พ่อค้าจีน-ชาวจีนในทัศนะสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ แง่มุม “ความอันตราย-ความเป็นอื่น”?

หมายเหตุบรรณาธิการ

ข้อเขียน พ่อค้าและชาวจีนในทัศนะของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่องนี้คัดและตัดทอนมาจากงานวิจัยเรื่องสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ การสร้างอัตลักษณ์ “เมืองไทย” และ “ชั้น” ของชาวสยาม โดยอาจารย์สายชล สัตยานุรักษ์ แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)

งานวิจัยทั้งหมด จัดพิมพ์ในรูปเล่มศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ เสร็จแล้ว

สุจิตต์ วงษ์เทศ


พ่อค้าและชาวจีน

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงส่งเสริมการค้าอย่างเต็มที่เนื่องจากรัฐบาลต้องการรายได้จากภาษีอากร ประกอบกับทรงเป็นนักคิดและนักปกครองที่ทรงยึดหลักการประสานประโยชน์ ทำให้ทรงเลือกที่จะเน้นแง่ดีของพ่อค้า ทั้งเพื่อให้ข้าราชการรับรู้ ซึ่งจะทำให้ข้าราชการพยายามแสวงหาความร่วมมือจากชาวจีนเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง และเพื่อให้ชาวจีนไม่รู้สึกว่าตนได้รับความเกลียดชังหรือความเหยียดหยามจากผู้ปกครองรัฐไทย จะได้ทำมาหากินหรือประกอบธุรกิจที่ทำรายได้ให้แก่รัฐบาล ช่วยคิดและดำเนินการด้านสุขาภิบาลในหัวเมือง เพื่อทำให้หัวเมืองมีสาธารณูปโภคที่จำเป็น ซึ่งนอกจากจะแสดงถึงความมีอารยธรรมของเมืองไทยแล้ว ยังเป็นประโยชน์โดยตรงต่อการทำมาหากินของราษฎรและทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มด้วย

ใน พ.ศ. ๒๔๔๕ เมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จตรวจราชการเมืองชลบุรีและฉะเชิงเทรา ทรงพระนิพนธ์ จดหมายเหตุรายวันเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ให้ข้าราชการในสมัยนั้นได้อ่าน ทรงพระนิพนธ์ตอนหนึ่งว่า

…การโยธาต่างๆ ที่ได้กล่าวมานี้ จะทำได้โดยไม่ต้องเปลืองทุนรอนกี่มากน้อย ถึงบางอย่างจะต้องลงทุน เช่น ซ่อมตะพานหลวง เปนต้น จะหาเงินในพื้นเมืองช่วยอุดหนุนในเมืองชลบุรีนี้ก็จะหาไม่ยากนัก ด้วยพวกพ่อค้าที่เปนคนบริบูรณ์มีมาก คนพวกนี้มักจะมีใจศรัทธาช่วยทำการที่เปนสาธารณประโยชน์โดยไม่เสียดายทรัพย์…[๑]

ความคิดที่จะให้พ่อค้าช่วยเหลือรัฐบาลในเรื่องสาธารณูปโภคเช่นนี้มิได้เป็นของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเพียงพระองค์เดียว แต่เป็นนโยบายของรัฐในสมัยรัชกาลที่ ๕ เนื่องจากรัฐต้องการนำงบประมาณไปใช้ในเรื่องอื่น จึงหวังเรี่ยรายเงินจากพ่อค้ามาใช้ในเรื่องการจัดสร้างและดูแลการสาธารณูปโภคต่างๆ ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงพระยาเทเวศรวงศ์วิวัฒน์ ความว่า

…ในการประชุมเทศาภิบาลปีนี้ ได้ส่งกรมหมื่นดำรงให้ปรึกษาจัดการศุขาภิบาลหัวเมือง คล้ายลักษณะมิวนิสิเปอล กล่าวคือให้มีการเลือกพ่อค้าเปนที่ปฤกษาแลเก็บเงินค่ารักษาถนนค่าตามไฟ แต่ให้ข้าหลวงผู้ว่าราชการเมืองเปนหัวน่าในที่ประชุม จัดเปนมิวนิสิเปอลหลวง ถ้าหากว่าที่ประชุมเช่นนี้ตั้งขึ้นได้ทุกๆ เมือง เหนว่าจะมีผู้ทำการให้เปนประโยชน์ทั่วไป…[๒]

ในกรณีของพ่อค้าจีน สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงรับรู้ปัญหาการเคลื่อนไหวของชาวจีนที่เชื่อกันว่าเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองเช่นเดียวกับชนชั้นนำทั่วไปในเวลานั้น เช่นใน พ.ศ. ๒๔๕๔ ขณะทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย มีรายงานจากสารวัตรโรงพักจักรวรรดิ์ ลงวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๕๔ มีใจความสำคัญว่า ชาวจีนได้เข้าเป็นสมาชิกเก๊กเหม็งถึง ๑๓,๐๐๐ คน แต่ละคนต้องเสียค่าสมาชิกเพื่อส่งเงินไปบำรุงประเทศจีนคนละ ๒๐๐ บาท ถ้าขัดสนไม่มีเงินอาจเสียน้อยกว่านี้ แต่เบื้องต้นต้องเสียคนละ ๕ บาท เพื่อสมัครเป็นสมาชิก พ่อค้าใหญ่ในกรุงเทพฯ เกือบทั้งหมดสนับสนุนพวกเก๊กเหม็ง และคนจีนในกรุงเทพฯ แปดในสิบเป็นพวกเก๊กเหม็ง เว้นแต่บรรดาลูกจีนเท่านั้น หัวหน้าสำคัญมี ๒ คนคือ ยี่กอฮง และ เซียวฮุดเส็ง[๓]

ในปี พ.ศ. ๒๔๕๔ นี้มีหลักฐานว่าชาวจีนส่งเงินกลับประเทศจีนทั้งทางโพยก๊วน การฝาก และการนำติดตัวกลับไป เป็นเงินทั้งสิ้นปีละ ๑๔,๔๐๐,๐๐๐ เหรียญ คิดเป็นเงินไทย ๑๖,๕๕๑,๗๒๔ บาท ๑๓ สตางค์ จำนวนเงินมากจนรัฐบาลเห็นความจำเป็นที่จะต้องจำกัดเงินที่จะรั่วไหลออกนอกประเทศในอนาคต[๔]

การส่งเงินกลับประเทศของชาวจีนมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ ชาวจีนส่งเงินกลับประเทศประมาณ ๑๖๐ ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ ๒๖.๖ ล้านบาท แนวโน้มการส่งเงินของชาวจีนกลับประเทศมากยิ่งขึ้นเมื่อจีนและญี่ปุ่นเกิดสงครามกัน การส่งเงินกลับประเทศของชาวจีนนี้สร้างความหนักใจให้ทั้งรัฐบาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และรัฐบาลคณะราษฎร เนื่องจากประเทศไทยกำลังอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก เฉพาะในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ปีเดียวปรากฏว่าชาวจีนส่งเงินกลับประเทศถึง ๕๐ ล้านเหรียญ หรือ ๓๗ ล้านบาท (เปรียบเทียบกับงบประมาณของประเทศสยามใน พ.ศ. ๒๔๗๓ งบประมาณในการป้องกันประเทศ งบประมาณสำหรับราชสำนัก และงบประมาณด้านการศึกษา รวมกันเป็นเงินเพียง ๓๒.๐๓ ล้านบาท และใน พ.ศ. ๒๔๗๘ งบประมาณทั้งสามด้านดังกล่าวเป็นเงินเพียง ๓๓.๘๔ ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าจำนวนเงินที่ชาวจีนส่งกลับประเทศหลายล้านบาท)[๕] ทำให้รัฐบาลต้องออกกฎหมายเพื่อควบคุมธนาคารและร้านโพยก๊วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการโอนเงินออกนอกประเทศ[๖]

นอกจากนี้ยังปรากฏว่าในปี พ.ศ. ๒๔๗๐-๒๔๗๑ เป็นปีที่มีชาวจีนอพยพเข้าประเทศสูงสุดด้วย คือมีจำนวนถึง ๑,๕๔๖,๐๐๐ คน[๗] แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะมีพระราชดำริว่า “คนจีนมีประโยชน์ในสยามอย่างมาก” แต่ก็ทรงพระวิตกด้วยปัญหาว่า “ในสมัยก่อนชาวจีนแต่งงานกับสตรีสยามและกลายเป็นพลเมืองสยามที่ดี ทว่านับตั้งแต่การปฏิวัติของคนจีนเป็นต้นมาก็เปลี่ยนแปลงไป ขณะนี้ชาวจีนนำภรรยามาจากเมืองจีนและตั้งใจคงความเป็นจีนไว้…และความคิดใหม่ๆ ในจีนที่แทรกซึมเข้ามาก็เป็นอันตรายที่ซ่อนเร้น”[๘] นอกจากนี้ชนชั้นนำยังรับรู้ว่าชาวจีนเป็นต้นเหตุของปัญหาการลดลงของรายได้รัฐและปัญหาความยากจนของชาวนาในสยาม[๙]

นายเกรแฮม (W. A. Graham) ซึ่งเขียนเรื่อง Siam ตีพิมพ์ใน พ.ศ. ๒๔๖๗ (ซึ่งชนชั้นนำไทยน่าจะได้อ่าน) ได้บรรยายความสัมพันธ์ระหว่างพ่อค้าในเมืองหลวงและพ่อค้าคนกลางในชนบทในธุรกิจข้าว มีความตอนหนึ่งว่า

การเคลื่อนย้ายข้าวจากท้องนามายังโรงสีไม่มีปัญหาเลย เพราะมีกองทัพพ่อค้าคนกลางซื้อข้าวจากชาวนามาขายให้โรงสี ผู้ที่ประกอบอาชีพนี้จะทำงานหนัก รอบคอบ และหลักแหลมในเชิงธุรกิจ ดังนั้นข้าวจึงอยู่ในมือของชาวจีนทั้งหมด ความไม่ระมัดระวังและความยากจนของชาวนา มักบีบบังคับให้ชาวนาต้องขายผลิตผลทันทีหลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ตลาดจึงอยู่ในมือพ่อค้าคนกลาง ซึ่งจะกำหนดราคาที่จะซื้อในราคาที่จะทำให้พ่อค้าคนกลางได้กำไรอย่างมาก และเมื่อเข้ามาถึงกรุงเทพฯ พ่อค้าคนกลางก็จะทำให้ราคาข้าวสูงขึ้น

พ่อค้าคนกลางเหล่านี้จะเสียภาษีการค้าน้อยมาก และโอนรายได้เกือบทั้งหมดกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนในประเทศจีน พฤติกรรมของพ่อค้าคนกลางนี้ทางฝ่ายรัฐบาลไม่ค่อยพอใจนัก เช่นเดียวกับเจ้าของโรงสีก็พยายามรวมตัวกันต่อต้านพ่อค้าข้าวเปลือกเหล่านี้…[๑๐]

ในรัชกาลที่ ๗ พระยาประสิทธิศัลการ ซึ่งเป็นกรรมการคนหนึ่งในคณะกรรมการแก้ไขวิกฤตการณ์ข้าว ได้กล่าวว่าพ่อค้าผู้ซื้อข้าวในชนบทนั้นเป็นจีนร้อยละ ๙๙ พวกนี้มีความรู้ในมาตราวัดชั่งตวงเป็นอย่างยิ่งและมีทุนอย่างเพียงพอ มีความฉลาดและไหวพริบในการเลือกใช้พาหนะเพื่อใช้เป็นประโยชน์แก่การค้าของตน เมื่อรัฐบาลสร้างการรถไฟ พ่อค้ากลุ่มนี้ก็รีบรวบเอาประโยชน์เสียทันที จึงเป็นการได้เปรียบชาวนาอยู่ตอนหนึ่งแล้ว และถ้าเป็นผู้ออกทุนให้ชาวนาด้วยแล้ว การเอารัดเอาเปรียบชาวนาก็ยิ่งทวีขึ้น แต่บุคคลเหล่านี้มีจำนวนมากมาย จึงเป็นการแย่งกันซื้อข้าวอยู่ในตัว ราคาข้าวจึงไม่ตกต่ำเสียทีเดียว พระยาประสิทธิศัลการได้จำแนกพ่อค้าคนกลางผู้ซื้อข้าวเปลือกในชนบทดังนี้

…ผู้ซื้อข้าวเปลือกนั้นแบ่งออกเป็น ๒ จำพวกคือ พ่อค้าจรและพ่อค้าประจำ พ่อค้าประจำเป็นดิกเตเตอร์ในเรื่องราคานั้นอย่างหนึ่ง กับเป็นเจ้าของตลาดนั้นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าพ่อค้าจรผู้ใดบังอาจมาแย่งซื้อข้าวก็ดี หรือมาขึ้นราคาข้าวให้กับชาวนาก็ดี พ่อค้าจรนั้นก็จงระวังตัว ระวังเรือ หรือระวังพาหนะอื่นๆ ให้จงหนัก ไม่ช้าก็จะถูกทำร้าย[๑๑]

๑ พ่อค้าข้าวชาวจีน, ๒ ย่านการค้าบริเวณถนนเจริญกรุง และเวิ้งนาครเขษม ในสมัยรัชกาลที่ ๕, ๓ โรงสีข้าวส่วนใหญ่เป็นของชาวจีน คอยรับซื้อข้าวที่ล่องมาทางเรือ, ๔ ร้านค้าชาวจีนในย่านสำเพ็ง

ใน พ.ศ. ๒๔๗๓ นายเอ. อาร์. มาลคัล์ม (Mr.A. R. Malcolm) ซึ่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทบอร์เนียว (The Borneo Company) กล่าวว่าการเพิ่มขึ้นของโรงสีต่างจังหวัด ทำให้ข้าวเปลือกส่งมาสียังกรุงเทพฯ น้อยลง โรงสีข้าวในกรุงเทพฯ จึงไม่มีข้าวจำนวนมากพอที่จะคัดเกรดให้ได้ข้าวที่ดีพอสำหรับการส่งออก คุณภาพข้าวที่ส่งออกจึงต่ำกว่ามาตรฐานที่ตลาดต่างประเทศต้องการ เขากล่าวย้ำว่าโรงสีในต่างจังหวัดนี้เป็นผู้ดูดซับผลผลิตส่วนใหญ่ แต่เป็นโรงสีขนาดเล็ก เมื่อทำการสีข้าวจะได้ข้าวสารที่มีคุณภาพไม่ดีพอที่จะส่งออก เจ้าของโรงสีในกรุงเทพฯ ไม่ร่ำรวย และไม่มีอำนาจในระบบการค้าข้าวเหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว จึงไม่มีเงินทุนพอที่จะปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อให้สีข้าวได้ดีตามมาตรฐาน ในอดีตเจ้าของโรงสีในกรุงเทพฯ สามารถซื้อข้าวจากชนบทได้โดยตรงและในบางครั้งยังให้ชาวนากู้ยืมอีกด้วย แต่ในปัจจุบันการซื้อข้าวต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง และพ่อค้าเหล่านี้เป็นผู้เอารัดเอาเปรียบผู้ผลิตคือชาวนาอย่างมาก เพราะเป็นผู้ออกเงินให้ชาวนากู้ยืมไปลงทุน[๑๒]

ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ นายเจ. อี. อิงแลนด์ (Mr.J. E. England) ผู้จัดการฝ่ายข้าวและกระสอบของบริษัทแองโกลสยาม (Anglo Siam Corporation, Ltd.) ได้เสนอรายงานว่าพ่อค้าข้าวเปลือกชาวจีนหรือที่เรียกว่าพ่อค้าคนกลาง เป็นเสมือนหนามที่ทิ่มอยู่ในเนื้อของทั้งชาวนาและเจ้าของโรงสี คนกลางเหล่านี้เป็นเสมือนนายหน้าของโรงสีที่จะควบคุมราคาข้าวเปลือก และเป็นผู้สร้างความเสียหายให้กับชาวนาที่ไม่รู้ว่าราคาข้าวเปลือกของตนเองที่แท้จริงราคาเท่าไหร่ และโรงสีก็ได้รับความเสียหายจากการบังคับให้ซื้อ ข้อเสนอแนะของนายเจ. อี. อิงแลนด์ ก็คือต้องกำจัดพ่อค้าคนกลางชาวจีนเหล่านี้ออกไป เขากล่าวไว้ในรายงานต่อรัฐบาลด้วยว่า ในอดีตเจ้าของโรงสีเคยให้ชาวนากู้ยืมเงินด้วยดอกเบี้ยที่แพงโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการปลูกข้าวพันธุ์ดี ทำให้โรงสีมีข้าวที่ดีสำหรับส่งออกได้ แต่ต่อมานายทุนเงินกู้ได้เกิดขึ้นมากมายในชนบท ทำให้ชาวนามีหนี้สินกับนายทุนเหล่านี้มาก ซึ่งรัฐบาลได้ใช้วิธีสหกรณ์เข้าไปแก้ไขแต่ก็ไม่ได้ผล[๑๓]

ในความเป็นจริง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงแบ่งแยกคนจีนออกจากคนไทย ในกรณีที่บริษัทของชาวจีนประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ พระองค์มีพระดำริว่ารัฐบาลไม่ควรช่วยเหลือ ดังกรณีบริษัทมินแซ ซึ่งประสบปัญหาทางการเงิน เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทไม้ขีดไฟของสวีเดนได้ หนังสือพิมพ์ บางกอกการเมือง ฉบับวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๒ แสดงความเห็นว่ารัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทนี้ โดยยกความเป็นคนในบังคับของสยามและการมีสัญชาติไทยของกรรมการบริษัท ตลอดจนผลดีที่จะตกแก่พลเมืองไทยและเมืองไทยมาเป็นเหตุผล

บริษัทนี้แม้จะได้ให้ชื่อยี่ห้อเป็นภาษาจีน และคณะกรรมการส่วนมากเป็นคนจีน แต่ก็เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นในเมืองไทย คณะกรรมการล้วนแต่เป็นบุคคลในบังคับสยาม ทั้งผู้ถือหุ้นส่วนของบริษัทก็เป็นผู้มีสัญชาติไทยมากกว่าครึ่งจำนวน ยิ่งไปกว่านั้น โรงงานของบริษัทนี้เป็นแอ่งกลางสำหรับพลเมืองไทยได้มีช่องทางทำมาหากินและหาลำไพ่ แม้เพียงเพิ่งเริ่มงานก็ยังได้ใช้กรรมกรถึง ๔,๐๐๐ คนเศษ กับสินค้าของบริษัทคือไม้ขีดไฟยังได้ออกจำหน่ายในเมืองไทย ถ้าจะนิ่งดูดายเสียปล่อยให้แข่งกับสินค้าของต่างประเทศโดยลำพัง ก็น่าจะต้องประสบความลำบากถึงเลิกล้ม… จึงถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลเราจะช่วยเหลือค้ำจุน และนอกจากจะเพิ่มภาษีขาเข้าขึ้นอีกแล้ว ก็น่าพิจารณาในปัญหาที่ว่า จะควรออกเงินสับไซดี้ช่วย โดยมีข้อไขและกำหนดปีด้วยหรือไม่…[๑๔]

แต่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าบริษัทมินแซนี้จะนับว่าเป็นอุตสาหกรรมแห่งชาติ (national industry) ไม่ได้ เพราะพวกกรรมการเป็นชาติจีน ทุนก็เป็นของพวกจีน คนทำงานก็เป็นพวกจีนโดยมาก ดังนั้นจึงไม่เป็นการสมควรที่พระคลังข้างที่จะให้ความช่วยเหลือด้วยการซื้อหุ้นของบริษัทนี้[๑๕]

นอกจากนี้รัฐบาลยังประสบปัญหาจากการที่ชาวจีนจำนวนมากสมัครเข้าเป็นคนในบังคับของชาติตะวันตก ซึ่งทำให้ได้สิทธิสภาพนอกอาณาเขต เมื่อมีการทำผิดกฎหมายเกิดขึ้นไม่ว่าในเรื่องใด รัฐบาลก็จะต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความขัดแย้งกับมหาอำนาจตะวันตกจนลุกลามไปสู่การยึดเมืองไทยเป็นอาณานิคม แม้แต่การเก็บภาษีโรงร้านจากชาวจีน รัฐบาลก็ประสบปัญหาว่าชาวจีนที่เป็นคนในบังคับชาติตะวันตกมักหาทางเลี่ยงภาษี[๑๖]

อย่างไรก็ตาม ตลอดสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพมิได้ทรงเห็นด้วยกับการสร้างภาพคนจีนให้เป็น “คนอื่น” ที่เป็นอันตรายต่อบ้านเมือง โดยเฉพาะในระดับที่ทำให้จีนเป็น “ยิวแห่งบูรพาทิศ” ดังที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสนอไว้ ตรงกันข้าม ทรงสร้างอัตลักษณ์จีนโดยเน้นความสามิภักดิ์ต่อราชการและเน้นเฉพาะส่วนดีของชาวจีนตลอดมาตามหลักความฉลาดในการประสานประโยชน์ของพระองค์

ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จตรวจราชการเมืองฉะเชิงเทรา ทรงพระนิพนธ์จดหมายเหตุรายวันเพื่อพิมพ์เผยแพร่ มีความตอนหนึ่งว่า

…พวกกรมการจีนและจีนผู้ดีในเมืองฉะเชิงเทรา ได้ออกเงินช่วยราชการรวมเปนเงิน ๗๐ ชั่ง ได้สร้างที่ว่าการเมืองขึ้นไว้ด้วยเงินนั้น ในการผูกปี้คราวนี้แลจีนผู้ดีได้เรี่ยรายกัน จะขอทำที่ว่าการเมืองถวายอีกหลังหนึ่ง เรี่ยรายเงิน ๖๕๓๘ บาท เพื่อจะสร้างเรือไปถวายไว้สำหรับใช้ราชการเมืองฉะเชิงเทราลำ ๑ แลข้าราชการกับราษฎรได้เรี่ยรายกันอีกส่วน ๑ เปนเงิน ๗๐๐ บาท เพื่อจะแต่งถนนในระหว่างเมืองฉะเชิงเทรากับบ้านใหม่ให้เรียบร้อย ที่เมืองฉะเชิงเทรานี้กรมการจีนแลพ่อค้าจีนมีความสามิภักดิ์ต่อราชการมาก...[๑๗]

การเรี่ยไรเงินจากชาวจีนเพื่อใช้ในกิจการที่รัฐไม่มีงบประมาณเป็นวิธีที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงใช้อยู่เสมอ เช่น ในการปรับปรุงวังหน้าเพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ใน พ.ศ. ๒๔๗๐ ทรงเชิญพ่อค้าฝรั่ง แขก และจีน มารับประทานน้ำชาและตรัสกับพ่อค้าเหล่านั้นว่า

…ในหลวงประทานที่วังหน้านี้ให้ฉันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ของชาติ จะไปขอเงินคลังเขาก็คงไม่ให้ ฉันก็แก่ลงทุกที กลัวจะไม่ได้ทำ…แล้วก็นึกถึงพวกท่านว่าท่านอยู่ในเมืองไทยมาช้านาน คงจะยินดีที่จะช่วย ที่จะเห็นความเจริญของเมืองไทย[๑๘]

ซึ่งปรากฏว่าพระองค์ทรงได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ความพยายามที่จะให้ชาวจีนช่วยเหลือในกิจการต่างๆ นี้ ทำให้พระองค์ทรงเน้นการประสานประโยชน์กับชาวจีนอย่างมาก และทรงสร้างอัตลักษณ์จีนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว

ในรัชกาลที่ ๗ เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมโรงเรียนจีน เข้าใจว่าทรงดำเนินพระบรมราโชบายเกี่ยวกับจีนภายใต้การถวายคำแนะนำของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระราชดำรัสของพระองค์สะท้อนความมุ่งหมายที่จะประสานประโยชน์และลบล้างความบาดหมางใจที่เคยรู้สึกต่อกันอันเนื่องจากนโยบายต่อต้านจีนในรัชกาลที่ ๖ ดังนี้

…อันที่จริงไทยกับจีนนั้น ต้องถือว่าเปนชาติที่เป็นพี่น้องกันโดยแท้ นอกจากนี้เลือดไทยกับจีนได้ผะสมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว จนต้องนับว่าแยกไม่ออก ข้าราชการขั้นสูงๆ ที่เคยรับราชการหรือรับราชการอยู่ในเวลานี้ ที่เปนเชื้อจีนก็มีอยู่เปนอันมาก แม้ตัวข้าพเจ้าเองก็มีเลือดจีนปนอยู่ด้วย โดยเหตุเหล่านี้ไทยและจีนจึงได้อยู่ด้วยกันได้อย่างสนิทสนมกลมเกลียวมาช้านาน ข้าพเจ้าไม่มีความประสงค์อะไรยิ่งไปกว่าที่จะขอให้มีความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน ให้เปนไปโดยสนิทสนมเหมือนอย่างที่แล้วมานี้ให้คงอยู่เช่นนี้ตลอดไป ข้าพเจ้าหวังว่าท่านทั้งหลายจะมีความเห็นพ้องกับข้าพเจ้า และจะตั้งใจสั่งสอนบุตรหลานให้มีความรู้สึกเช่นนั้น ในโรงเรียนของท่าน ท่านย่อมสั่งสอนให้นักเรียนรักประเทศจีนอันเปนของธรรมดาและของควร แต่นอกจากที่จะสอนให้รักประเทศจีน ข้าพเจ้ายังหวังว่าท่านจะสอนให้รักเมืองไทยด้วย เพราะท่านทั้งหลายได้มาตั้งเคหสถานอาศัยอยู่ประเทศสยาม ได้รับความคุ้มครองร่มเย็นเปนอย่างดีจากรัฐบาลสยาม มีสิทธิทุกอย่างเหมือนคนไทย ได้รับความสุขสบายมั่งคั่งสมบูรณ์ในประเทศสยาม เพราะฉะนั้นความมั่นคงของรัฐบาลสยามและประเทศสยาม ย่อมเป็นสิ่งที่ท่านพึงประสงค์…[๑๙]

เป็นไปได้อย่างมากว่า พระราชดำรัสนี้ร่างโดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เพราะเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเลียบมณฑลภูเก็ต พ.ศ. ๒๔๗๑-๒๔๗๒ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ทรงเป็นผู้ร่างพระราชดำรัสตอบพ่อค้าจีน ซึ่งมีเนื้อความคล้ายคลึงกัน ดังความต่อไปนี้

จีนกับไทยที่จริงเหมือนกับเปนญาติกัน ด้วยร่วมศาสนาแลมีจารีตประเพณีคล้ายคลึงกัน แม้จนภาษาก็อาจศึกษาให้เข้าใจกันแลกันได้ง่ายกว่าภาษาอื่นโดยมาก หรือถ้าจะว่าอีกอย่างหนึ่งก็เพราะชนชาติไทยกับจีนไม่มีเหตุที่จะรังเกียจกันมาแต่โบราณ จีนที่เข้ามาอยู่ในประเทศสยามจึ่งเข้ากับไทยได้สนิทสนม จนถึงร่วมสมพงษ์มีวงศ์วารเปนไทยอยู่ในประเทศสยามเป็นอันมาก แลที่ไปเป็นจีนอยู่ในประเทศจีนก็มีไม่น้อย ยังอีกประการหนึ่งเปนด้วยจีนที่เข้ามาอยู่ในประเทศสยามมีเจตนาดีต่อประเทศนี้ เปนต้นว่าประพฤติ์ตนตามพระราชกำหนดกฎหมายและเคารพต่อรัฐบาลของบ้านเมือง ทั้งช่วยบำรุงให้เจริญโภคทรัพย์ แลมีความภักดีต่อราชการเนืองนิจ ข้อนี้เปนเหตุให้สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินแต่โบราณทรงยกย่องพวกจีนให้ได้รับประโยชน์เหมือนกับไทยหมดทุกอย่าง เปนประเพณีสืบมาจนปัจจุบันนี้ พวกจีนที่อยู่ในประเทศสยามโดยมาก ยกตัวอย่างดังเช่นพวกท่านทั้งหลายก็ยังรักษาความชอบชิดสนิทสนมกับไทย แลน้ำใจเจตนาดีต่อประเทศสยามอยู่อย่างเดิมมิได้ผันแปร ส่วนตัวเราก็ชอบจีนแลปรารถนาจะรักษาประเพณีอันดีซึ่งมีมาแต่โบราณไว้ให้ถาวรสืบไป[๒๐]

พระราชดำรัสในคราวเสด็จเยี่ยมโรงเรียนจีน เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือที่ระลึกในงานปลงศพนายเซียวซองอ๊วน ศรีบุญเรือง ในปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๗๑ ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์คำนำให้ด้วย ในพระนิพนธ์คำนำนี้ทรงเน้นคุณสมบัติของนายเซียวซองอ๊วน ศรีบุญเรือง เพื่อเป็นอัตลักษณ์ของชาวจีนที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์จะให้คนจีนรับรู้และยึดไว้เป็นอัตลักษณ์ของชาวจีนทั่วไปในเมืองไทย (โดยเฉพาะชาวจีนฐานะดี?) ดังความว่า

…คุณสมบัติของนายซองอ๊วน ศรีบุญเรือง เปนผู้มีอัชฌาศัยซื่อตรงและโอบอ้อมอารี มีมิตรสหายผู้ชอบพอกว้างขวาง นับตั้งแต่เปนผู้ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเมตตากรุณามา แลเจ้านายก็โปรดปรานแทบทุกพระองค์ แม้ในบุคคลชั้นที่เปนข้าราชการ ขุนนาง พ่อค้า ตลอดจนราษฎรที่รู้จักแล้วก็เห็นมีแต่ผู้ชอบ หามีผู้ชังนายซองอ๊วนไม่ ได้ยินแต่คำสรรเสริญกันว่าเปนคนซื่อและโอบเอื้อเผื่อแผ่แก่ผู้อื่นมิได้เลือกหน้า[๒๑]

อัตลักษณ์จีนดังกล่าวข้างต้นจะส่งผลให้ชาวจีนในประเทศสยามเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีอันตรายต่อคนไทยและรัฐไทย ตรงกันข้ามกลับจะเป็นกลุ่มคนที่คอยช่วยเหลือคนอื่นๆ และเป็นกลุ่มคนที่คอยรับความเมตตากรุณาและความโปรดปรานจากชนชั้นนำของไทย

อย่างไรก็ตาม เมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพ้นจากงานราชการหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ทรงเสนอภาพลักษณ์อีกด้านหนึ่งของชาวจีน คือเน้น “อุปนิสัยฉลาดในการหาทรัพย์สินยิ่งกว่าไทย” เข้าใจว่าเป็นเพราะช่วงหลังจากปี พ.ศ. ๒๔๗๕ นี้พระองค์ไม่ทรงอยู่ในฐานะผู้นำของรัฐที่จะต้องหาทางทำให้ชาวจีนรู้สึกว่าตนได้รับความอุปถัมภ์บำรุงจากรัฐบาล ซึ่งไม่จำต้องอาศัยอำนาจฝรั่งหรือเป็นตั้วเหี่ยเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองอีกต่อไป นอกจากนี้การคุกคามของชาติมหาอำนาจตะวันตกในช่วงนี้ก็ไม่รุนแรง และปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตก็เริ่มหมดไปแล้ว นอกจากนี้รัฐไทยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาชาวจีนในทางเศรษฐกิจมากนัก เพราะได้มีการยกเลิกอากรฝิ่น บ่อนเบี้ย และหวยเรียบร้อยแล้ว เมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระวิตกในปัญหาการครอบงำทางเศรษฐกิจของชาวจีน จึงได้ทรงพระนิพนธ์เรื่องต่างๆ เพื่อทรงเสนอภาพชาวจีนที่หาทรัพย์สินโดยใช้อุปนิสัยกดขี่บีบคั้นราษฎรและเอาเปรียบรัฐบาล เช่นใน “ประวัติเจ้าพระยายมราช” มีความตอนหนึ่งว่า

…พระยาฤทธิรงศ์รณเฉท (สุข ชูโต)… ได้เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลปราจีนแต่แรกตั้ง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ ไปสังเกตเห็นก่อนว่าวิธีเก็บภาษีอากรที่รัฐบาลให้มีผู้ประมูลกันเป็นเจ้าภาษีนายอากรไปเก็บเป็นปีๆ นั้นไม่ดี ทั้งได้เงินหลวงน้อยกว่าที่ควรจะได้ และไม่เป็นยุติธรรมแก่ราษฎร เพราะเจ้าภาษีนายอากร (อันเป็นจีนแทบทั้งนั้น) รับประมูลไปเพื่อแสวงหากำไรอย่างเดียว ใครได้อำนาจออกไปก็บีบบังคับเก็บภาษีอากรสุดแต่ให้ได้กำไร แต่ก่อนสิ้นปีมักใช้อุบายบีบคั้นและเก็บเกินพิกัดอัตรา…[๒๒]

แม้ว่าข้อความข้างต้นจะเน้นข้อเสียของระบบเจ้าภาษีนายอากรเป็นสำคัญ แต่ก็เน้น “การแสวงหากำไรอย่างเดียว” ของเจ้าภาษีนายอากร “อันเป็นจีนแทบทั้งนั้น” อยู่ด้วย

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเน้นความเป็นคนอื่น (The Other) ของชาวจีน ด้วยการชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างชาวจีนกับชาวไทย และการที่ชาวจีน “มิได้รู้สึกว่าเป็นชาวเมืองไทย” ไว้ดังนี้

…ประเทศสยามนี้จีนย่อมนิยมกันแต่ไรมาว่าเป็นที่หาทรัพย์ได้ง่าย ทั้งรัฐบาลและชาวเมืองก็ไม่รังเกียจจีน… ก็ธรรมดาชนชาติจีนนั้นย่อมมีอุปนิสัยฉลาดในการหาทรัพย์สินยิ่งกว่าไทย หรือจะว่าฉลาดในการนี้ยิ่งกว่ามนุษย์ชาติอื่นๆ หมดก็ว่าได้ จีนที่เข้ามาอยู่เป็นชาวสยามจึงมักได้เป็นคฤหบดีหรือแม้อย่างต่ำก็สามารถทำมาหากินเป็นอิสระแก่ตนได้โดยมาก พวกจีนที่เข้ามาใหม่ยังไม่รู้เบาะแสแลขนบธรรมเนียมบ้านเมืองก็อาศัยหากินกับพวกจีนเก่า จึงมีจีนทั้งสองอยู่ด้วยกันทุกตำบลที่จีนตั้งทำมาหากิน ทั้งที่ในกรุงและหัวเมือง เป็นเช่นนี้มาแต่โบราณ

…จีนฉลาดในกระบวนแสวงหาทรัพย์สิน รู้จักคิดต้นทุนกำไรดีกว่าไทย…

…จีนที่มายังประเทศนี้ โดยมากเป็นแต่มุ่งหมายมาหากิน มิได้รู้สึกตัวว่าเป็นชาวเมืองไทย ได้เปรียบแก่ตนทางไหนก็ไปทางนั้น อาจจะเกิดนิยมไปแอบอิงอาศัยอำนาจฝรั่ง หรือเข้าเป็นพวกตั้วเหีย เป็นความลำบากแก่รัฐบาลทั้ง ๒ อย่าง ดูเหมือนเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จะได้ลงเนื้อเห็นเป็นยุติว่าควรดำเนินตามทางพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือทำนุบำรุงพวกจีนทั้งปวงอันเป็นหมู่มากให้รู้สึกว่าได้รับความอุปถัมภ์บำรุงของรัฐบาล ไม่จำต้องอาศัยอำนาจฝรั่งหรือเป็นตัวเหีย…[๒๓]

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงแสดงพระวิตกของพระองค์ในเรื่องเกี่ยวกับจีนที่ประสบความสำเร็จในการทำ “ของดีๆ” ขึ้นมากมาย ในขณะที่ไทยมัก “ไม่ทำยั่งยืน” ในลายพระหัตถ์ที่ทรงมีไปถึงสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๔๘๐ เพื่อขอบพระทัยสำหรับดุมเชิ้ตที่ได้โปรดประทานมาให้พระองค์

…ดุมนั้นฝีมือทำเรียบร้อยดีมาก ข้าพระพุทธเจ้าอยากชมว่าในสมัยนี้มีของดีๆ ที่ควรชมเกิดขึ้นหลายอย่าง ว่าฉะเพาะที่ได้เห็นแก่ตา เช่นดุมที่โปรดประทานมาเปนต้น กับเครื่องถมผ้าลายสำหรับนุ่ง ของกินที่ทำใส่ขวดใส่กระป๋อง มีผู้ส่งมาให้ข้าพระพุทธเจ้าก็เปนของคิดใหม่ แลที่นึกวิตกอยู่แต่ ๒ ข้อตามที่ได้สังเกตมาคือ ข้อ ๑ มักเปนของเจ๊กทำ ข้อ ๒ ถ้าเปนของไทยทำมักเลิกเสียไม่ทำยั่งยืน…[๒๔]

จะเห็นได้ว่าในลายพระหัตถ์ส่วนพระองค์นี้ทรงเรียกจีนว่า “เจ๊ก” อันเป็นคำเรียกซึ่งมีนัยยะของการดูถูกอยู่ด้วย เพราะทรงใช้คำนี้ในลายพระหัตถ์ส่วนพระองค์เท่านั้น ไม่ปรากฏว่าทรงใช้ในการสื่อสารกับสาธารณชนแต่อย่างใด และเป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า แม้แต่ปัญญาชนที่เน้นหลักการประสานประโยชน์อย่างสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ยังทรงสร้าง “ความเป็นจีน” ที่เป็น “คนอื่น” เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และหลวงวิจิตรวาทการแล้ว ภาพลักษณ์ชาวจีนที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสร้างขึ้นมีความเป็นผู้ร้ายน้อยกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ ทั้งนี้เพราะมิได้ทรงละทิ้งหลักการประสานประโยชน์แต่อย่างใด

 


เชิงอรรถ

๑. สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, จดหมายเหตุรายวันเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ตรวจราชการเมืองชลบุรี, เมืองฉะเชิงเทรา เดือนมกราคม ร.ศ. ๑๑๙ ใน จดหมายเหตุระยะทางพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เสด็จตรวจราชการหัวเมือง มณฑลกรุงเก่า มณฑลนครไชยศรี มณฑลราชบุรี ในรัตนโกสินทรศก ๑๑๗ หน้า ๗๐

๒. หจช. ร.๕ เรื่อง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงพระยาเทเวศวงษ์วิวัฒน์ ๑๐ สิงหาคม ร.ศ. ๑๑๘.

๓. หจช. ร.๖ น.๔.๗/๒๘ พวกเก๊กเหม็งประชุมแสดงความยินดีเมื่อวันปีใหม่

๔. สุชาดา ตันตสุรฤกษ์, โพยก๊วน : การส่งเงินกลับประเทศโดยชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศไทย (กรุงเทพฯ : สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๒๕๓๒) : ๔๗-๔๘.

๕. James C. Ingram, Economic Change in Thailand Since 1850-1970. p. 192.

๖. Ibid. p. 72-73.

๗. พรรณี บัวเล็ก, ลักษณะนายทุนไทยในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๗-๒๔๘๒ บทเรียนจากความรุ่งโรจน์สู่โศกนาฏกรรม (กรุงเทพฯ : พันธกิจ, ๒๕๔๕) : ๒๐๙.

๘. เบนจามิน เอ. บัทสัน, อวสานสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสยาม, แปลโดย พรรณงาม เง่าธรรมสาร สดใส ขันติวรพงศ์ ศศิธร รัชนี ณ อยุธยา (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์) ภาคผนวก ข.

๙. เรื่องเดียวกัน หน้า ๑๗๓.

๑๐. W. A. Graham, Siam (London : Alexander Marning Limited The Delta Mare, 1924 อ้างใน พรรณี บัวเล็ก, ลักษณะนายทุนไทยในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๗-๒๔๘๒ บทเรียนจากความรุ่งโรจน์สู่โศกนาฏกรรม, หน้า ๑๗๓-๑๗๔.

๑๑. หจช. ร.๗ ค.๗/๑ รายงานสินค้า เข้า-ออก อ้างในพรรณี บัวเล็ก ลักษณะนายทุนไทยในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๗-๒๔๘๒ บทเรียนจากความรุ่งโรจน์สู่โศกนาฏกรรม, หน้า ๑๖๖-๑๖๗.

๑๒. หจช.กส.๑๕.๒/๓๑ สภาเผยแผ่พาณิชย์ ข่าวหนังสือพิมพ์ Daily Mail on 19th Friday December 1930

๑๓. หจช.กค.๐๓๐๑.๑.๓๗/๖๕ Economic Council อ้างใน พรรณี บัวเล็ก ลักษณะนายทุนไทยในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๗-๒๔๘๒ บทเรียนจากความรุ่งโรจน์สู่โศกนาฏกรรม หน้า ๑๗๐.

๑๔. หนังสือพิมพ์บางกอกการเมือง ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๗๒ อ้างใน พรรณี บัวเล็ก ลักษณะนายทุนไทยในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๗-๒๔๘๒ บทเรียนจากความรุ่งโรจน์สู่โศกนาฏกรรม, หน้า ๓๘๕.

๑๕. หจช. ร.๗ รล. ๒๐/๑๑๒๕ ฎีกากรรมการบริษัทมินแซ จำกัด (พ.ศ. ๒๔๗๒-๒๔๗๓)

๑๖. หจช. ร.๕ ม.๒/๑๑ เรื่อง รายงานการประชุมข้าหลวงเทศาภิบาล ๙ กันยายน ร.ศ. ๑๒๐.

๑๗. สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จดหมายเหตุรายวันเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ตรวจราชการเมืองชลบุรี, เมืองฉะเชิงเทรา, เดือนมกราคม ร.ศ. ๑๑๙

๑๘. ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล, ชีวิตและงานของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, หน้า ๔๗.

๑๙. รวมใจความพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมโรงเรียนจีน เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ พิมพ์ในงานปลงศพ นายเซียวซองอ๊วน สีบุญเรือง ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๗๑

๒๐. สบ ๒.๒๘/๒๔ เอกสารส่วนพระองค์ กรมดำรงฯ แผนกมหาดไทย ร่างพระราชดำรัสตอบพ่อค้าจีนคราวพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเลียบมณฑลภูเก็ต พ.ศ. ๒๔๗๑-๒๔๗๒.

๒๑. สบ ๒.๔๗/๑๑๕ เอกสารส่วนพระองค์ กรมดำรงฯ อภิรัฐมนตรี งานปลงศพ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๗๑ เรื่อง คำนำหนังสือแจกงานศพ นายเซียวซองอ๊วน สีบุญเรือง

๒๒. สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประวัติเจ้าพระยายมราช (พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ : คุรุสภา ๒๕๑๘) : ๔๔๓, ๔๔๖, ๔๕๑.

๒๓. สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ “เหตุการณ์ซึ่งต้องระงับเมื่อแรกขึ้นรัชกาลที่ ๕” ใน ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เล่ม ๑ พิมพ์ครั้งที่ ๒ (กรุงเทพฯ : แพร่พิทยา, ๒๕๑๖)

๒๔. หจช. สบ ๒.๕๓/๑๗๕ เอกสารส่วนพระองค์ กรมดำรงฯ สาส์น-พระญาติวงศ์ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี (สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา) พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๐


แก้ไขปรับปรุงเนื้อหาในระบบออนไลน์เมื่อ 29 เมษายน 2562

หมายเหตุ: บทความเดิมในนิตยสารชื่อ พ่อค้าและชาวจีนในทัศนะของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ”