พระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ 6 เกี่ยวกับความจน และคนจนในเมืองไทย

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงฉลองพระองค์อย่างอยู่กับบ้าน ประทับฉายพระบรมฉายาลักษณ์พร้อมด้วย ย่าเหล สุนัขทรงเลี้ยง

บทความนี้คัดเนื้อหามาจาก “ประมวลบทพระราชนิพนธ์ ใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาคปกิณกะ” พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลตรี พระยาอนิรุทธเทวา (ม.ล.ฟื้น พึ่งบุญ) ณ เมรุวัดเทพศิรินทรทราวาส วันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2494 ซึ่งเนื้อหาตอนหนึ่งของพระราชนิพนธ์ กล่าวเรื่องความจนของคนในประเทศไทยไว้ดังนี้ (จัดย่อหน้าใหม่และสั่งเน้นคำโดยกองบรรณาธิการ)


 

ความจนไม่จริง

นี้เป็นความเห็นผิดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าร้ายยิ่งไปกว่าความเห็นผิดที่ได้กล่าวมาแล้วในบทก่อน ด้วยเหตุว่าเมื่อแลดูแต่เผินๆ ก็อาจจะเจอเอาว่าเป็นความจริงได้

ความจนไม่จริง คือความเห็นที่จะได้แสดงต่อไปในบทนี้ เป็นผลของการที่แลดูกิจการทั่วไปอย่างแคบๆ ซึ่งเกิดจากความเห็นแก่ตนอันเกิดจากความ “ศิวิไลซ์” ซึ่งเป็นผลของความสงบศึก การย่อมเป็นดังนี้ทั่วไปไม่ว่าแห่งใด ประเทศไหนที่มีความสงบราบคาบมาช้านาน พลเมืองก็มีเวลาแสวงหาความสำราญและความสนุกสนานล้วนตก จึงได้คิดถึงตัวมากขึ้นจนความคิดความเห็นในกิจการทั่วไปก็ยิ่งแคบเข้าทุกที จนไม่มีอะไรในโลกจะสำคัญเท่าตนเอง

ในข้อนี้ข้าพเจ้าออกจะเห็นด้วยกับชาวเยอรมัน ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า แท้จริงการสงครามเป็นของที่ให้คุณโดยไม่รู้ตัว เพราะเป็นของที่บังคับให้เรานึกถึงสิ่งที่ใหญ่และสำคัญกว่าตัวเราเอง การสงครามทำให้คนตื่นจากความฝันถึงประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งเป็นของยากที่จะแก้ไขได้ด้วยอย่างอื่น นอกจากด้วยเสียงปืนใหญ่และดาบปลายปืน

ผลสำคัญของความสงบศึกนั้น ก็คือความรู้สึกปราศจากอันตราย เมื่อมีความรู้สึกปราศจากอันตรายแล้ว คนเราก็มีเวลาแสวงหาความสนุกสำราญส่วนตัว แต่การหาความสนุกสำราญอย่างใดๆ ทั้งสิ้นจำเป็นต้องสละทรัพย์แลกเอามา จึงเกิดมีความเห็นผิดในเรื่องความยากจน ซึ่งเกิดขึ้นแก่หมู่คนไทยสมัยใหม่ในกรุงเทพฯ ดังเราเคยได้ยินกันอยู่ไม่เฉพาะแต่ในการสนทนากัน แม้แต่ในหนังสือพิมพ์ก็ได้เคยอ่านอยู่เนืองๆ

เรื่องความยากจนของคนไทย ความปรารภเชิงร้องทุกข์เช่นนี้  มักจะมีข้อเปรียบเทียบถึงประเทศอื่นๆ พรรณนาถึงของศิวิไลซ์ต่างๆ ที่ในเมืองเราไม่มี หรือที่เรายังไม่สามารถจะกระทำให้สำเร็จได้ และบางทีก็มีแสดงความเห็นถึงวิธีการที่ควรจัด แต่โดยมากผู้ที่ร้องทุกข์เช่นนี้ มักจะไม่มีความเห็นอย่างไร แต่ในตอนท้ายลงความคล้ายกันหมด คือว่า “รัฐบาลควรจัดการเสียอย่างใดอย่างหนึ่ง”

ก็คนไทยเรานั้นยากจนจริงหรือ?

ในข้อนี้ข้าพเจ้าได้เคยแล้วโดยอัติโนมัติว่า คนไทยเราไม่จน และแต่นั้นก็ยังไม่มีเหตุอันใดที่มาเปลี่ยนแปลง ความเห็นของข้าพเจ้า การที่จะพิสูจน์ความจริงข้อนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่สู้ยากนัก เพราะว่ามีเหตุผลหลายอย่างคงจะชี้ให้เห็นได้ ข้าพเจ้าจะขอยกขึ้นกล่าวแต่เพียง 2 ขอดังต่อไปนี้:-

(1) ในเมืองเรายังไม่เคยปรากฏเลยว่า มีคนอดตาย

(2) รถไฟยังคงบรรทุกคนหัวเมืองเข้ามากรุงเทพฯ อยู่เสมอ เพื่อเอาเงินมาเข้ากระเป๋านายอากรหวยและบ่อนเบี้ย ข้อนี้ก็เห็นได้แล้วว่า ถ้าคนเราจนจริง ก็คงไม่สามารถจะทำเช่นว่ามานี้ได้เป็นแน่

ถ้าหลักฐานนี้ยังไม่เป็นที่พอใจของท่าน ข้าพเจ้าขอเชิญให้ท่านเดินไปตามถนน แล้วและนำคนที่นุ่งผ้าขาดวิ่นด้วยความจำเป็นมาให้ข้าพเจ้าเห็นสักคนหนึ่ง แต่ขออย่าได้นำคนขอทาน โดยอาชีวะมาให้ข้าพเจ้าดูเลย เพราะว่าเสื้อผ้าของคนเหล่านั้นเป็นเครื่องแต่งกายของเขาอย่างหนึ่ง ซึ่งเขาใช้เพื่อประโยชน์แห่งกิจการขอเขา ข้าพเจ้าได้เคยทราบถึงคนขอทานคนหนึ่งซึ่งมีห้องอยู่อย่างกว้างขวางที่เขาเสียค่าเช่าอยู่โดยสม่ำเสมอ และลูกสาวของเขาก็มีเพชรพลอยแต่งตัวด้วยซ้ำ!

ที่กรุงลอนดอน กรุงปารีสและนิวยอร์คนั้นสิ ท่านจะเห็นความเป็นไปแปลกกันกับเมืองไทยเป็นอันมาก ในเมืองที่กล่าวแล้วนี้ ท่านจะเห็นความยากจนอย่างสาหัส ห่างจากบ้านพวกผู้ดีเศรษฐีไปไม่ถึง 5 นาที

เรื่องนี้ข้าพเจ้าหวังใจว่าท่านจะเชียงข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้เคยไปอยู่ในเมืองทั้ง 3 นั้นเองแล้ว และข้าพเจ้ากล่าวตามที่รู้เห็นจริงๆ ถ้าท่านเดินไปเที่ยวตามแถบที่คนจนอยู่ ท่านจะเห็นได้ทันที่ว่า คนเราที่ว่าจนในกรุงเทพๆ นั้น เมื่อเปรียบกับคนเหล่านี้แล้ว ก็นับว่าเป็นเศรษฐีทีเดียว ถ้าท่านไม่เชื่อข้าพเจ้า ขอเชิญให้ท่านถามชาวยุโรปหรืออเมริกา ซึ่งควรนับถือได้ดูเถิด เขาคงจะรับรองถ้อยคำของข้าพเจ้าเป็นแน่

ส่วนชาวบ้านนอกของเรา ข้าพเจ้ายังขอยืนยันว่าเขาไม่จนเลย ที่เรียกว่าจนจริงๆ นั้น ต้องถึงแก่ไร้สิ่งของอันจำเป็นที่จะยังชีวิตให้เป็นไปได้ทีเดียว ชาวบ้านนอกของเราไม่ขัดสนในส่วนสิ่งของที่ว่านี้เลย เขาทั้งหลายมีที่อาศัยพอยู่ได้ มีที่ดินที่จะไถและเพาะปลูก มีเสบียงอาหารบริบูรณ์ตลอดปี มีหมูและเป็ดไก่เลี้ยงกิน และที่มีเกวียนและสัตว์พาหนะก็มาก

จริงอยู่ ตามปกติเขาไม่ค่อยจะมีเงิน แต่เงินก็ไม่เป็นของจำเป็นเลยสำหรับคนที่ปลูกเพาะอาหารกินเองได้ ส่วนเครื่องใช้สอยสำหรับซ่อมแซมเคหสถานบ้านเรือนหรือ ธรรมชาติก็จัดหาไว้ให้โดยบริบูรณ์ ส่วนสิ่งของที่เขาต้องการซึ่งมิได้เกิดขึ้นเองหรือปลูกไว้ในบ้าน เขาก็หาได้โดยแลกเปลี่ยนกัน เงินที่หาได้เขาก็ใช้เพื่อประโยชน์ 2 อย่างเท่านั้น (1) เสียภาษี (2) เล่นการพนัน! ถ้าจะเปรียบคนชาวบ้านนอกของเรากับชาวเมืองในประเทศอื่นแล้ว ก็นับว่าบริบูรณ์ที่สุด

คนที่ปรารภถึงความจนมากที่สุดนั้น ต้องนับว่าเป็นคนที่ฝันไปว่าตัวจนเท่านั้น เขาจนด้วยเหตุที่เขาสุรุ่ยสุร่ายใช้จ่ายในค่านุ่งห่มอันงดงามเกินความจำเป็น บ้านเรือนก็มีอยู่หลายแห่ง ซึ่งถ้าเขาไม่มีเมียลับหลายๆ คนแล้ว แห่งเดียวก็จะเป็นอันพอเพียง เงินของเขามีเท่าใดก็เล่นการพนันหมด

ในเมื่อเขาควรจะเก็บไว้ในแบงก์หาดอกเบี้ย ทั้งเขาใช้จ่ายเงินของเขาในทางอันไม่จำเป็นต่างๆ โดยไม่ได้รับผลอันใดตอบแทน นอกจากความสนุกสนานชั่วขณะหนึ่ง สินที่เขาหามาได้ ไม่เท่าสินที่เขาจ่ายไป ดังนี้ก็ดูไม่น่าอัศจรรย์ที่เขารู้สึกว่าขาดเงินอยู่เนืองๆ! คนชนิดนี้ข้าพเจ้ายอมว่าจน แต่จะติโทษคนอื่นไม่ได้ นอกจากตนเอง

แต่การติโทษตนเองนั้น ไม่ใช่วิสัยของมนุษย์ เพราะฉะนั้นผู้ที่เรียกตัวว่าจนจึงพากันติโทษรัฐบาลซึ่งเขารู้อยู่ว่าไม่ใคร่จะโต้ตอบ ที่ร้ายนั้นถ้า “คนจน” เป็นคนช่างพูด และความจนซึ่งเขารู้สึกว่าเป็นข้อที่ควรแค้น ก็มักจะทำให้เขามีโวหารพอใช้ บางทีก็พาเอาคนอื่นเชื่อถือไปด้วย

แม้ข้าพเจ้าก็จะต้องกล่าวที่ขวางหูท่าน “คนจน” จำพวกนี้บ้างก็ดี ข้าพเจ้าก็อยากใคร่กล่าวต่อท่านว่า “อย่าได้หลงเชื่อเขาเลย! คนชนิดนี้ถึงแม้ว่าจะได้ผลประโยชน์ปีละตั้งล้าน ก็ยังคงนึกว่าตัวจน”


เผยแพร่ในระบบออนลไน์ครั้งแรก 22 กันยายน 2564