“โจรโพกผ้าเหลือง” กบฏชาวนาที่ทำให้เกิดยุคสามก๊ก

เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย สามก๊ก ปราบ โจรโพกผ้าเหลือง
เล่าปี่ กวนอู เตี่ยวหุย ปราบโจรโพกผ้าเหลือง

“โจรโพกผ้าเหลือง” กบฏชาวนา ที่ทำให้เกิดยุค “สามก๊ก”

ปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ขันทีและพระญาติทางสายมารดาและมเหสีต่างรวบอำนาจไว้ในมือ ขณะที่ประเทศต้องประสบภัยธรรมชาติต่อเนื่อง ตั้งแต่อุทกภัย, ภัยแล้ง และภัยจากตั๊กแตน ที่เกิดขึ้นติดต่อกันหลายปี ทำให้ชาวนาต้องเผชิญความยากจนข้นแค้น และการกดขี่ของขุนนางทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงทั้งหลาย

ตั้งแต่รัชสมัยอานตี้ (ค.ศ. 106-129) มีการก่อความไม่สงบเนื่องมาจากความอดอยากของชาวนา จนถึงกับปราศจากที่ทํากิน ต้องอพยพหนีความอดอยากออกร่อนเร่ จนกระทั่งถึงรัชสมัยของหลิงตี้ (ค.ศ. 184) ประมาณว่าในช่วง 70-80 ปี ชาวนาลุกขึ้นก่อความไม่สงบกว่า 100 ครั้ง จำนวนชาวนาแต่ละครั้งมีตั้งแต่หลักร้อย หลักพัน ไปจนถึงหลักหมื่นคน โดยมีเพลงพื้นเมืองเป็นสิ่งปลุกปลอบจิตใจที่ร้องว่า

[เส้น] ผมเช่นตฤณชาติ ยิ่งตัดขาดยิ่งงอกงาม หัวเช่นไก่ในคาม ยิ่งตัดขาดยิ่งขันดัง ขุนนางใช่น่ากลัว ขุนนางชั่วน่าชิงชัง ไพร่เรารวมพลัง แล้วใครกล้ามาดูแคลน”

ในที่สุดการลุกฮือของชาวนาก็มาถึงขั้นสูงสุด เกิดการรวมตัวผู้คนหลายแสนใน ค.ศ. 184 ที่เรียกกันว่า “โจรโพกผ้าเหลือง”

โจรโพกผ้าเหลือง (กบฏโพกผ้าเหลือง) เป็น “กบฏชาวนา” มี จางเจี่ยว เป็นประมุขผู้เผยแพร่ลัทธิไท่ผิงเต้า (หนทางมหาสันติ) ที่เขาสามารถรวบรวมผู้คนจนขึ้นเป็นเจ้าลัทธิได้ มีน้องชายคือ จางเปา และ จางเหลียง เป็นผู้นำระดับสูง โจรโพกผ้าเหลืองยกย่องบูชา “หวงเหล่า” [หวงตี้-จักรพรรดิเหลือง ปฐมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ชาวจีนยกย่อง, เล่าจื๊อ-ปรมาจารย์ลัทธิเต๋า] มีการใช้เวทย์มนตร์คาถา เชื่อถือไสยศาสตร์เครื่องรางของขลังต่างๆ

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะก่อนหน้านั้นเกิดอุทกภัยและโรคระบาด มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะพื้นที่ซานตงและเหอหนาน จางเจี่ยวใช้ความรู้รักษาโรคภัยให้ชาวบ้านโดยไม่คิดเงินทอง พร้อมกับเผยแพร่ลัทธิของตนไปด้วย จึงได้ลูกศิษย์และสาวกเป็นจำนวนมาก มีผู้คนเลื่อมใสศรัทธามากขึ้นทุกที จนสามารถส่งสาวกออกไปเผยแพร่ลัทธิความเชื่อถือของตนตามเมือง ทั้งในเหอเป่ย, ซานตง, เจียงซู และอานฮุยในปัจจุบัน มีการแบ่งกำลังเป็นกลุ่มย่อยต่างๆ กว่า 30 กลุ่ม มีสมาชิกรวมทั้งสิ้นถึง 360,000 คน

ภายใต้คำขวัญที่ “ฟ้าสีคราม (อำนาจราชวงศ์ฮั่นตะวันออก) สูญสิ้นสลด ฟ้าเหลือง (กองทัพปฏิวัติ) ปรากฏเลื่องลือ ปีนี้ (คริสต์ศักราช 184) ปฐพีจะเจริฐรุ่งเรือง” และกำหนดวันก่อการโค่นอำนาจราชวงศ์ฮั่น วันที่ 5 ของเดือน 3 ใน ค.ศ. 184 แต่แผนการโค่นอำนาจเกิดรั่วไหลก่อนลงมือ

ทว่า จางเจี่ยวก็ไม่ได้ยกเลิกแผนการ สาวกของจางเจี่ยวที่โพกผ้าเหลืองได้ลุกฮือขึ้นด้วยกำลังอาวุธ เข้ายึดเมืองต่างๆ ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำฮวงโห และแม่น้ำฉางเจียง ขณะที่ราชสำนักแต่งตั้งให้ เหอจิ้น พี่ชายของ เหอหวงโฮ่ว มเหสี เป็นแม่ทัพใหญ่ ในระยะเวลาเพียง 9 เดือน (ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤศจิกายน ค.ศ. 184) กำลังทหารฝ่ายรัฐบาลก็ปราบกบฏโพกผ้าเหลืองลงได้ ผู้นำกบฏทั้งสามคนคือ จางเจี่ยว, จางเปาและจางเหลียง 3 พี่น้องต้องเสียชีวิตไปในเวลาอันสั้น จางเจี่ยวป่วยตายในเดือนสิงหาคม ส่วนจางเปากับจางเหลียงตายในการสู้รบ

ทว่า “โจรโพกผ้าเหลือง” ไม่สิ้นซากไปง่ายๆ ยังคงมีการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธยืดเยื้อเรื้อรังอีกต่อไปจนถึง ค.ศ. 192 กบฏชาวนา ในซานตงก็ได้ลุกฮือขึ้นมีจำนวนถึง 300,000 คน ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ในเสฉวนก็ได้มีลัทธินิกายที่มีพิธีกรรมความเชื่อถือคล้ายไท่ผิงเต้า ที่ใช้ช่วงเวลาที่ประชนชนอดอยากยากแค้น ปลุกระดมผู้คนให้จับอาวุธลุกขึ้นสู้กับรัฐบาล ครั้งนี้ใช้ชื่อว่า “ลัทธิข้าวห้าโต่ว” เพราะมีการแจกข้าวสารแก่สาวกคนละห้าโต่ว [มาตราชั่งน้ำหนักสมัยโบราณของจีน] ผู้ก่อตั้งมีชื่อว่า “จางเต้าหลิง”

กบฏชาวนา ที่ระบาดไปในบริเวณภาคเหนือและตะวันออก แม้จะพ่ายแพ้ไปในชั่วเวลาอันสั้น แต่กว่าจะสามารถทำให้ชาวนากลับคืนไปสู่ที่ดินทำกินของตนได้โดยสมบูรณ์ ก็ต้องใช้เวลาถึง 20 ปี ยิ่งกว่านี้ โจรโพกผ้าเหลือง ยังคงมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของชาวนา ตลอดจนผู้คนในชนบททั้งหลายต่อมาอีกหลายศตวรรษ เป็นแบบฉบับการเคลื่อนไหวมวลชน ทั้งสั่นคลอนราชวงศ์ ทำให้อาณาจักรใหญ่ยิ่งต้องแตกแยกออกเป็น “สามก๊ก” อยู่หลายร้อยปี

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่ 


ข้อมูลจาก :

ทวีป วรดิลก. ประวัติศาสตร์จีน, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2577

หลี่เฉวี่ยน-เขียน เขมณัฏฐ์ ทรัพย์เกษมชัย-แปล, ประวัติศาสตร์จีนฉบับย่อ, สำนักพิมพ์มติชน, พิมพ์ครั้งแรก มกราคม 2556

ถาวร สิกขโกศล แปล. แลหลังแดนมังกร เล่ม 3, สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์, พิมพ์ครั้งที่ 2 ตุลาคม 2542


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 4 ตุลาคม 2564