จุลศักราช-รัตนโกสินทร์ศก มีที่มาอย่างไร และยกเลิกไปเมื่อไหร่

สกฎหมายตราสามดวง ฉบับหลวง เขียน จุลศักราช 2348 ตอนนั้น ยัง ไม่มี รัตนโกสินทร์ศก จุลศักราช-รัตนโกสินทร์ศก
กฎหมายตราสามดวง สันนิษฐานว่าฉบับจริงเขียนขึ้นเมื่อ จ.ศ. 1167 (พ.ศ. 2348)

จุลศักราช-รัตนโกสินทร์ศก มีที่มาอย่างไร และยกเลิกไปเมื่อไหร่

ใครที่ชอบติดตามเรื่องราวประวัติศาสตร์ไทย ต้องเคยได้ยินคำว่า จุลศักราช และ รัตนโกสินทร์ศก กันบ้าง “ศักราช” ทั้งสองนี้ มีที่มาอย่างไร และยกเลิกไปเมื่อไหร่

จุลศักราช (จ.ศ.) เป็นศักราชที่ใช้มากในเอกสารประวัติศาสตร์ไทย ตำนานล้านนาเล่าว่า ศักราชนี้ตั้งขึ้นในพม่าเมื่อ พ.ศ. 1181 หากต้องการเปลี่ยนเป็นพุทธศักราช ให้เอา 1181 บวกเข้ากับจุลศักราช

จุลศักราชนิยมใช้ในการคำนวณทางโหราศาสตร์และใช้คู่กับปีนักษัตร แต่ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้ยกเลิก และเปลี่ยนไปใช้รัตนโกสินทร์ศก

รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ. – บ้างสะกด รัตนโกสินทรศก) เริ่มใช้ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2432 โดยให้นับ พ.ศ. 2325 ซึ่งเป็นปีที่สถาปนากรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวง เป็นปีรัตนโกสินทร์ศก 1 และให้เริ่มปฏิทินสุริยคติเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2432 พร้อมกันไปด้วย หากต้องการเปลี่ยนเป็นพุทธศักราช ให้เอา 2324 บวกเข้ากับรัตนโกสินทร์ศก

อย่างไรก็ตาม มีการใช้รัตนโกสินทร์ศกอยู่เพียง 20 กว่าปีเท่านั้น เพราะเมื่อเข้าสู่รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้ออกประกาศเปลี่ยนวิธีใช้ศักราชใหม่ ความตอนหนึ่งว่า

“อนึ่งทรงพระราชดำริห์เหนว่า ปีรัตนโกสินทรศกที่ใช้อยู่ทุกวันนี้เปนการสดวกดีสำหรับใช้ในการประจุบันแลอนาคตได้แล้ว แต่การในอดีตภาคนั้น ถ้าจะบังคับให้ใช้ก็จะกระทำให้เข้าใจยากอยู่ที่จะต้องนับปีทวนถอยหลังเปนปฏิโลมเรียกว่าก่อนรัตนโกสินทรศก

“แลทรงพระราชดำริห์เหนว่าพระพุทธศักราชนั้น ได้เคยใช้ในราชการสำคัญๆ มามิได้ขาด ดังเช่นมีในประกาศเปนบาญพแนกราชการสำคัญ เปนแต่ยังหาได้บังคับให้ใช้ในราชการทั่วไปไม่

“ถ้าจะให้ใช้พระพุทธศักราช แทนปีรัตนโกสินทรศกแล้ว ก็จะเปนการสดวกแก่การอดีตในพงษาวดารของกรุงสยามมากยิ่งขึ้น”

ภาพวาดกรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ 3 จะเห็นความหนาแน่นของชุมชนเมืองอย่างชัดเจน (ภาพจาก กรุงเพทฯ 2489-2539)

นอกจากนี้ ยังมี “มหาศักราช” (ม.ศ.) ที่ไทยรับมาจากอินเดีย ซึ่งอินเดียเรียกศักราชนี้ว่า “ศกาพทะ” แปลว่า ปีของชาวศกะ

ศักราชนี้แพร่หลายมากในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงไทย ที่มหาศักราชปรากฏในกฎหมายหลายฉบับในสมัยกรุงศรีอยุธยา หากต้องการเปลี่ยนเป็นพุทธศักราช ให้เอา 621 บวกเข้ากับมหาศักราช

ส่วน “พุทธศักราช” (พ.ศ.) ที่ไทยใช้อย่างแพร่หลาย ปรากฏการใช้ตั้งแต่สมัยสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา ซึ่งตามระบบของไทย เขมร และลาว เมื่อพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว 1 ปี ถึงจะนับเป็นพุทธศักราช 1 หากต้องการแปลงคริสต์ศักราชเป็นพุทธศักราช ให้บวกด้วย 543

พุทธศักราชยังมีใช้ใน พม่า ลังกา อินเดีย และประเทศแถบตะวันตก แต่ประเทศเหล่านี้มีวิธีการนับที่ต่างออกไป คือ เริ่มนับเป็นพุทธศักราช 1 ทันทีในวันหลังจากพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพาน คือนับแบบปีย่าง ดังนั้นหากต้องการแปลงคริสต์ศักราชเป็นพุทธศักราชในประเทศเหล่านี้ ให้บวกด้วย 544

ทุกวันนี้ เราจึงไม่เห็นการใช้ จุลศักราช และ รัตนโกสินทร์ศก ตามเหตุผลที่ยกมาข้างต้น

พระพุทธเจ้า ประทับสีหไสยา เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

วิสุทธ์ บุษยกุล. “ปฏิทินและศักราชที่ใช้ในประเทศไทย”. วารสารราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ 29 ฉบับที่ 2 เม.ย.-มิ.ย. 2547.

สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. “จุลศักราช”.

สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. “ประกาศเปลี่ยนรัตนโกสินทรศกใช้พุทธศักราช”.

เฟซบุ๊ก สถาบันไทยศึกษา จุฬาฯ Institute Of Thai Studies, Chulalongkorn university. “ประวัติการใช้ศักราชในเมืองไทย”.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 7 พฤษภาคม 2567