ย้อนรอยการก่อตัวของฟุตบอลอังกฤษ-สเปน สู่มหาอำนาจยุโรป พลิกโฉมลูกหนังยุคใหม่

การแข่งฟุตบอลนัดชิงแชมป์รายการ European Champion Clubs' Cup ที่สนาม Parc des Princes ในปารีส ฝรั่งเศส ระหว่าง Stade de Reims Champagne กับ เรอัล มาดริด (Real Madrid) เมื่อ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1956 ภาพจาก AFP

เมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเกี่ยวกับกีฬา ฟุตบอลคือชนิดกีฬาที่ได้รับความนิยมและมีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ มีหัวหอกจากทวีปยุโรปอันเต็มไปด้วยสโมสรยักษ์ใหญ่มากอิทธิพล พวกเขาล้วนมีความเป็นมายาวนาน และร่วมแข่งขันกันภายในทวีปมาไม่ต่ำกว่า 5 ทศวรรษแล้ว อย่างไรก็ตาม หากยังจำกันได้ เมื่อปี 2021 ถือเป็นช่วงเวลาที่ฟุตบอลยุโรปประสบปัญหารุมเร้ามากที่สุดอีกครั้ง

บรรยากาศของชุมชนฟุตบอลในทวีปยุโรปปี 2021 อาจถูกบันทึกในประวัติศาสตร์กีฬาลูกหนังอีกหน้าหนึ่งในฐานะช่วงแห่งความปั่นป่วนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจและการเงินสืบเนื่องจากผลกระทบของโรคระบาดทั่วโลก มาจนถึงการงัดข้อครั้งใหญ่เมื่อสโมสรใหญ่จากอังกฤษ 6 ทีม จับมือกับสโมสรดังอีกหลายแห่งในยุโรปอีก 6 ทีม รวมแล้วเป็น 12 สโมสร (ทั้ง 12 ทีมนิยามตัวเองว่าเป็น “ผู้ก่อตั้ง”) ร่วมกันประกาศตั้งยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก (European Super League) รายการแข่งขันของตัวเองขึ้นมาเพราะไม่พอใจอัตราส่วนแบ่งรายได้ที่รายการเดิมซึ่งองค์กรลูกหนังดูแลจัดการแข่งขันระดับทวีปจัดสรรให้

อัปเดตเมื่อ ก.ค. 2021 : ข้อเสนอตั้ง “ซูเปอร์ลีก” ถูกพับเก็บไปแล้ว  

บรรยากาศเวลานี้กลายเป็น “ความแตกแยก” ครั้งใหญ่ในโลกลูกหนังทวีปยุโรป แม้แต่ผู้นำประเทศมหาอำนาจอย่างอังกฤษ และฝรั่งเศสก็ต้องลงมาสอดส่อง

ฟุตบอลอังกฤษ

ในข้อเท็จจริงแล้ว อังกฤษ (ไปจนถึงหลายแห่งในเครือสหราชอาณาจักร) เป็นที่ยอมรับกันจากแง่มุม “บ่อเกิด” ของกีฬาฟุตบอลสมัยใหม่ สืบเนื่องมาจากบทบาทในการวางกฎเกณฑ์กติกาการเล่นแบบสากลที่พัฒนาต่อเนื่องกลายมาเป็นกติกาฟุตบอลที่เล่นกันจนถึงวันนี้ แต่โดยทั่วไปแล้ว การเล่นกีฬาลักษณะแบบ “ฟุตบอล” มีหลักฐานว่าการเล่นชนิดนี้แพร่กระจายปรากฏในหลายมุมโลก

สำหรับบทบาทการก่อตัวของฟุตบอลในอังกฤษนั้น เชื่อกันว่า ยุคแรกเริ่มถือกำเนิดจากฟุตบอลโรงเรียน ซึ่งจำเป็นต้องวางกฎเกณฑ์ให้สอดคล้องกันในการแข่งขันระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย จนเกิดเป็น “กติกาเคมบริดจ์” ในปี ค.ศ. 1848 หลังจากนั้นก็ถูกนำไปปรับใช้ในสโมสรระดับมณฑลและสโมสรสุภาพบุรุษในลอนดอนแล้วค่อยๆ พัฒนากลายมาเป็นรากฐานของการเล่นฟุตบอลสมัยใหม่มาจนถึงวันนี้

ในช่วงศตวรรษที่ 19 โรงเรียนรัฐอย่างอีตัน (Eton), แฮร์โรว์ (Harrow), ชาร์เตอร์เฮาส์ (Charterhouse) และรักบี้ (Rugby) แต่ละโรงเรียนต่างแข่งขันกันภายใต้กติกาที่แตกต่างกันจนต้องตกลงกติการ่วมให้ใช้แบบเดียวกัน (แม้ว่ายังมีบางโรงเรียนต้องการใช้กติกาของตัวเอง หรือใช้ลูกบอลทรงแปลกๆ อยู่) จากนั้นจึงค่อยปรากฏการก่อตั้งสมาคมฟุตบอล (Football Association) หรือที่เรียกกันว่าเอฟเอ เมื่อปีค.ศ. 1863

ขณะที่การแข่งขันฟุตบอลในรูปแบบลีก (League) เกิดขึ้นตามมาในช่วง 3 ทศวรรษหลังของศตวรรษที่ 19 โดยลีกฟุตบอลสูงสุดของอังกฤษในปัจจุบันถูกเรียกว่า “พรีเมียร์ลีก” (Premier League) ซึ่งถูกรีแบรนด์เมื่อปี 1992 อันเป็นการแยกตัวออกจาก “ลีกฟุตบอลอังกฤษ” (English Football League-EFL) ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1888 โดยฤดูกาล 1888-89 อันเป็นปีแรกของการแข่งขันลีก เพรสตัน นอร์ธ เอนด์ (Preston North End) เป็นแชมป์ทีมแรก

ช่วงเวลานั้นต้องยอมรับว่า ฟุตบอลในอังกฤษไปจนถึงแถบสกอตก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง พวกเขาแข่งขันกัน และเริ่มมีนักเตะสกอตเข้ามาเล่นให้ทีมในอังกฤษราวช่วงทศวรรษ 1880s กันมากขึ้น สกอตแลนด์เป็นแหล่งผลิตนักฟุตบอลฝีเท้าดีในยุคนั้น นักฟุตบอลสกอตมักเติบโตมาในช่วงยุคอุตสาหกรรมกำลังเติบโตขณะที่บรรยากาศชุมชนอุตสาหกรรมกลับมีสภาพอันแร้นแค้น ในช่วงสมัยวิกตอเรียน แมตช์ลงแข่งวันเสาร์คือช่วงเวลาหลีกหนี ปลดปล่อยตัวเองจากการทำงานเหมือง โรงงาน และอู่ต่อเรืออันแสนเหนื่อยยาก

ทศวรรษ 1900s ความนิยมของฟุตบอลเริ่มกระจายตัวไปในระดับประเทศ เซอร์ทิม ดีไวน์ นักประวัติศาสตร์สกอตแลนด์ที่มีชื่อเสียงอีกรายให้สัมภาษณ์กับ The Guardian ระบุว่า 1 ใน 4 ของชายอายุระหว่าง 15-29 ปีที่อาศัยทางตอนกลางของสกอตแลนด์จะต้องมีสโมสรต้นสังกัดเลยทีเดียว และแน่นอนว่า สำหรับนักฟุตบอลที่เพลงแข้งยอดเยี่ยม ผลงานในสนามย่อมเป็นบันไดไปสู่ชื่อเสียงและทรัพย์สิน

ฟุตบอลอังกฤษในสังคมลูกหนังยุโรป

หากมองออกไปนอกแดนอังกฤษและสกอตแลนด์ ในทศวรรษ 1900s หลายประเทศในยุโรปปรากฏการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลกันมากขึ้น เรอัล มาดริด (Real Madrid) จากสเปน และบาเยิร์น มิวนิก (Bayern Munich) ในเยอรมนี ต่างก่อตั้งในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนี้เอง

ในรอบ 5 ทศวรรษระหว่าง 1900-1950 ฟุตบอลในยุโรปค่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้นมา ระหว่างทางก็เริ่มมีรายการที่นำแชมป์แต่ละประเทศในภูมิภาคมาแข่งขันกันอยู่เรื่อยๆ อาทิ รายการ Mitropa Cup รายการระดับเมเจอร์สำหรับสโมสรฟุตบอลในยุโรปตอนกลาง แข่งแมตช์แรกเมื่อปี 1927 และยกเลิกไปเมื่อปี 1992

ในปี 1954 สหพันธ์ฟุตบอลแห่งทวีปยุโรป (Union of European Football Associations : UEFA) ถือกำเนิดขึ้น ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นและความสำเร็จจากการแข่งขันแบบกระชับมิตรกันในภูมิภาค โดยเฉพาะความสำเร็จของทีมจากอังกฤษอย่างสโมสรวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส (Wolverhampton Wanderers) เดือนธันวาคมปีเดียวกันนั้นเอง Gabriel Hanot บก.ของ L’Equipe สื่อสิ่งพิมพ์สายกีฬาในฝรั่งเศสเสนอให้จัดการแข่งขันระหว่างสโมสรในภูมิภาคยุโรปแก่ FIFA ซึ่ง UEFA ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นก็ได้กลายมาเป็นผู้รับเริ่มจัดการแข่งที่ใช้ชื่อว่า European Champion Clubs’ Cup เริ่มแข่งในเดือนกันยายน 1955 ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส

รายการ European Champion Clubs’ Cup ครั้งแรกเริ่มต้นในฤดูกาล 1955-56 เชิญทีมแชมป์จากลีกแต่ละประเทศในยุโรปมาชิงชัยแย่งชิงเกียรติยศของผู้ชนะในฐานะทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในทวีป เกมแรกของรายการคือแมตช์ระหว่าง สปอร์ติ้ง ลิสบอน (Sporting Lisbon) กับ ปาร์ติซาน เบลเกรด (Partizan Belgrade) รายการดังกล่าวเป็นที่รับรู้ในวงกว้างอย่างรวดเร็ว และเป็นรายการมาตรฐานสำหรับการท้าทายศักยภาพของสโมสรในยุโรปที่กำลังเบ่งบาน

ถึงจะจุดติดอย่างรวดเร็ว แต่น้อยคนนักที่จะนึกถึงภาพในอนาคตของรายการนี้ว่า จะพัฒนาจากทีมเข้าร่วมแค่ 16 ทีม เมื่อผ่านไป 60 ปี จะมีผู้เข้าร่วมแข่งรวมทั้งหมดทุกรอบได้มากถึง 70 สโมสรจากยุโรป และกลายเป็นรางวัลใหญ่ที่สุดสำหรับระดับสโมสรของยุโรปทั้งในแง่เกียรติยศและความภาคภูมิใจ (ปัจจุบันใช้ชื่อ UEFA Champions League)

ตามความเห็นของ Rab MacWilliam นักเขียนและสื่อมวลชนสายกีฬาที่เขียนในหนังสือ Life in La Liga เขามองว่า หลังจากรายการก่อตัวได้สักพัก ภาพของสโมสรฟุตบอลในระดับยุโรปในหมู่ชาวอังกฤษที่คลุกคลีกับฟุตบอลมายาวนานยังคงไม่กระจ่างชัดนักแม้เวลาจะผ่านมาถึงยุค 60s แล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยที่สุด ชาวอังกฤษและสกอตเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า พวกเขาไม่ใช่ปรมาจารย์ที่ยากหาใครมาล้มพวกเขาได้

ตัวอย่างเกี่ยวกับความเข้าใจผิดต่อฟุตบอลในหมู่ชาวอังกฤษในแง่พวกเขาเป็น “เจ้าพ่อ” ของเกมปรากฏขึ้นตั้งแต่รายการ European Champion Clubs’ Cup ฤดูกาล 1959-60 บาร์เซโลน่า (Barcelona) แชมป์ลีกสเปนฤดูกาลก่อนหน้านี้บดขยี้วูล์ฟแฮมป์ตันฯ สโมสรจากอังกฤษซึ่งสื่อในประเทศของพวกเขาเคยยกย่องว่าเป็น “ทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก” ในรอบก่อนรองชนะเลิศด้วยสกอร์รวม 9-2 (Rab MacWilliam, 2019)

ขณะที่แชมป์สกอตอย่างเรนเจอร์ส (Rangers) ก็ตกอยู่ในสภาพใกล้เคียงกัน พวกเขาโดนไอน์ทรักต์ แฟรงค์เฟิร์ต (Eintracht Frankfurt) จากเยอรมนีบดขยี้ในรอบรองชนะเลิศด้วยสกอร์รวม 12-4

สภาพของทีมจาก “แดนผู้ดี” ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็น “บ้านเกิด” ของฟุตบอล ขณะที่เหล่าทีมจากบริเทนล้วนมีศักยภาพสูงส่งถูกท้าทายอย่างหนัก

(ฟุตบอล)สเปนแนะนำตัวสู่ยุโรป

ขณะเดียวกัน สิ่งที่คนในสหราชอาณาจักรและอีกหลายประเทศในยุโรปไม่ได้มองถึงคือการเข้ามาประกาศศักดาของทีมจากสเปนอย่างเรอัล มาดริด (Real Madrid) ซึ่งกวาดแชมป์รายการนี้ไป 5 สมัยติดต่อกัน (1955-1960) ทั้งที่สเปนเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านั้น ยังเป็นประเทศที่ตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการของนายพลฟรังโก

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง สหประชาชาติ (United Nations) บังคับใช้มาตรการแซงก์ชั่นต่อสเปน ในปี 1946 สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสถอนทูตจากสเปนและไม่ยอมรับอำนาจนายพลฟรานซิสโก ฟรังโก (Francisco Franco) มาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 1948 ก็ไม่ได้รวมชื่อสเปนเข้าไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 50s สเปนเริ่มปรับตัวมาใช้นโยบายที่เข้มงวดน้อยลงกว่าเดิม แม้ว่าฝ่ายปกครองจะยังถือว่าตัวเองใช้ระบบปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จเพื่อเป็นเครื่องมือรับใช้ชาติในการไปสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศก็ตาม ในสเปนปรากฏรูปแบบของเครื่องมือของรัฐแบบสมัยใหม่ นายพลฟรังโก และคณะฝ่ายปกครองของเขาเริ่มได้รับการโน้มน้าวทีละน้อยว่าสเปนที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมจำเป็นต้องเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเพื่อนบ้านในยุโรปทั้งแง่นโยบายทางเศรษฐกิจและการทูต สเปนก่อตั้งกระทรวงการท่องเที่ยวเมื่อปี 1951 ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมากในอีกไม่กี่ปีต่อมา

ในขณะเดียวกันนี้ บรรยากาศของสงครามเย็นที่ก่อตัวขึ้นทำให้สหรัฐอเมริกา มหาอำนาจซึ่งเคยมีท่าทีปฏิปักษ์ต่อสเปนเริ่มหันเหนโยบายต่อสเปนต่างจากเดิม แต่สิ่งที่ Rab MacWilliam มองว่าเหตุผลที่แท้จริงซึ่งทำให้สหรัฐฯ พลิกหัวกลับคือ ภูมิศาสตร์สำคัญของสเปนในแถบเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ และนโยบายแข็งกร้าวต่อคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรงของฟรังโก สหรัฐฯ ส่งทูตไปประจำที่มาดริดอีกครั้ง และเซ็นสัญญา Pact of Madrid ในปี 1953 ซึ่งอนุญาตให้สหรัฐฯ เข้าไปตั้งฐานทัพอากาศในสเปน แลกกับการยอมรับและการันตีทางการเงินของสเปน

ในปี 1955 สเปนได้รับเชิญให้เข้าร่วมสหประชาชาติ ตามมาด้วยการยอมรับของธนาคารโลก และ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) สำหรับรายหลังนี้เองเป็นผลให้คณะการปกครองของนายพลฟรังโก ต้องเปิดมาตรการใหม่ซึ่งขัดแย้งกับแนวทางพึ่งพาตัวเองที่ยึดมั่นมายาวนานร่วม 20 ปี แล้วมุ่งไปในเรื่องการค้าในทางเศรษฐกิจ พร้อมกับโครงการทางสังคมหลายด้าน อาทิ สวัสดิการสังคม ที่อยู่อาศัยราคาถูก ขยายการศึกษาและการผลิต ไปจนถึงการส่งออกสินค้า

เมื่อมาถึงปี 1960 สเปนมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ 4 ล้านคนต่อปี พุ่งทะยานไปถึง 18 ล้านคนในปี 1966 และแน่นอนว่า ฟุตบอลเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่นำเสนอ “สเปนใหม่” สู่สายตาคนภายนอก MacWilliam ชี้ว่าความสำเร็จของนโยบายโฆษณาชวนเชื่อแบบไม่เป็นทางการอย่างหนึ่งของนายพลฟรังโก คือสโมสรเรอัล มาดริด การเล่นของทีมชุดขาวได้รับคำชื่นชมจากแฟนบอลหลายล้านคนในสนามและทางบ้านก่อนจะแพร่กระจายความนิยมไปถึงระดับภูมิภาค

นายพลฟรังโก ทราบดีถึงอิทธิพลของเกมกีฬาที่มีต่อพฤติกรรมและความรู้สึกนึกคิดของประชาชน ความบันเทิงและความสนุกสนานเป็นเครื่องมือของชนชั้นนำในการเบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องแง่ลบหลายด้าน

ดังนั้น นายพลฟรังโกพลิกฟื้นกระทรวงการกีฬาขึ้นมาใหม่ภายใต้ร่มเงาของฝ่ายชาตินิยมที่จงรักภักดี สโมสรฟุตบอลในสเปนได้รับการสนับสนุนให้สร้างผู้เล่นและสร้างเสริมสนามขึ้นใหม่ ยุคนี้สโมสรอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของฟรังโก ทุกสโมสรต้องมีสมาชิกบอร์ดอย่างน้อย 2 รายมาจากกลุ่ม Falange อันเป็นกลุ่มการเมืองชาตินิยมสุดโต่ง หลายสโมสรเปลี่ยนชื่อมาใช้คำแบบ “คริสเตียน” คาสติเลียน (Castilian) ตัวอย่างของมาดริดคือ ทีมมาดริด เอฟซี (Madrid FC) เปลี่ยนชื่อเป็น “เรอัล มาดริด” (Real Madrid Club de Fútbol) 

เมื่อยุโรปอ้าแขนต้อนรับสเปน กลับคืนมา ฟุตบอลกลายเป็นสินทรัพย์สำคัญอย่างหนึ่งของแดนแห่งนี้ไปโดยปริยาย และแน่นอนว่า อิทธิพลดังกล่าวลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน แม้สโมสรใหญ่อย่างเรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า ในวันนี้ยังประสบปัญหาการเงินรุมเร้า แต่ความสำเร็จในสนามเป็นเรื่องที่แฟนบอลปฏิเสธไม่ได้ พวกเขามีแฟนบอลมหาศาลจากทั่วโลก

เมื่อเรอัล มาดริด พร้อมแอตเลติโก มาดริด ร่วมด้วยกับบาร์เซโลน่า และอีก 6 สโมสรใหญ่จากอังกฤษ (อีก 3 ทีมที่เหลือคือยูเวนตุส, เอซี มิลาน และอินเตอร์ มิลาน จากอิตาลี) พวกเขาย่อมมีเสียงดังพอในการออกมาเคลื่อนไหวเขย่าลูกหนังยุโรปดังที่แฟนบอลหรือแม้แต่คนทั่วไปพบเห็นความเคลื่อนไหวได้จากทุกพื้นที่ข้อมูลข่าวสาร

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

McKenna, Kevin. “Who gave English football its mass appeal? The ‘Scotch Professors’”. The Guardian. Online. Published 8 MAR 2020. Access 19 MAR 2020. <https://www.theguardian.com/uk-news/2020/mar/08/the-english-game-football-mass-appeal-netflix-scotch-professors-fergus-suter-julian-fellowes>

MacWilliam, Rab. Life in La Liga. Edinburgh : Arena Post, 2019.

Youngs, Ian. “The English Game: Netflix replays the birth of modern football”. BBC. Online. Published 18 MAR 2020. Access 19 MAR 2020. <https://www.bbc.com/news/entertainment-arts-51574065>

“1955/56: Madrid claim first crown”. UEFA. Online. Access 20 APR 2021. <https://www.uefa.com/uefachampionsleague/news/0258-0e6a0359223b-d180c4119f8e-1000–1955-56-madrid-claim-first-crown/?iv=true>

“ความเป็นมาของ “ฟุตบอล” กีฬายอดฮิต ที่แรกเริ่มดุเดือด เลือดพล่าน”. ศิลปวัฒนธรรม. ออนไลน์. เผยแพร่เมื่อ 8 มกราคม 2563. เข้าถึงเมื่อ 20 เมษายน 2564. <https://www.silpa-mag.com/history/article_43806>


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 20 เมษายน 2564