ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม มีนาคม 2550 |
---|---|
ผู้เขียน | สุภัตรา ภูมิประภาส |
เผยแพร่ |
…สุลต่านมันซูร์ ซาฮ์ สิ้นพระชนม์ในปีพุทธศักราช ๒๑๑๕ ทิ้งพระราชธิดา ๓ พระองค์ไว้กับบรรดาพระประยูรญาติฝ่ายชายและเสนาบดีที่หลั่งเลือดฟาดฟันกันเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ปตานี
เมื่อพระราชบิดาสิ้นพระชนม์ เจ้าหญิงฮิเจามีพระชนม์เพียง ๒๐ พรรษา แม้ทรงเป็นราชธิดาที่ประสูติแต่พระอัครมเหสี แต่เพราะเป็นสตรี จึงมิได้อยู่ในลำดับชั้นของการสืบทอดราชบัลลังก์ตามโบราณราชประเพณี ตลอด ๑๒ ปีหลังพระราชบิดาสิ้นพระชนม์ เจ้าหญิงฮิเจาและพระน้องนางทั้ง ๒ พระองค์ประทับอยู่ในวังหลวง เฝ้ามองความผันแปรบนบัลลังก์ที่ละเลงไปด้วยโลหิตของพระเชษฐา และพระอนุชาต่างชนนีจนนครปตานีสิ้นรัชทายาทชายที่จะขึ้นครองบัลลังก์
เจ้าหญิงฮิเจาจึงได้รับการสถาปนาเป็น “ราชาฮิเจา” กษัตริยาพระองค์แรกแห่งนครรัฐปตานี ในปีพุทธศักราช ๒๑๒๗
เพียงไม่กี่เดือนที่ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ ราตูฮิเจาต้องเผชิญกับการท้าทายของมหาอำมาตย์และเหล่าเสนาบดีเพื่อทดสอบบารมีของเจ้าผู้ครองนครหญิง
ตำนานนครรัฐปตานี บันทึกไว้ถึงความเยือกเย็นของราตูฮิเจาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจ้าเมืองสาย ที่นำทหารจากเมืองสายอุกอาจบุกเข้ามาถึงท้องพระโรง ณ พระที่นั่งอิสตานานีลัม แต่บรรดาขุนนางแห่งราชสำนักกลับวางเฉย ไม่มาปรากฏกายถวายอารักขาแก่องค์กษัตริยา
ราตูฮิเจาเสด็จออก ณ ท้องพระโรง พร้อมราชองครักษ์ ๒ นาย ข้าราชบริพารและนางกำนัลประจำพระองค์ พระนางทรงเครื่องภูษาสีเขียวแห่งพระนาม คล้องพระศอด้วยบุปผามาลัยร้อยสายด้วยด้ายทองคำ ทรงยืนเป็นสง่าอยู่เหนือบันไดขั้นสูงสุดของราชอาสน์ เบื้องล่างมีราชองครักษ์ ๒ นายพร้อมดาบประจำกายถวายอารักขาอยู่ บรรดาข้าราชบริพารและนางกำนัลหมอบกายอยู่ ณ พื้นท้องพระโรง
พลันที่เจ้าเมืองสายปรากฏกายเบื้องพระพักตร์ ราตูฮิเจาทรงถอดมาลัยจากพระศอโยนพระราชทานให้โดยมิได้ทรงเปิดพระโอษฐ์เจรจาสิ่งใด ท่ามกลางความงุนงงของผู้ติดตาม เจ้าเมืองสายหมอบลงรับพวงมาลัยนั้นมาพันไว้รอบศีรษะ พร้อมทั้งวางกริชประจำกายบนพื้นท้องพระโรงเบื้องพระพักตร์นางกษัตริย์ ถวายคำนับเบื้องพระบาท พร้อมเปล่งวาจาถวายพระพรให้บุญญาบารมีขององค์กษัตริยานำความมั่งคั่งเพิ่มพูนสู่บัลลังก์ปตานี ราตูฮิเจาเสด็จกลับเข้าที่ประทับโดยมิได้รับสั่งสิ่งใด
เจ้าเมืองสายกล่าวกับบรรดาผู้ติดตามว่ามาลัยคล้องพระศอที่องค์กษัตริยาพระราชทานนั้น คือเครื่องหมายที่พระนางขอชีวิต แต่นัยยะแห่งมาลัยคล้องพระศอและความเงียบของราตูฮิเจาอาจลึกล้ำเกินกว่าเจ้าเมืองสายแปรความหมาย ด้วยตำนานนครรัฐปตานีบันทึกไว้ว่า วันรุ่งขึ้น เจ้าเมืองสายนำไพร่พลเดินทางกลับเมืองสาย และไม่เคยกลับมาเหยียบแผ่นดินปตานีให้ระคายพระเนตรพระกรรณอีกเลย…
หมายเหตุ: คัดจากตอนหนึ่งของบทความ “สี่กษัตริย์ปตานี : บัลลังก์เลือด และตำนานรักเพื่อแผ่นดิน” โดย สุภัตรา ภูมิประภาส ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ มีนาคม 2550
ปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาในระบบออนไลน์เมื่อ เมษายน พ.ศ. 2562