มูลเหตุเปลี่ยนธงชาติไทย กับการห้อยผ้าแดงเมืองอุทัยธานี-ธงช้างที่สะเทือนพระราชหฤทัย

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ใต้พระกลดซ้ายมือของภาพ) และผู้ตามเสด็จกำลังจะเดินไปตามถนนในตัวเมืองสงขลา พ.ศ. ๒๔๔๘ ให้สังเกตรูปช้างที่แขวนระโยงระยาง แม้จะไม่ใช่ช้างนอนหงายแบบที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นในรัชสมัยของพระองค์ แต่ก็เห็นได้ว่ามีทั้งช้างอ้วนเตี้ยและสูงชะลูด มีทั้งงวงตกและงวงชี้ฟ้า เป็นธงที่ชาวบ้านทำกันขึ้นเอง รวมถึงธงที่ทำจากผ้าแดงผ้าขาว (ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

“—การห้อยผ้าแดงผ้าขาวนี้ดูออกจะคล้ายกับว่าเมืองอุทัยธานีของเราเต็มไปด้วยประเพณีชาวจีนไปเสียแล้ว—” 

เป็นพระราชปรารภในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองอุทัยธานี พ.. 2459 ครั้งนั้นราษฎรแสดงความจงรักภักดีและปลื้มปีติในการเสด็จฯ ด้วยการพยายามจะหาธงทิวซึ่งขณะนั้นเป็นธงรูปช้างเผือกอยู่ตรงกลางธงมาประดับประดาเพื่อรับเสด็จ แต่ด้วยความที่ธงชาติมีราคาแพงและหาได้ยาก จึงได้นำผ้าทอสีแดงขาวมาห้อยหรือจีบเป็นรูปสวยงามประดับอยู่ตามทางเสด็จฯ ผ่าน

พระราชปรารภนี้เป็นส่วนหนึ่งประกอบกับเหตุการณ์ที่ทำให้ทรงสะเทือนพระราชหฤทัยเป็นอย่างมากระหว่างเสด็จประพาส ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะธงชาติไทยครั้งสำคัญ

ธงช้างในภาพนี้เป็นธงช้างของหลวงจึงมีรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน (ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จมื่นอมรดรุณารักษ์ได้เขียนเล่าไว้ในฐานะที่เป็นข้าราชบริพารคนหนึ่งที่มีโอกาสตามเสด็จไปเมืองอุทัยธานี ครั้งนั้นเป็นฤดูน้ำหลาก ปรากฏข่าวลือว่าทางเมืองเหนือมีน้ำมากกว่าปกติและยังถูกฝนกระหน่ำซ้ำเติมทำให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อนทั้งพืชผลเสียหาย จึงมีพระราชประสงค์จะเสด็จฯ ไปทรงตรวจตราข้อเท็จจริง ได้เสด็จฯ ไปตามลำน้ำเจ้าพระยาด้วยขบวนเรือยนต์พระที่นั่ง

ครั้นผ่านลำน้ำสะแกกรังเมืองอุทัยธานีซึ่งเป็นเมืองที่ไม่ใคร่จะมีผู้ใดเข้าไปถึง เพราะลำน้ำสะแกกรังมักตื้นเขินในยามแล้ง เรือเดินไม่สะดวก ทรงเห็นเป็นโอกาสจะเสด็จฯ ผ่านลำน้ำนี้เข้าไปเยี่ยมราษฎรเมืองอุทัยธานีได้ เมืองอุทัยธานีครั้งนั้นเป็นคล้ายเมืองปิด ดังนั้นเมื่อชาวเมืองรู้ข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จเข้ามาเยี่ยมจึงเกิดความตื่นเต้นและตื่นตัว จมื่นอมรดรุณารักษ์ได้เล่าถึงบรรยากาศเมื่อเสด็จฯ ถึงเมืองอุทัยธานีว่า 

“—รอบบริเวณนั้นเล่า แออัดแจจันอยู่ด้วยมวลราษฎรซึ่งล้นหลามมาคอยเฝ้ารับเสด็จจนตำรวจภูธรที่ฝ่ายบ้านเมืองจัดประจำเป็นระยะห่างๆ ไว้สองข้างทางแทบจะห้ามกันไว้ไม่ไหว เสียงบอกกล่าวเล่าสิบก็เซ็งแซ่อยู่มิขาด บรรดาชาวชนบททั้งใกล้และไกลที่มาชุมนุม ณ ที่นี้ล้วนแต่งตัวสีฉูดฉาดอย่างที่เขาคิดว่างดงามหรูหราเป็นประวัติการณ์ ขบวนเสด็จผ่านไปถึงที่ใดก็พากันก้มกราบลงกับพื้นและแซ่ซร้องสาธุการด้วยความชื่นชมพระบารมี—“ 

แต่สิ่งที่ทรงสังเกตเห็นและสะดุดพระทัยมาโดยตลอดระยะทางเสด็จพระราชดำเนิน ก็คือการใช้ผ้าทอสีแดงขาวห้อยแทนธงชาติสำหรับเสด็จฯ ไปทั่วทุกหนทุกแห่งจนถึงกับมีพระราชปรารภว่า “—การห้อยผ้าแดงผ้าขาวนี้ดูออกจะคล้ายกับว่าเมืองอุทัยธานีของเราเต็มไปด้วยประเพณีชาวจีนไปเสียแล้ว—“ แม้จะขัดต่อพระราชนิยมสักเพียงใด แต่ก็ทรงเข้าพระทัยในเจตนาอันดีและทรงซาบซึ้งถึงจิตใจที่เจริญด้วยวัฒนธรรมแห่งศิลปะความงามของเหล่าพสกนิกรที่พยายามสรรค์สร้างขึ้น แม้สภาพความเป็นอยู่จะล้าหลังเต็มไปด้วยความยากลำบาก

พระอาการที่เสด็จฯ ผ่านผืนผ้าสีขาวแดงซึ่งประดับตกแต่งจีบห้อยในลักษณะต่างๆ ที่ประชาชนมองเห็นก็คือ พระอาการชื่นชมต่อการต้อนรับนั้นๆ จนกระทั่งเสด็จฯ ผ่านบ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านหลังคามุงจากขนาดเล็ก บ่งบอกถึงฐานะที่ยากจนแต่สิ่งที่พระองค์และทุกคนในขบวนเสด็จเห็นสดุดตาสะดุดใจก็คือ บนยอดหน้าจั่วหลังคามีธงช้างขนาดเล็กติดไว้เด่นชัด ส่วนเจ้าของบ้านและครอบครัวก็พากันมาหมอบเฝ้าด้วยสีหน้าปีติยินดีอยู่หน้าบ้าน จมื่นอมรดรุณารักษ์ได้บรรยายถึงธงช้างนั้นไว้ว่า 

“—จะเป็นด้วยความรีบร้อนจนหมดโอกาสพิจารณาหรือสะเพร่าไม่ทันสังเกตหรือโง่เขลาเบาปัญญาอย่างไม่น่าจะเป็นได้อะไรสักอย่างหนึ่งก็ตาม ธงชาติรูปช้างผืนนั้นปลิวสบัดอยู่ในลักษณะช้างนอนหงาย เอาสี่เท้าชี้ฟ้าอยู่ โดยเจ้าของบ้านจะแสดงกิริยาแปลกประหลาดหรือรู้ตัวแต่สักนิดก็หาไม่—” 

บรรยากาศขณะนั้นจึงอยู่ในภาวะที่อึดอัด เพราะเมื่อทอดพระเนตรเห็นธงช้างในลักษณะนั้นพร้อมๆ กับข้าราชบริพารคนอื่นอีกแล้ว จมื่นอมรดรุณารักษ์บรรยายถึงบรรยากาศตอนนี้ไว้ว่า 

“—ฉับพลันพระเนตรก็แปรไปเมินมองทางอื่นเสมือนมิได้มีสิ่งใดเป็นที่พึงสังเกตผิดปกติขึ้น แต่ทว่าสีพระพักตร์นั้นสิ ผู้เขียนขอย้ำว่าได้สกิดความรู้สึกในใจขึ้นในบัดดลจริงๆ ว่าดูประหนึ่งจะทรงมีความสะเทือนพระราชหฤทัยไปในทางสลดสังเวชมากกว่าทรงพระพิโรธ หรือไม่พอพระทัยอย่างใดอย่างหนึ่ง—“

บรรยากาศเริ่มคลี่คลายลง เมื่อขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านบ้านหลังนั้นมาแล้ว พระพักตร์กลับทรงยิ้มแย้มทอดพระเนตรราษฎรและภูมิประเทศด้วยพระอาการเหมือนดังกำลังสำราญพระราชหฤทัย

หลังจากเสด็จฯ กลับจากเมืองอุทัยธานีแล้วทุกคนก็ได้ประจักษ์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครุ่นคิดถึงเรื่องราวและภาพที่ทรงผ่านพบอยู่ตลอดเวลา เพราะทรงปรึกษากับเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ในพระราชสำนักถึงการที่จะแก้ไขธงไทยเสียใหม่ โดยทรงใช้หลักการสำคัญคือ คำนึงถึงเศรษฐกิจของราษฎรเป็นข้อแรก เพราะทรงตระหนักพระทัยว่า ธงช้างนั้นเป็นภาพพิมพ์ที่ต้องส่งมาจากต่างประเทศจึงมีราคาแพงราษฎรไม่สามารถจะซื้อหามาไว้ใช้ประจำบ้านได้ ข้อต่อไปคือต้องมีความหมายและความสง่างาม เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจรวมใจผู้คนให้ยึดมั่นร่วมกัน

ครั้งแรกทรงทดลองใช้ผ้าชิ้นสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดงขาวเพลาะสลับกันเป็น 5 ริ้ว วิธีทำก็ง่ายวิธีใช้ก็ง่าย เพราะจะใช้ด้านไหนก็ได้ไม่ต้องกลัวจะติดผิดทางเหมือนธงช้าง ทรงใช้ธงแดงขาว 5 ริ้วนี้ชักขึ้นที่สนามเสือป่าเป็นครั้งแรก แต่เมื่อทางพิจารณาดูแล้วไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัย เพราะดูจืดชืดไม่งดงามจับตา จึงทรงคิดที่จะหาวิธีที่จะตกแต่งให้งดงามและได้ลักษณะสมพระราชประสงค์

ทรงรำลึกถึงสีน้ำเงินอันเป็นสีแห่งวันพระราชสมภพ ซึ่งทรงยึดถือเป็นสีประจำพระองค์อยู่แล้ว ทรงจัดวางรูปริ้วผ้าใหม่โดยนำริ้วสีน้ำเงินที่ใหญ่เป็น 2 เท่าของสีขาวและสีแดงไว้ตรงกลางขนาบด้วยสีขาวทั้งล่างและบน มีสีแดงอยู่ริม 2 ข้าง

และพระราชทานความหมายไว้ว่า สีแดงหมายถึงชาติซึ่งคนไทยทุกคนต้องรักษาไว้โดยแม้จะต้องสละเลือดและชีวิต สีขาวคือศาสนาซึ่งบริสุทธิ์ดุจสีขาว ส่วนสีน้ำเงินหมายถึงองค์พระมหากษัตริย์ หลังจากนั้นโปรดให้ทดลองนำขึ้นสู่เสา ดูสง่างาม และมีความหมายแสดงสัญลักษณ์ของชาติไว้อย่างครบถ้วนตามพระราชประสงค์ เป็นที่พอพระราชหฤทัย พระราชทานนามว่า ธงไตรรงค์ ประกาศเป็นธงประจำชาติไทยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.. 2460

อาจกล่าวได้ว่า พระราชปรารภเรื่องการห้อยผ้าแดงของชาวเมืองอุทัยธานีในครั้งนั้นเป็นส่วนหนึ่งของมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงธงประจำชาติไทยจากธงช้างมาเป็นธงไตรรงค์

คลิกอ่านเพิ่มเติม : แนวคิดในการเปลี่ยนแปลงเป็นธงไตรรงค์ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบันทึกไว้ในจดหมายเหตุรายวัน


เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรก เมื่อ 12 เมษายน พ.ศ. 2560