หนึ่งประเทศ สองระบบ กับ “ระบบปฏิทิน” หลายแบบที่ราชการไทยเคยใช้มาในอดีต

บางส่วนของ “เทวประติทิน พระพุทธศักราช 2462” สร้างตามปฏิทินปรับเปรียบของพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 อธิบาย “ปฏิทิน” ว่า “น. แบบสำหรับดูวัน เดือน ปี”  แต่การเลือกใช้ปฏิทินก็ยังมีรายละเอียดย่อยๆ เฉพาะบุคคลตามพื้นฐานทางวัฒนธรรม เช่น บ้างต้องการแบบที่มีข้างขึ้นข้างแรม จะได้ทราบว่าวันใดวันพระ บ้างต้องการแบบที่มีวันพระจีนและเทศกาลจีนต่างๆ ฯลฯ

แต่ที่ วิภัส เลิศรัตนรังษี เขียนไว้ในบทความ เวลาอย่างใหม่’ กับการสร้างระบบราชการในสมัยรัชกาลที่ 5” ปฏิทินไม่ใช่แค่รายละเอียดเล็กๆ ที่พูดถึงกันไป ซึ่งเราคัดย่อมาเพียงบางส่วนให้ได้ดูกันดังนี้ [จัดย่อหน้าใหม่ และสั่งเน้นคำเพิ่ม – โดยผู้เขียน]


หาก “ปฏิทิน” เป็นเครื่องกำกับจังหวะของกิจกรรมส่วนรวมตลอดจนรับประกันความสม่ำเสมอให้กับกิจกรรมต่างๆ เสมอมา รัฐกับสังคมสยามก็ย่อมจะเคยมีจังหวะเวลาและ “อยู่ร่วมเวลาเดียวกัน” ด้วยปฏิทินจันทรคติมาอย่างยาวนานก่อนที่จะเริ่มแบ่งแยกจากกันในปี พ.ศ.2432

ในทุกปีเมื่อถึงพระราชพิธีสงกรานต์ พระโหราธิบดีจะเป็นผู้ถวายปฏิทินฉบับใหม่ให้ทรงประกาศใช้ทั่วพระราชอาณาจักร เพราะหน้าที่อย่างน้อยที่สุดของปฏิทินคือการกำหนดกรอบเวลาของทั้งพระราชอาณาจักร ให้มีทิศทางเดียวกันอย่างหลวมๆ และยังเป็นเครื่องมือที่รัฐจะนำไปใช้ควบคุมกิจกรรมของสังคมด้วย

ดังจะเห็นได้จากการใช้อำนาจบังคับผ่านกำหนดเวลาเกณฑ์ไพร่ การใช้อำนาจพิธีกรรมผ่านวันสำคัญทางศาสนาและพระราชพิธี และการใช้อำนาจทางเศรษฐกิจผ่านกำหนดวันเพาะปลูก เก็บเกี่ยว ส่งส่วยภาษี หรือค้าสำเภา เมื่อปฏิทินมีความสำคัญยิ่งยวดเช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมรัฐต้องคอยกำชับกำชา องค์กรคณะสงฆ์ที่มีหน้าที่กำกับเวลาของสังคมว่าอย่าปล่อยให้คลาดเคลื่อนได้

แต่การที่ทั้งพระราชอาณาจักรจะใช้ปฏิทินระบบเดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องกำหนดวันหรือเดือน ให้ตรงกันเสมอไป การเหลื่อมกันของวันตามปฏิทินกับการสังเกตดวงจันทร์ของแต่ละพื้นที่เป็นเรื่องปกติอย่างมาก ความคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยเช่นวันเพ็ญหรือวันดับที่ไม่ตรงกับปรากฏการณ์บนท้องฟ้าจริงๆ ยังเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในสมัยนั้น

หากมีความคลาดเคลื่อนกันมากๆ ผู้สร้างปฏิทินก็จะชดเชยวันเดือนที่คลาดเคลื่อนนั้นด้วยการเพิ่มเดือน 8 เข้าไปอีกหน และเรียกปีที่มี 13เดือนนั้นว่า “อธิกมาส” หากไม่ตกลงกันให้เป็นที่แน่นอนว่าจะชดเชยกันเมื่อใด ปฏิทินที่ใช้ก็จะคลาดเคลื่อนจากฤดูกาลจริง ทำให้เข้าพรรษาอาจจะไม่ตรงกับฤดูฝน เริ่มเพาะปลูกแล้วแต่ฝนไม่ตก หรือน้ำท่วมเสียก่อนจะต้องเก็บเกี่ยว ความวิปริตอันเกิดจากปฏิทินที่คลาดเคลื่อนจากฤดูกาลนี้ ดูจะสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ราษฎรลุกขึ้นต่อต้านพระเจ้าแผ่นดินอยู่ไม่น้อย เพราะในยุคสมัยดังกล่าวความเข้าใจเรื่องฤดูกาลหรือดินฟ้าอากาศ มักจะเป็นไปตามอาการของพระเจ้าแผ่นดินประพฤติ

ครั้นถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4, ครองราชย์ พ.ศ.2394-2411) พระองค์ต้องการจะทำให้ทั้งพระราชอาณาจักร “อยู่ร่วมเวลาเดียวกัน” ให้ได้มากที่สุด จึงปรากฏความพยายามของรัฐที่จะกำกับสังคมให้ทำกิจกรรมต่างๆ โดยพร้อมเพรียงกันผ่าน “ประกาศสงกรานต์” ที่ได้เริ่มต้นขึ้นในรัชสมัยนี้ ส่วนความคลาดเคลื่อนสะสมในปฏิทินที่ใช้อยู่ก็คงจะสร้างปัญหาให้รัฐอยู่ไม่น้อย

พระองค์ได้เสนอให้ใช้ปฏิทินระบบเกรกอเรียนที่แบ่งเดือนอย่างสม่ำเสมอมาแก้ปัญหาความคลาดเคลื่อนจากฤดูกาลจริง แต่หลังจากทรงทดลองใช้อยู่ระยะหนึ่งแล้วก็พบว่าปฏิทินใหม่นี้ไม่สามารถสื่อสารกับสังคมได้อย่างที่คาดหวัง เพราะวิธีการแปลปฏิทินเกรกอเรียนมาเขียนในระบบสัญลักษณ์ของปฏิทินไทย กลับทำให้ผู้อ่านที่คุ้ยเคยกับปฏิทินไทยมาก่อนรู้สึกขัดแย้งกับสามัญสำนึกในทันทีว่า ปลายเดือนก็ไม่ได้กับวันดับ กลางเดือนก็ไม่ได้กับวันเพ็ญ

แต่อย่างไรก็ตาม การใช้งานปฏิทินของชาติอื่นๆ ในทางราชการแล้วกลับไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เราอาจกล่าวได้ว่ารัฐเลือกที่จะใช้ปฏิทินแต่ละฉบับให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่ต้องทำโดยเสมอก็ได้ ดังจะเห็นได้จากการใช้ ปฏิทินจีน สำหรับดูวันเดือนเพื่อบอกฤดูลมข้างจีน ดังที่เคยมีรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3, ครองราชย์ พ.ศ.2367-2394) ให้เคลื่อนกองทัพเรือจากกรุงเทพฯ ไปยังสงขลานอกฤดูลมเอาไว้ว่า ออกไปเถิด รดูนี้ก็ยังเปนรดูลมสะดวกดอก คิดดูเปนรดูล่าไม่เหมือนทุกปี ปีนี้ข้างจีนเดือน 8 สองหน ถ้าจะคิดตามเดือน 8 สองหนแล้ว เดือนสี่ก็เปนเดือนสาม ถูกกับรดูลม ดูเลือกแม่ทัพนายกองออกไปเถิด

ส่วนกรมกองราชการต่างๆ ก็ย่อมจะต้องมีปฏิทินฉบับอื่นๆ สำหรับการแปลหรือเทียบวันเดือนในใบบอกให้เป็นเวลาของกรุงเทพฯ เช่น กรมมหาดไทยก็ต้องมี “ปฏิทินเหนือ สำหรับแปลงเวลาจากหัวเมืองล้านนาและล้านช้าง กรมพระกลาโหมก็ต้องมี ปฏิทินแขก สำหรับแปลงเวลาของหัวเมืองแขกมลายู ส่วนกรมท่าอาจจะมีหลายฉบับกว่ากรมอื่น คือต้องมีทั้ง “ปฏิทินจีน” “ปฏิทินแขก” และ ปฏิทินยุโรป เพราะต้องใช้ในการติดต่อค้าขายและการทูตเป็นประจำ

ครั้นมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 การตั้งหน่วยงานตรวจสอบบัญชีหรือ “ออดิตออฟฟิศ” และ “กรมพระคลังมหาสมบัติ” ตอนต้นรัชกาลก็ยังใช้ระบบจันทรคติอยู่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการทำสมุดบัญชีที่กฎหมายเรียกว่า ปฏิทิน สำหรับจดบาญชีตรางเดือนกำหนดเงิน ให้ทราบว่าจะต้องใช้ในการข้างน่า มีความว่าวันนั้นจะต้องใช้เงินให้แก่ผู้นั้นเท่านั้น

แนวคิดของ “สมุดปฏิทิน” ที่ว่านี้มาจากรากศัพท์ของคำว่า Calendar ของตะวันตกมากกว่าจะเป็นรากศัพท์ของคำว่าปฏิทินที่ภาษาไทยนำมาใช้อย่างชัดเจน เพราะคำว่าปฏิทินที่ใช้ในภาษาไทยมาจาก “ปรติทิน” ที่แปลว่า เฉพาะวัน สำหรับวัน แต่คำว่าปฏิทินในภาษาอังกฤษมาจากรากศัพท์ภาษาละตินที่ว่า Calendarium ที่แปลว่า Account Book หรือสมุดบัญชี เพราะจุดกำเนิดของปฏิทินและการทำบัญชีของชาวตะวันตกเป็นสิ่งเดียวกันมาก่อน๒๑

ความโดดเด่นของระบบจันทรคติยังสะท้อนออกมาในข้อกำหนดวิธีการส่งเงินภาษีอากร ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระองค์จะไม่เรียกเก็บเงินเพิ่มอีกหนึ่งเดือนในปีที่เป็นอธิกมาส พระราชทานยกเดือนอธิกมาสในจำนวนปีมเมียสัมเรทธิศกนี้ให้เดือนหนึ่ง แต่เมื่อการปฏิรูปการเงินการคลังเกิดขึ้นแล้ว รัฐบาลของรัชกาลที่ 5 ได้ยกเลิกนโยบายดังกล่าว ถ้าปีใดเป็นอธิคะมาตก็ให้เจ้าภาษีบวกเงินอากรทูลเกล้าถวายขึ้นอีกเดือนหนึ่ง   ทั้งยังกำหนดให้ต้องส่งเงินภาษีอย่างเคร่งครัดทุกๆ เดือนแทนการจ่ายเป็นงวด ส่วนการทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีก็ยังไม่ได้บังคับทุกหน่วยงาน บังคับใช้ได้แต่กรมใหม่ๆ ที่เพิ่งตั้งขึ้นเท่านั้น เช่น กรมไปรษณีย์ กรมโทรเลข กรมแผนที่ กรมทหารหน้า เป็นต้น

แม้ว่าการเพิ่มเดือนในปีอธิกมาสจะทำให้รัฐเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ก็จะตามมาด้วยการจ่ายเงินเดือนเพิ่มอีกเช่นกัน

เพราะแนวคิดตั้งต้นที่จะสร้างระบบราชการสมัยใหม่ คือการทำให้ข้าราชการไม่เป็นอิสระจากรัฐด้วยเงินเดือน หากรัฐบาลยืนกรานที่จะใช้ระบบจันทรคติต่อไปเช่นนี้ ก็หมายความว่าทุกๆ 19 ปี ก็จะต้องจ่ายเงินเดือนเพิ่มอีก 7 เดือนตามรอบการชดเชยปฏิทิน การตระหนักได้ถึงปัญหานี้ทำให้รัฐบาลเมจิตัดสินใจยกเลิกปฏิทินจันทรคติทั้งของรัฐและสังคมพร้อมกัน โดยมั่นใจว่าจะเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จภายใน 3 ปีอีกด้วย

แต่ในกรณีของสยามนั้นไม่พบว่ามีการพูดถึงประเด็นนี้ การจ่ายเงินเดือนของข้าราชการกรมไปรษณีย์และกรมโทรเลขก็ยังใช้ปฏิทินจันทรคติมาตั้งแต่ต้น จนกระทั่ง 4 เดือนสุดท้ายก่อนสิ้นปี พ.ศ. 2431 ซึ่งจะตรงกับวันที่ 1 มกราคมของปฏิทินยุโรป กรมไปรษณีย์จึงได้มีคำสั่งให้เจ้าเมืองต่างๆ จ่ายเงินเดือนเจ้าพนักงานไปรษณีย์ด้วยปฏิทินยุโรปที่ส่งไปให้ คำสั่งนี้เกิดขึ้นหลังจากทรงแถลงพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดินไปเพียง 8 เดือนเท่านั้น และความรีบร้อนที่จะประกาศใช้ยังเห็นได้จากการใช้ปฏิทินยุโรปที่ทับศัพท์ไปพลางก่อนด้วย

แน่นอนว่ารัฐบาลคงจะไม่ได้ใช้เวลาแค่ 4 เดือนนั้นคิดการเปลี่ยนปฏิทิน ดังจะเห็นได้ต่อไปข้างหน้าว่ามีการเตรียมการดังกล่าวมาเป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว แต่การรับรู้นี้ยังจำกัดในหมู่ชนชั้นนำในกรุงเทพฯ เท่านั้น แกนนำคนสำคัญที่ดำเนินการอย่างลับๆ คือพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ ที่มีผลงานเกี่ยวกับปฏิทินมาตั้งแต่พระชนมายุ 18 พรรษา กล่าวคือ ในปี .. 2491 พระองค์ได้เผยแพร่ปฏิทินยุโรปลงหนังสือข่าวราชการเป็นครั้งแรกปีต่อมา ทรงสร้างปฏิทินเทียบวันเดือนอย่างไทยและวันฝรั่งอย่างนิวสะไตล์” (ระบบเกรกอเรียน) ลงในหนังสือมิวเซียม ฤา รัตนโกษ ปี พ.ศ.2422 (เป็นอย่างช้า) ทรงทำตารางเทียบปฏิทินไทยและยุโรปสำหรับใช้จดพระราชกิจรายวัน ปีต่อมามีพระบรมราชโองการให้ยกเลิกออดิตออฟฟิศและโอนงานตรวจบัญชีไปอยู่กรมบาญชีกลาง พระองค์ก็ย้ายไปรับตำแหน่งราชเลขานุการฝ่ายต่างประเทศพร้อมทั้งดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกรมบัญชีกลางด้วย

จากภาระงานทั้งสองตำแหน่งนี้เองกระมังที่ทำให้พระเจ้าน้องยาเธอพระองค์นี้ต้องคลุกคลีอยู่กับการใช้ปฏิทินไทยและปฏิทินยุโรปอยู่เป็นนิจ จนนำไปสู่การศึกษาเปรียบเทียบปฏิทินระบบต่างๆ และหลังจากสมเด็จเจ้าพระยาฯ ถึงแก่พิราลัยไปเพียง 7 วัน พระองค์ก็บันทึกว่าได้เริ่มสร้างตารางปรับเทียบปฏิทินไทยและยุโรปขึ้นแล้ว ซึ่งในวันเดียวกันนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) น้องชายของสมเด็จเจ้าพระยาฯ ว่าจะทรงยึดโรงภาษีกรมท่าเพื่อเริ่มการสะสางบัญชีภาษีที่คั่งค้างด้วย

การสร้างตารางปรับเทียบนี้จะแตกต่างจากการปรับเทียบที่ทรงเคยทำมาก่อนหน้าทั้งหมด (และรวมถึงการแปลปฏิทินของรัชกาลที่ 4) เพราะจะเป็นคู่มือสำหรับการสะสางปฏิทินที่ผู้ใช้งานจะสามารถเปรียบเทียบปฏิทินใหม่ (เกรกอเรียน) กับปฏิทินเก่า (จันทรคติ) ได้ภายในเวลาไม่กี่นาที โดยไม่ต้องมาเสียเวลาคำนวณให้ยุ่งยากอีก ผู้เขียนสันนิษฐานว่าตารางปรับเทียบนี้น่าจะเสร็จสมบูรณ์ก่อนที่พระองค์จะไปรับตำแหน่งเสนาบดีกรมท่าแทนเจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ ที่ลาออกในปี พ.ศ.2428 เพราะในปีรุ่งขึ้นพระองค์ได้เขียนคำอธิบายขนาดยาวถึงวิธีการใช้ตารางดังกล่าวลงในวชิรญาณวิเสศแล้ว

จะเห็นได้ว่าต้องใช้เวลากว่า 1 ทศวรรษในการแปลระบบเกรกอเรียนเข้ามาใช้ แต่ก็ยังมีปริศนาอยู่ว่าทำไมต้องรอจนถึงปี พ.ศ.2432 ถึงจะประกาศอย่างเป็นทางการ ความเป็นไปได้ที่สุดก็คือการรอคอยเวลาที่เหมาะสม เพราะการปรับโครงสร้างการปกครองในปี พ.ศ.2431 ยังเป็นเพียงคณะเสนาบดีชุดทดลองที่การบริหารราชการจริงๆ ยังอยู่ในมือเสนาบดีจตุสดมภ์ตามเดิม แต่การเปลี่ยนปฏิทินนั้นแตกต่างออกไป เพราะถูกนำไปใช้งานจริงในทันทีที่ประกาศ และในปี ร.ศ.108 (พ.ศ.2432) นี้เอง ยังเป็นปีแรกที่ราษฎรที่เกิดในรัชกาลของพระองค์จะบรรลุนิติภาวะ (21 ปี) ซึ่งรวมไปถึงลูกทาสที่จะปลดตัวเองเป็นไพร่กลุ่มแรกด้วย ผู้เขียนจึงคิดว่าน่าสนใจไม่น้อย ถ้าหากการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างที่จะเริ่มขึ้นในปีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ

หลังจากประกาศใช้ปฏิทินใหม่ไปแล้วครึ่งปี พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรประการ ก็ตีพิมพ์คำอธิบายการใช้ปฏิทินดังกล่าวลงในหนังสือ ประติทินบัตรแลจดหมายเหตุ โดยใช้คำอธิบายที่เข้าใจง่ายกว่าที่เคยมีการตีพิมพ์ในที่ใดๆ มาก่อน เพราะพระองค์ต้องการจะเผยแพร่ให้ราษฎรนอกพระนครได้รับทราบ ภายหลังมีการเรียกปฏิทินใหม่นี้อย่างลำลองว่า “เทวะประติทิน” ตามพระนามของผู้สร้าง

“เทวประติทิน พระพุทธศักราช 2462”

ส่วนการเปลี่ยนมาใช้ปฏิทินใหม่ตามหัวเมือง จากการสำรวจใบบอกแล้วพบว่าต้องใช้เวลาถึง 1 ปีเต็มจึงจะเปลี่ยนได้ทั่วพระราชอาณาจักร

โดยสรุปแล้ว ประกาศ “ให้ใช้วันอย่างใหม่” ได้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการเปลี่ยนแปลงถึง 4 ประการในเวลาต่อมาคือ

1. ทำให้ระบบราชการอยู่ร่วมเวลาเดียวกัน หัวเมืองประเทศราชที่เคยใช้ปฏิทินของตัวเองก็ต้องเปลี่ยนมาใช้ปฏิทินของกรุงเทพฯ จึงกล่าวได้ว่าประเทศราชเหล่านี้ถูกผนวก “เวลา” ไปก่อน “พื้นที่” เสียอีก

2. ทำให้สยามอยู่ร่วมเวลาเดียวกับคนอื่น (“แลรู้ทั่วไปในประชุมชนโลกย์นี้ได้มาก”) ซึ่งคนอื่นในที่นี้หมายถึงชาติในยุโรปเพราะใช้ระบบเกรกอเรียนเป็นพื้นฐานเหมือนกัน

3. แก้ปัญหาการทำบัญชีรายรับรายจ่ายของรัฐบาล โดยแยกการสะสางภาษีและบัญชีตามปฏิทินเก่าออกไปจาก พรบ.วิธีงบประมาณแผ่นดินฉบับใหม่ ที่จะประกาศใช้ในปีต่อมา

4. แยกเวลาของรัฐออกจากสังคม นั่นคือปฏิทินใหม่จะบังคับใช้เฉพาะระบบราชการเท่านั้น ส่วนปฏิทินเก่าจะยังคงควบคุมเวลาของศาสนจักรและสังคมตามเดิมต่อไป


ข้อมูลจาก

วิภัส เลิศรัตนรังษี. “ ‘เวลาอย่างใหม่’ กับการสร้างระบบราชการในสมัยรัชกาลที่ 5”, ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน 2563.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 18 มกราคม 2564