ไฉนเรียกบิดาเจ้าจอมในร.1 ว่า “พระยาพัทลุงคางเหล็ก” คางเหล็ก-คางเหลือง คืออะไร?

พระเจ้าตาก ทรงม้าสู้ศึก ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เทศบาลเมืองตาก
ภาพวาดพระเจ้าตากทรงม้าสู้ศึก ในศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เทศบาลเมืองตาก (ถ่ายโดย ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, 2560)

ไฉนเรียกบิดาเจ้าจอมในร.1 ว่า “พระยาพัทลุงคางเหล็ก” คางเหล็ก-คางเหลือง คืออะไร?

หนังสือประชุมพงศาวดารภาคที่ 15 หรือพงศาวดารเมืองพัทลุง เรียบเรียงโดย หลวงศรีวรวัตร (พิณ จันทโรจวงศ์) พิมพ์ครั้งแรกเมื่อสมัย ร.6 พ.ศ. 2462 พงศาวดารออกนาม พระยาพัทลุงคางเหล็ก พระยาพัทลุงคนนี้ พงศาวดารฉบับสำนักพิมพ์ก้าวหน้า เล่ม 5 น. 343 ให้ข้อมูลว่านามเดิมคือ ขุน เป็นบุตรพระยาราชบังสัน (ตะตา) ซึ่งเป็นลูกชายของตาตุมะระหุ่ม

พระยาราชบังสัน (ตะตา) เคยเข้าไปรับราชการในกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

พ.ศ. 2291 พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศโปรดให้พระยาราชบังสัน (ตะตา) ออกมาเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพัทลุง ทำนองประเทศราช ส่วนนายขุนผู้ลูก มีภรรยาชื่อท่านแป้น เป็นบุตรีของเศรษฐีเต็ม ท่านแป้นหรือคุณหญิงแป้นนี้เป็นน้องของท้าวทรงกันดาร (ทองมอญ)

ต่อมานายขุนได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ ตั้งบ้านเมืองที่บ้านลำปำ ตำบลโคกลุง อำเภอเมืองพัทลุง

พ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ขุนนางบางคนตั้งตัวเป็นเจ้า เช่นทางเมืองนครศรีธรรมราช พระปลัดตั้งตนเป็นเจ้านครฯ และตั้งหลานชายมาว่าราชการที่พัทลุง

พ.ศ. 2311 พระเจ้าตากปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

พ.ศ. 2312 พระเจ้าตากเสด็จมาตีเมืองนครศรีธรรมราช แล้วโปรดให้พระเจ้าหลานเธอ เจ้านราสุริยวงศ์ อยู่ครองเมืองนครฯ และให้นายจันทร์มหาดเล็กมาว่าราชการเมืองพัทลุงซึ่งอยู่ติดนครฯ

นายจันทร์ว่าราชการอยู่ 3 ปี ก็ถูกถอดออกจากราชการด้วยเหตุใดไม่ปรากฏ

พ.ศ. 2315 พระเจ้าตากทรงตั้งให้ “นายขุน” เป็นพระยาแก้วเการพพิชัย และเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพัทลุง แสดงว่านายขุนต้องเป็นคนมีความสามารถ นายขุนกับภรรยาคือคุณหญิงแป้นมีลูกสาวคนหนึ่งชื่อ กลิ่น

กลิ่น ภายหลังได้เป็นเจ้าจอม คือมเหสีคนหนึ่งของ ร.1 มีลูกคือพระองค์เจ้าชายสุทัศน์ หรือกรมหมื่นไกรสรวิชิต (พ.ศ. 2341-2390) เป็นต้นสกุล สุทัศน์

หลังจากท่านคางเหล็กตายแล้ว ร.1 โปรดให้พระยาศรีไกรลาศออกมาเป็นผู้ว่าฯ พระยาศรีไกรลาศก็ย้ายเมืองไปตั้งที่ศาลาโต๊ะวัก โคกลุงเลยถูกทิ้งร้าง ไม่เหลือหลักฐานทางโบราณคดีใดๆ กลายเป็นไร่นาหมด ข้อนี้ ทว.พ. หรือ ทิพวัลย์ พิยะกูล เป็นผู้เขียน

ตัดกลับอีก มาว่าเรื่องท่านคางเหล็กต่อไปว่า ทำไมจึงได้สมญานาม “คางเหล็ก”

นามคางเหล็ก

พงศาวดารพัทลุงว่า พระยาพัทลุง (ขุน) ได้สมญานามว่าพัทลุงคางเหล็ก จาก 2 นัยยะ

นัยยะที่ 1 กล่าวว่าเมื่อครั้งพระเจ้าตากเสียพระสติรับสั่งถามข้าราชการว่าใครจะตามเสด็จกูขึ้นสวรรค์ได้บ้าง ข้าราชการต่างคนต่างนิ่ง

พระยาพัทลุง (ขุน) ทูลอย่างฉลาดเฉลียวว่า เป็นเรื่องเหลือวิสัย ผู้หาบุญไม่ได้ (คือคนไม่มีบุญ) จะตามเสด็จขึ้นสวรรค์ในเวลาที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่นั้นเป็นไปไม่ได้ ข้าพระพุทธเจ้าจะคอยตามเสด็จเมื่อข้าพระพุทธเจ้าหาชีวิตไม่แล้ว

พระเจ้าตากได้ฟังก็โปรดว่าพูดถูก คนอื่นหรือจะมีบุญญาธิการเหมือนพระองค์

เป็นคำที่กล้ากล่าวทูลเพื่อเตือนสติ จึงได้นามว่า “คางเหล็ก”

นัยยะที่ 2 กล่าวกันว่าเมื่อครั้งพระยาพัทลุง (ขุน) คุมทัพเรือโดยเสด็จ หรือตามเสด็จกรมพระราชวังบวร วังหน้าและน้องชายในรัชกาลที่ 1 (ไม่ระบุปี แต่เข้าใจว่าจะเป็นในสมัยพระเจ้าตาก) ไปตีเมืองแขกปัตตานี พวกกองทัพอดน้ำ

พระยาพัทลุงจึงเอาเท้าแช่ลงในทะเลก็บันดาลน้ำเค็มให้จืด (ฟังเหมือนเรื่องหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลให้จืด)

พวกพลทหารได้ตวงตักน้ำจืดไว้ดื่มก็รอดพ้นความกันดารไปได้ ภายหลังพระยานครฯ ฟ้องว่าพระยาพัทลุงทำน้ำเค็มให้จืดได้จะเป็นขบถจึงโปรดเกล้าฯ ให้มีพระกระทู้ถาม

พระยาพัทลุงแก้ว่าพวกพลอดน้ำได้ความลำบาก จึงเสี่ยงเอาพระบารมีพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่พึ่งน้ำในทะเลจึงบันดาลจืดได้ พวกทหารได้ดื่มเป็นกำลังรับราชการต่อไปหาใช่ด้วยอำนาจวาสนาของท่านเองไม่
นับเป็นการแก้ตัวที่ฉลาด จึงกลับได้รับความชอบ

นัยยะที่ 2 พงศาวดารไม่ได้พูดสักคำว่าเกี่ยวกับคางเหล็กตรงไหน คงให้หมายความว่าปากกล้า กล้าพูด ไม่กลัวตาย แต่ทุกอย่างก็ยังไม่กระจ่างอยู่ดี

คำว่าคางเหล็ก ไม่เคยได้ยินใครอธิบาย

ในหูผมเองได้ยินเสียงแว่วๆ แต่ “หยาบกระด้างคางแข็ง” เพราะเมื่อริเขียนเรื่องสั้นยุค 2510 จำได้แม่นว่าเคยใช้คำคำนี้ ไม่รู้คิดเองหรือไปเอามาจากไหน

ลองหาพจนานุกรมหลายๆ เล่มทั้งเก่าและใหม่มาเปิดดู ไม่พบอธิบายคำว่าคางเหล็ก

ของมติชนว่า คางเป็นชื่ออวัยวะล่างสุดของขากรรไกร และเป็นชื่อต้นไม้ คางโคเป็นชื่อเครื่องมือบริหารสะโพกให้ผายของผู้หญิง

คางทูมเป็นโรคเกิดจากต่อมน้ำลาย ทำให้คางบวม คางโทนเป็นชื่อต้นไม้ คางเบือนเป็นชื่อปลา คางแพะคือเคราใต้คางอย่างเคราแพะ คางหมูคือสี่เหลี่ยมสอบๆ และคางเหลืองคือเจ็บมากจนเกือบตาย…

ภาพประกอบเนื้อหา – ภาพวาด “คาง” ผู้ชาย ไม่ปรากฏเจ้าของภาพ (เผยแพร่ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกุมภาพันธ์ 2562)

สำนวน “คางเหลือง”

หันไปสนใจคำว่าคางเหลืองเสียอีกแล้ว เจ็บอย่างไรจึงทำให้คางเหลือง?

นึกถึงหนังสือชื่อสำนวนไทย ของ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ซึ่งเป็นคนเกิดสมัยรัชกาลที่ 5 น่าจะไขความกระจ่างอะไรได้บ้าง

โชคดีท่านอธิบายว่า ในการวิวาทต่อยตีนั้นจุดสำคัญที่ถูกเข้าแล้วอาจถึงตายมี 8 แห่งได้แก่ กำด้น (ท้ายทอย) -ต้นคอ-จมูก-แสกหน้า-เพรียงหู-ขากรรไกร-ชายโครง และปลายคาง…

ปลายคางหรือคางเป็นส่วนที่ยื่นออกมามาก ถูกอะไรได้ง่ายกว่าส่วนอื่น คางเป็นส่วนที่ล่อแหลมมาก เมื่อจะพูดอะไรเกี่ยวกับที่สำคัญจึงยกเอาคางมาพูด

สํานวนคางเหลืองคงจะมาจากการวิวาทต่อยตีกันหรือชกมวย เมื่อถูกคางเข้าแล้วถ้าไม่ตายก็ต้องมารักษาซึ่งสมัยโบราณใช้ไพลเอามาฝนทาแก้ฟกช้ำ

ไพลมีสีเหลือง ทาเข้าที่คางคาง คางก็เหลือง จึงมักได้ยินพูดกันว่า “ถ้าไม่ตายก็คางเหลือง” คำว่าคางเหลืองจึงกลายเป็นสำนวน หมายถึงแย่ คือลำบากเกือบตาย

ตัวอย่างคำกลอนที่พูดถึงสำนวนคางเหลือง เช่น

“ครั้งนี้ไม่รอดเห็นวอดวาย ถ้าแม้นมิตายก็คางเหลือง”คาวี พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 2
“ฝ่ายพวกเรือเหลือแตกต้องแยกย้าย ที่ไม่ตายรอดบ้างก็คางเหลือง”พระอภัยมณีของสุนทรภู่
“มาพ้นน้ำซ้ำพบประสบทราย ถึงไม่ตายก็คางเหลืองเหมือนเรื่องราว”นิราศลอนดอนของหม่อมราโชทัย สมัย ร.4

นับว่าน่าสนใจ แต่ถึงอย่างไร หนังสือสํานวนไทยก็ไม่ได้พูดถึงคำว่าคางเหล็กอยู่ดี ทีนี้ก็ต้องเดาเอาละว่าจากการที่คางเป็นจุดเป็นจุดตาย เมื่อพูดว่าคางเหล็กจึงน่าจะหมายถึงอยู่ยง ทนทานเหมือนเหล็ก
แม้เจอปัญหาใหญ่กระแทกก็ยังรอดมาได้ราวกับคางเสริมเหล็ก

เดาอย่างนี้พอรับได้ไหม ปัญญาผมมีแค่นี้?

จบเรื่องคางเหล็ก กลับมาที่ประวัติพระยาพัทลุง (ขุน คางเหล็ก) อีกที

พระยาพัทลุง (ขุน คางเหล็ก) ในช่วงปลาย

พงศาวดารพัทลุงว่า พ.ศ. 2423 ร.1 ปราบดาภิเษก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพัทลุง (คางเหล็ก) คงเป็นพระยาพัทลุงต่อไป

พ.ศ. 2328 พม่ายกทัพมาตีชุมพร ไชยา และนครฯ ร.1 ให้วังหน้ายกทัพหลวงลงไปตีทัพพม่าแตกหมดทุกกอง แล้วเลยเสด็จไปประทับที่สงขลาเพื่อปราบแขกเมืองปัตตานีต่อไป

ฝ่ายพระยาพัทลุงคางเหล็กกับพระมหาช่วยวัดป่าแขวงเมืองพัทลุงผู้มีความรู้ทางไสยศาสตร์ลงเลขยันต์ตะกรุดผ้าประเจียดให้พวกพลแต่งทัพออกรับพม่าที่ตำบลคลองท่าเสม็ด พม่าได้มาตั้งค่ายประชิดคนละฟากคลองแต่หาได้รบกันไม่ พม่าเลิกทัพกลับไปเสีย

บริเวณที่พม่าตั้งค่ายเรียกว่าทุ่งค่ายอยู่ในแขวงเมืองนครฯ

พระยาพัทลุงคางเหล็กเลิกทัพแล้วกลับไปเฝ้าวังหน้าที่สงขลา กราบทูลความชอบพระมหาช่วยจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระมหาช่วยลาอุปสมบท

แล้วให้เป็นพระยาทุกขราษฎร์ ผู้ช่วยราชการเมืองพัทลุง

ครั้งนั้นพระยาจะนะ (เณร หรืออินท์) น้องชายของพระยาพัทลุงคางเหล็กคิดมิชอบ ลอบมีหนังสือถึงพม่าข้าศึก วังหน้าโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพัทลุงผู้พี่เป็นตุลาการ ชำระเป็นสัตย์แล้วรับสั่งถามว่าจะควรประการใด

พระยาพัทลุงคางเหล็ก กราบทูลว่า ควรประหารชีวิตตามบทพระอัยการ จึงได้ประหารชีวิตพระยาจะนะ ตามคำตัดสินของพี่ชาย แล้วโปรดให้พระยาพัทลุงคางเหล็กเป็นแม่กอง คุมทัพเมืองพัทลุงและไพร่พลเมืองจะนะเป็นทัพเรือโดยเสด็จไปตีเมืองแขกปัตตานี

ครั้นตีเมืองปัตตานีได้ราบคาบแล้ววังหน้าก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ

พระยาพัทลุงคางเหล็กว่าราชการอยู่ 17 ปี จนถึง พ.ศ. 2332 ต้นสมัยรัชกาลที่ 1 ก็ถึงแก่อนิจกรรม จากนั้น ร.1 ก็โปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีไกรลาศ คนที่ไปจากเมืองกรุง (ครั้งพระเจ้าตากให้อยู่ช่วยราชการพระเจ้าหลานเธอ เจ้านราสุริยวงศ์ที่เมืองนครฯ แต่ก่อน) มาเป็นผู้ว่าราชการเมืองพัทลุง ตั้งเมืองที่บ้านลำปำ ตำบลศาลาโต๊ะวัด 2 ปี

พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า กรุงเทพมหานคร

ทายาทพระยาทพัทลุงคางเหล็ก

พระยาพัทลุงคางเหล็กไม่ได้มีแต่ลูกสาว หากมีลูกชายด้วย เช่น นายทองขาวต่อมาได้เป็นหลวงนายศักดิ์
และต่อมาได้เป็นพระยาแก้วโกรพพิชัย ผู้สำเร็จราชการเมืองพัทลุง

นายทองขาวเป็นผู้สร้างวัดวังอันงดงามมาก สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2359

อีกคนคือนายกล่อม ได้เป็นพระทิพกำแหงสงคราม

นอกนั้นพงศาวดารไม่ได้เขียนถึง ต้องดูจากหนังสือชื่อพงศาวดารและลำดับวงศ์สกุลเมืองพัทลุง ซึ่งเขียนโดย พระยาโสภณพัทลุงกุล (สว่าง ณ พัทลุง -ลูกของพระยาพัทลุง-ทองขาว) บอกว่าพระยาพัทลุงคางเหล็กมีลูกทั้งหมด 9 คน คือ ทองขาว, ชื่อนาง -เป็นผู้หญิง, เจ้าจอมมารดากลิ่น ใน ร.1, นายกล่อม, เจ้าจอมมารดาฉิม ใน ร.1, นายด่อน, นายชู, บุญศรี (หญิง) และบุญไทย (หญิง)

ปิดท้ายประวัติพระยาพัทลุงขุนที่ ช.พ. หรือ ชัยวุฒิ พิยะกูล เขียนในสารานุกรมเล่ม 6 น. 2448 มีพิสดารออกไปว่า

นายขุนเกิดสมัยอยุธยาตอนปลายไม่ทราบปี หนังสือประชุมพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ของ พระยาอนุชิต (อนุชิตอะไรไม่บอก-มีคนบอกว่าเป็นนามแฝงยุค 2490) กล่าวว่านายขุนมีเพื่อนสนิท 2 คน คือนายสินหรือพระเจ้าตากสินกับนายทองด้วงหรือ ร.1 ทั้ง 3 คนรักใคร่กันมาก ครั้งหนึ่งนายขุนตีไก่กับนายสินเกิดวิวาทชกต่อยกัน

นายขุนพูดชมเชยแกมประชดว่า ไอ้ไก่เจ๊กนี้ก็ดีจริงเหมือนกันนะ รอดหม้อแกงไปได้

นายสินตอบด้วยความโมโหว่า ไม่ดีก็ไม่เอามาวะใกล้เสมอกันคนยังไม่เสมอกันกูอยากจะลองฝีมือกับไอ้ชาติแขกสุหนี่สักหน่อย

นายขุนบันดาลโทสะร้องว่า กูก็อยากจะลองฝีมือกับไอ้เจ๊กไหหลำบ้างเหมือนกัน

ขาดคำทั้งคู่ก็กระโจนเข้าชกปากกัน ขุนศรีคงยศ (มั่ง) ผู้เป็นนายบ่อนไก่จะห้ามปรามสักเท่าใดก็ไม่ฟัง ต้องใช้คนไปตามนายทองด้วงมาห้าม จึงได้เลิกยกแล้วดีกันในวันนั้นเอง

ประวัติอันนี้ฟังดูทะแม่งๆ ไม่รู้พระยาอนุชิตไปเอาหลักฐานมาจากไหน ดูในพงศาวดารกระซิบก็ยังไม่พบ เอามาลงไว้เพื่อให้รู้ว่ามีคนเคยเขียนอะไรพิสดารไว้อย่างนี้

ข้อความนอกนั้นก็เป็นอย่างที่มีในพงศาวดารเมืองพัทลุง

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่ 


หมายเหตุ : คัดเนื้อหาและเรียบเรียงจากบทความ “คางเหล็ก + คางเหลือง” เขียนโดย เอนก นาวิกมูล ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับกุมภาพันธ์ 2562


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 5 มีนาคม 2564