“เจ้าจอมแว่น” พระสนมที่พระมเหสีร.1 ทรงหึงขั้นดักตีหัว-ผู้ประดิษฐ์ขนมไข่เหี้ยถวาย

พระบรมสาทิสลักษณ์รัชกาลที่ ๑

เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ทรงรับ “เจ้าจอมแว่น” เป็นข้าบาทบริจาริกา ช่วงที่ไปตีเมืองเวียงจันท์ ถือเป็นอีกหนึ่งพระสนมหรือเจ้าจอมที่ต้องรับมือกับความหึงของเอกภรรยา “คุณหญิง” ที่ถึงขั้นดักตีศีรษะด้วยดุ้มแสม

เจ้าจอมแว่นอาจไม่ได้เป็นผู้มีความงามต้องตามพระเนตร แต่กลับเป็นพระสนมที่ทรงโปรดปรานและเกรงพระทัยมากอีกคนหนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเจ้าจอมแว่นเป็นสนมเอก และโปรดให้รับใช้ใกล้ชิด เรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบข้างทั้งในบรรยากาศความหึงของท่านผู้หญิงนาค ซึ่งภายหลังโปรดสถาปนาเป็น สมเด็จพระอมรินทรามาตย์ เอกภรรยา หรือชีวประวัติของเจ้าจอมแว่นสามารถสะท้อนพระราชอัธยาศัยและน้ำพระทัยของพระพุทธยอดฟ้าฯ ได้

เจ้าจอมแว่นเป็นธิดาขุนนางแห่งนครเวียงจันท์ เมื่อปี พ.ศ. 2321 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแต่ครั้งยังเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพหลวงไปตีเวียงจันท์ คราเดียวกับอัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรและพระบางมาจากเวียงจันท์เข้ามาถวายสมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงรับเจ้าจอมแว่นมาเป็นข้าบาทบริจาริกาด้วย

ครั้นเข้าสู่บารมีแล้ว เจ้าจอมแว่นต้องเผชิญกับพระมเหสีที่มีคำเปรียบเทียบว่า “มเหสีขี้หึงเหมือนหนึ่งเสือ” หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนถึงเรื่องเจ้าจอมแว่นไว้ในหนังสือเรื่อง “โครงกระดูกในตู้” เล่าเรื่องราวเมื่อครั้งเจ้าจอมแว่นเข้ามาอยู่ในทำเนียบสมเด็จพระยาฯ แล้ว “ท่านผู้หญิง” ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหึงหวง มีปากเสียงกับสมเด็จเจ้าพระยาฯ ด้วยเรื่อง “คุณแว่น” นี้บ่อยครั้ง เนื้อหาในหนังสือตอนหนึ่งระบุว่า

“คืนวันหนึ่งท่านผู้หญิงถือดุ้นแสมไปยืนคอยดักอยู่ในที่มืด บนนอกชานเรือน พอคุณแว่นเดินออกมาจากเรือนหลังใหญ่อันเป็นที่อยู่ของสมเด็จเจ้าพระยาฯ ท่านผู้หญิงก็เอาดุ้นแสมตีหัว คุณแว่นก็ร้องขึ้นว่า ‘เจ้าคุณขา คุณหญิงตีหัวดิฉัน’

สมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็โกรธยิ่งนัก ฉวยได้ดาบจากเรือนจะมาฟันท่านผู้หญิง ฝ่ายท่านผู้หญิงก็วิ่งเข้าเรือนที่ท่านอยู่แล้วปิดประตูลั่นดานไว้ สมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็เอาดาบฟันประตูอยู่โครมๆ…”

ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย ผู้เขียนหนังสือ “ลูกท่านหลานเธอ ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในราชสำนัก” เชื่อว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ “ครั้งที่สุด” ที่คุณหญิงแสดงออกซึ่งความหึงหวงจากกรณีเจ้าจอมแว่น ต่อจากนั้นท่านผู้หญิงไม่ได้อยู่ร่วมกับสมเด็จเจ้าพระยาฯ อีกเลยตราบจนสวรรคต

หลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติแล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเจ้าจอมแว่นเป็นพระสนมเอก ทำให้ท่านมีโอกาสรับใช้ใกล้ชิด ซึ่งตามการบอกเล่าของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าถึงเรื่องราวเจ้าจอมแว่นว่า “เมื่อเสวยราชย์ก็ได้เป็นพระสนมเอกอยู่กับพระองค์ และอาจเพ็จทูลได้ผิดกับพระสนมคนอื่น…”

คนในวังเรียกเจ้าจอมแว่นที่เป็นสนมเอกว่า “เจ้าคุณข้างใน” ส่วนพระเจ้าลูกยาเธอ และพระเจ้าลูกเธอ ให้สมญาเจ้าจอมแว่นว่า “คุณเสือ” เพราะความเข้มงวดและเคร่งครัดในระเบียบวินัย

แม้ว่าจะเคร่งครัดในเรื่องระเบียบจนพระเจ้าลูกเธอที่ทรงพระเยาว์ขึ้นเฝ้าพากันกลัวเกรง แต่ถือได้ว่าเจ้าจอมแว่นมีความภักดีอย่างจริงใจ ผู้คนยำเกรงและนับถือ ที่สำคัญยังให้ความช่วยเหลือทั้งพระเจ้าลูกเธอ และพระเจ้าลูกยาเธอในยามที่แต่ละพระองค์ต้องการอย่างจริงใจ

เจ้าจอมแว่นเป็นผู้ใช้ศิลปะและความกล้าในการเพ็ดทูลต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงมีความรักต่อเจ้าฟ้าหญิงบุญรอด ซึ่งต่อมาดำรงพระอิสริยศเป็นสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ขณะที่ทั้งสองพระองค์ไม่กล้ากราบทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (อ่านเพิ่มเติม ขัติยราชปฏิพัทธ รักเร้นของรัชกาลที่ ๒)

ด้วยความกล้าและศิลปะในการเพ็ดทูลเรื่องที่เห็นว่าสมควรและถูกต้อง เจ้าจอมแว่นจะกราบทูลโดยไม่ได้เกรงกลัวพระราชอาญา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงตระหนักถึงความภักดีและสุจริตใจของเจ้าจอมแว่นจึงไม่ทรงพิโรธ หากไม่เห็นด้วยจะทรงพระราชทานคำอธิบายเหตุผล

เจ้าจอมแว่นยังเป็นผู้กราบทูลครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีรับสั่งให้ทำพระโกศทองใหญ่เพื่อทรงพระศพสมเด็จพระพี่นางทั้งสองพระองค์ และมีรับสั่งให้เชิญพระโกศเข้ามาตั้งถวายให้ทอดพระเนตร ขณะที่ไม่มีผู้ใดกล้ากราบทูล เจ้าจอมแว่นกราบทูลทัดทานว่า น่ากลัวและเป็นลาง เมื่อเห็นพระโกศแล้วจะร้องไห้ล่วงหน้าเสียก่อน

ศันสนีย์ อธิบายว่า นอกจากความกล้าและศิลปะการเพ็ดทูลแล้ว คุณสมบัติพิเศษของเจ้าจอมแว่นอีกประการคือฝีมือการทำอาหาร โดยเจ้าจอมแว่นเป็นผู้คิดประดิษฐ์ “ขนมไข่เหี้ย” ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเมื่อมีพระราชประสงค์จะเสวย “ไข่เหี้ย” ที่คนโบราณนิยมรับประทานกับมังคุด แต่หายาก เจ้าจอมแว่นจึงประดิษฐ์ขนมไข่เหี้ยขึ้นแทนและเป็นที่พอพระทัย ขนมยังมีให้หารับประทานกันได้บ้างในปัจจุบัน

เจ้าจอมแว่นถือได้ว่าเป็นพระสนมที่รุ่งเรืองอย่างมากในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หลังสิ้นรัชกาล เจ้าจอมแว่นออกจากพระบรมมหาราชวังไปอยู่กับพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี พระราชธิดาพระองค์หนึ่งในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เนื่องจากทรงมีเชื้อสายเวียงจันท์เช่นเดียวกัน

เป็นที่น่าเสียที่เจ้าจอมแว่นไม่มีพระราชโอรสหรือพระธิดา และถึงแก่อสัญกรรมในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ไม่ปรากฏวัน เดือน ปี ที่ชัดเจน



อ้างอิง:

ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย. ลูกท่านหลานเธอ ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในราชสำนัก. กรุงเทพฯ : มติชน, 2550


เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ เมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2561