกระเบียบและวิธีการอันก่อให้เกิดประโยชน์แก่บุคคลเพียงบางคนอันเป็นประโยชน์ส่วนน้อย เพราะถึงอย่างไรก็มีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่สามารถสละอาชีพการทำนาได้ สิ่งที่ไม่ควรลืมก็คือความสุขอันไพบูลย์ของประชาชน เกิดขึ้นได้ด้วยการหาทางให้ทุกคนสละผลประโยชน์ตัวเสียบ้างเท่านั้น”
อ่านเพิ่มเติม :
- กำเนิด “คนชั้นกลางในเมือง” ผลพวงจากเศรษฐกิจบูม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
- ชีวิตคนไทยช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2 ใช้ถ่านหุงข้าวให้รถวิ่งแทนน้ำมัน-โจรอาละวาดหนัก
- วิกฤต “ข้าวแพง” สมัย ร.6 รัฐบาลแก้ปัญหาข้าราชการฝรั่งขอขึ้นเงินเดือนอย่างไร?
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทความ “การก่อตัวของ ‘คนชั้นกลาง’ กับการเสื่อมสลายของรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม และ ‘ทุนนิยมโดยรัฐ'” เขียนโดย ณัฏฐพงษ์ สกุลเลี่ยว ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับธันวาคม 2551 โดย กอง บก. ได้เติมหัวข้อย่อยเพื่อความสะดวกในการอ่าน
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 31 มีนาคม 2565