ฝรั่งเศสใช้ “ไม้กางเขนแห่งลอร์แรน” เป็นสัญลักษณ์ต้าน “สวัสติกะ” ของนาซี

พลเอกชาร์ลส์ เดอ โกลล์  ติดเครื่องหมายกางเขนแห่งลอร์แรนบนอกด้านซ้าย และ (ภาพเล็ก) ภาพขยายกางเขนแห่งลอร์แรน

ก่อนที่ฝรั่งเศสจะพ่ายแพ้ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 พันเอก ชาร์ลส์ เดอ โกลล์ ของฝรั่งเศส ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นนายพลแห่งกองทัพบกและได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ด้วยตำแหน่งหน้าที่ทำให้เขาได้พบกับวินสตัน เชอร์ชิลล์ 2 ครั้งในการประชุมระหว่างรัฐมนตรีของอังกฤษและฝรั่งเศส เดอ โกลล์ สร้างความประทับใจให้กับนายกรัฐมนตรีอังกฤษอย่างมาก

ทำให้เมื่อฝรั่งเศสขอให้เยอรมนีพักรบในวันที่ 16 มิถุนายน เดอ โกลล์บินไปอังกฤษด้วยเครื่องบินของกองทัพอากาศ และได้รับอนุญาตให้ออกอากาศทางวิทยุบีบีซีอังกฤษวิงวอนไปยังชาวฝรั่งเศสขอให้เข้าร่วมสู้รบกับกองกำลังฝรั่งเศสเสรี ปฏิกิริยาตอบสนองแรกที่เขาได้รับ คือ โทษประหารชีวิตจากรัฐบาลฝรั่งเศสที่เมืองวิชี

อีก 2-3 วันต่อมารัฐบาลอังกฤษให้การรับรองเดอ โกลล์ เป็นผู้นำของชาวฝรั่งเศสเสรีทั้งหมด “ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน” และตกลงที่จะสนับสนุนทางการเงินแก่กองกำลังฝรั่งเศสเสรี ในครั้งนั้น นาวาตรี เธียร์รี ดาร์ชองลิเยอ แห่งกองทัพเรือฝรั่งเศส เสนอกับพลเอกชาร์ลส์ เดอ โกลล์ ให้กลุ่มฝรั่งเศสเสรีเอา “ไม้กางเขนแห่งลอร์แรน” เป็นสัญลักษณ์การต่อต้านเยอรมนี ที่ใช้ตราสวัสติกะนาซีเป็นสัญลักษณ์

ไม้กางเขนแห่งลอร์แรนจึงติดไว้บนธง 3 สีของเรือรบ บนเครื่องบิน และเครื่องแบบ ของกลุ่มฝรั่งเศสเสรี

ไม้กางเขนแห่งลอร์แรน (The Cross of Lorraine) แถบคู่ของฝรั่งเศส มีอายุเก่าแก่ย้อนไปถึงช่วงสงครามครูเสด เมื่ออัศวินเทมพลาร์ พระนักรบที่มีบทบาทสำคัญในครั้งนั้น ใช้เป็นตราสัญลักษณ์ แถบทั้งสองของไม้กางเขนมีความยาวเท่ากันและคาดไว้บนแกนกางเขนด้วยระยะห่างเท่ากัน  ส่วนไม้กางเขนแห่งลอร์แรนรูปแบบใหม่ที่นำมาใช้ แถบทั้งสองถูกคาดไว้ใกล้กับส่วนบนของแกนกางเขน แต่แถบบนจะสั้นกว่าแถบล่าง

ไม้กางเขนแห่งลอร์แรนเป็นส่วนหนึ่งของตราประจำแคว้นลอร์แรน หลังจากฝรั่งเศสพ่ายแพ้สงครามฟรังโก-ปรัสเซีย (ค.ศ. 1870-1871) บริเวณทิศเหนือของแคว้นลอร์แรนและแคว้นอัลซาซ ถูกผนวกเข้ากับเยอรมนีระหว่าง ค.ศ. 1871-1918 สำหรับชาวฝรั่งเศสจำนวนมากแล้ว ไม้กางเขนแห่งลอร์แรนกลายเป็นสัญลักษณ์ของการสูญเสียแคว้นให้กับเยอรมนี และพวกเขาก็มุ่งมั่นที่จะนำแคว้นทั้งสองคืนกลับมา พวกเขาทำสำเร็จหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ก็เสียแคว้นนี้ไปอีกใน ค.ศ. 1940

กลางเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1940 กองทัพฝรั่งเศสเสรีมีเจ้าหน้าที่และทหารเพียง 2,240 คน แต่ความหวังเกิดขึ้นเมื่ออีควาทอเรียล แอฟริกา อาณานิคมของฝรั่งเศสประกาศสนับสนุนเดอ โกลล์ ในต้น ค.ศ. 1941 ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับการจุดประกายจากหน่วยลาดตระเวนทะเลทรายระยะไกลของอังกฤษ ทำให้เดอ โกลล์มีฐานที่มั่นในแอฟริกา จากที่นั่นพลเอกฟิลิปป์ เลอแคลร์ก เดินทัพไปร่วมมือกับอังกฤษทางตะวันตกของทะเลทราย

แม้จะประสบความสำเร็จ แต่ช่วงหลายปีก่อนที่จะมีการปลดปล่อยฝรั่งเศสอย่างสมบูรณ์ในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1944 ความสัมพันธ์ระหว่าง เดอ โกลล์ กับอังกฤษ รวมถึงอเมริกาในเวลาต่อมา อยู่ในลักษณะ “เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย” เพราะในความเป็นจริงอังกฤษไม่เคยไว้ใจเดอ โกลล์ ขณะที่ เดอ โกลล์ก็ดื้อรั้นไม่คิดจะทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น

เช่น กรณีที่อเมริกาและอังกฤษกำลังจะบุกอาณานิคมของฝรั่งเศสในแอฟริกาเหนือ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1942 ฝ่ายสัมพันธมิตรติดต่อกับบรรดาอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงในฝรั่งเศสเท่านั้น และบางครั้ง เดอ โกลล์ถูกย้ายไปนั่งอยู่ด้านข้าง แต่ความสามารถทางการเมืองอันชาญฉลาด ทำให้ เดอ โกลล์ กลับมามีอำนาจบัญชาการกองกำลังฝรั่งเศสเสรีทั้งหมดในดินแดนที่ได้รับการปลดปล่อยแล้วทั่วโลกรวมทั้งแอฟริกาเหนือ

ความสัมพันธ์ของเดอ โกลล์กับเชอร์ชิลล์ รวมทั้งกับพันธมิตรในอังกฤษโดยทั่วไป หลุยส์ สเปียร์ เพื่อนของเชอร์ชิลล์ สรุปอย่างรวบรัดว่า “ไม้กางเขนที่หนักที่สุดที่อังกฤษต้องแบกเอาไว้คือกางเขนแห่งลอร์แรน”

เดือนมีนาคม ค.ศ. 1944 แม้ เดอ โกลล์ จะกลับมาบัญชาการกองกำลังชาวฝรั่งเศส แต่เขาก็ยังไม่ได้รับการบอกกล่าวจากฝ่ายสัมพันธมิตร เรื่องวันเวลาหรือสถานที่ในการบุกยุโรปในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944

อย่างไรก็ตามหลังจากเดินทางไปเยือนกรุงวอชิงตันในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1944 คณะกรรมการเพื่อการปลดปล่อยแห่งชาติ (CLFN) ของเดอ โกลล์ได้รับการจัดองค์กรใหม่โดยอังกฤษและอเมริกาในฐานะผู้มีอำนาจในฝรั่งเศสที่ได้รับการปลดปล่อยแล้ว เดอ โกลล์ เข้าไปยังกรุงปารีสในวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1944 และได้รับการยกย่องสรรเสริญจากชาวปารีส


ข้อมูลจาก

พลลตรีจูเลียน ทอมป์สัน และดร.แอลแลน อาร. มิลเลตต์ เขียน, นงนุช สิงหะเดชะ แปล. 100 สิ่งของสำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 2, สำนักพิมพ์มติชน, มีนาคม 2556


เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 15 กันยายน 2564