เปิดคำให้การถูกลักพาตัวขึ้นยานต่างดาวยุคแรก หนุ่มบราซิลอ้าง มีเพศสัมพันธ์กับเอเลี่ยน

มนุษย์ต่างดาว เอเลี่ยน UFO
ภาพวิดีโอจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา เผยแพร่ในวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2020 แสดงให้เห็นส่วนหนึ่งของภาพวัตถุที่ไม่สามารถระบุได้ ซึ่งถ่ายโดยนักบินของกองทัพเรือ (Photo by Handout / DoD / AFP)

การบอกเล่าเรื่องการพบเห็น “เอเลี่ยน” มนุษย์ต่างดาว และ “ยานอวกาศต่างดาว” (หรือที่นิยมเรียกกันว่า UFO-Unidentified Flying Object) ปรากฏในบันทึกมากมาย แต่เรื่องที่มีเนื้อหาน่าตื่นเต้นมากเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งปรากฏสู่สาธารณะเป็นเรื่องแรกๆ คือเรื่องของ อันโตนิโอ วิลลาส-โบแอส (Antônio Villas-Boas) หนุ่มบราซิล ที่อ้างว่า ถูกจับขึ้นไปบนยานอวกาศต่างดาว และมีเพศสัมพันธ์กับ เอเลี่ยน หญิงสาวอีกด้วย โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1957 (พ.ศ. 2500)

ช่วงนั้น โบแอสอายุ 23 ปี มีอาชีพทำนา อาศัยอยู่กับครอบครัวในอำเภอซาโอ ฟรานซิสโก เดอ ซาลเลส ในจังหวัดมินาส เดอราอิส ประเทศบราซิล ครั้งแรกที่เขาพบเห็น UFO นั้น เขาเห็นเป็นแสงสีขาวนวลประหลาด พบเมื่อเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ของวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2500

Advertisement

“…คืนนั้นอากาศค่อนข้างร้อน ผมจึงเปิดหน้าต่างซึ่งมองออกไปเห็นคอกปศุสัตว์ของเราเอง ทันใดนั้น ผมก็ได้เห็นอะไรบางอย่างขาวนวลเหมือนแสงไฟนีออนสว่างกว่าแสงจันทร์สาดไปทั่วบริเวณนั้น แสงนั้นสว่างจริง ๆ ครับ ผมไม่รู้ว่ามันมาจากไหนกัน คล้าย ๆ กับมันมาจากที่สูง…”

โบแอสพยายามปลุกน้องชายมาดูแสงประหลาดนั้น แต่น้องชายแนะนำให้เขานอนเสีย เขาจึงปิดหน้าต่างและล้มตัวลงนอน แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ครู่หนึ่งก็ลุกมาเปิดหน้าต่างดูอีกครั้ง แสงสีขาวนวลยังปรากฏอยู่อย่างเดิม ไม่นานแสงนั้นก็เคลื่อนตัวช้า ๆ มาจับที่หน้าต่าง โบแอสตกใจรีบปิดหน้าต่างจนเกิดเสียงดังทำให้น้องชายตกใจตื่น ทั้งสองคนมองเห็นแสงสาดผ่านรอยแตกของฝาห้องเข้ามาจนทำให้ห้องสว่างไสว ครู่หนึ่งแสงนั้นก็หายไปและไม่กลับมาตลอดทั้งคืน

อันโตนิโอ วิลลาส-โบแอส เผชิญ UFO

ต่อมา วันที่ 14 เดือนเดียวกัน เวลาประมาณ 4 ทุ่ม อันโตนิโอ วิลลาส-โบแอส กับน้องชายออกไปไถนา (ปกติตอนเช้าจะจ้างคนงานมาไถนา เวลาดึกเขาจะเป็นคนไถนาเอง เพื่อเลี่ยงความร้อน) ก็ได้พบแสงประหลาดนั้นอีกครั้งหนึ่ง โบแอสพยายามวิ่งตามไปดู แต่แสงนั้นก็วิ่งไปกลับมาหลายสิบครั้ง “…คราวนี้ดูเหมือนจะสาดส่องไปทั่วทุกทิศ ดูคล้ายแสงอาทิตย์กำลังตก แต่มีแสงวาววับตลอดเวลา อีกครู่หนึ่งก็หายไปในพริบตา… พอผมเบนสายตาไปที่อื่นสัก 2-3 วินาที กลับมาดูอีกทีมันก็หายไปเสียแล้ว…”

คืนวันต่อมา โบแอสออกไปไถนาคนเดียว และคราวนี้เขาก็ได้เห็น UFO อย่างชัดเจน ในตอนแรกเป็นจุดเล็ก ๆ บนท้องฟ้า เหมือนดาวดวงหนึ่ง กระทั่งแสงนั้นสว่างวาบขึ้นมาเหนือศีรษะของเขา ก่อนจะมาลงจอดไม่ห่างจากเขามากนัก โบแอสบรรยายลักษณะยานอวกาศต่างดาวนี้ว่า

“รูปร่างของมันประหลาดมาก มองดูกลม ๆ และล้อมรอบด้วยไฟสีม่วง ตอนที่เป็นด้านหน้า มีไฟสีแดงพุ่งออกมา จนทำให้ตาผมพร่าไปหมด เมื่อเห็นชัดขึ้นอีกผมก็พบว่าเจ้าสิ่งบินประหลาดนี้มองดูคล้าย ๆ กับรูปไข่ยาว ๆ มีเดือยโลหะ 3 อันอยู่ตอนหน้า คือตรงกลางอันหนึ่งและข้าง ๆ อีกสองอัน เดือยโลหะทั้ง 3 อันนี้ทื่อด้านหนึ่งและแหลมตอนปลาย สำหรับสีของวัตถุ ผมบอกไม่ถูกว่าเป็นสีอะไรแน่ เพราะมีแสงแบบแสงนีออนคลุมไว้หมด มองดูแดง ๆ ตอนบนของมันมีอะไรบางอย่างซึ่งหมุนด้วยความเร็วสูง และมีแสงนีออนสีแดงสดออกมาด้วย

แต่เมื่อยานนั้นลดความเร็วตอนกำลังร่อนลงสู่พื้นดิน แสงนั้นก็กลายเป็นสีเขียว ดังนั้น ผมจึงรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงของสีมีความสัมพันธ์กับความเร็วของอะไรก็ตามที่หมุน ๆ อยู่ เมื่อหมุนช้าลง ก็มองเห็นได้ว่ารูปร่างเหมือนจานกลม ๆ คล้ายรูปโดมทรงเตี้ย

แต่ผมก็บอกไม่ได้ว่ารูปลักษณะของมันจริง ๆ เป็นอย่างนั้น หรือเพราะมันหมุนจึงทำให้เป็นรูปอย่างนั้น ทั้งนี้เพราะผมไม่เห็นมันหยุดหมุนเลย แม้กระทั่งเมื่อเจ้าสิ่งบินได้ร่อนลงสู่พื้นดินเรียบร้อยแล้วก็ตาม… เมื่อต่อมาผมเห็นโลหะลักษณะเป็นสามขาเลื่อนลงมาจากใต้ท้องยานประหลาดนั้น ขณะที่กำลังลอยอยู่เหนือพื้นดินสัก 2-3 เมตร ผมก็แทบสิ้นสติ ขาซึ่งทำด้วยโลหะบางชนิดนั้น เห็นได้ชัดว่ามีไว้เพื่อรองรังสิ่งบินเมื่อลงสู่พื้น…”

จากนั้น “เอเลี่ยน” มนุษย์ต่างดาว ร่างเล็ก สูงแค่ไหล่ของโบแอส (เขาสูง 164 เซนติเมตร) แต่งกายประหลาด ก็มาจับเขาไป ทั้งสองยื้อยุดฉุดกระชากกันครู่หนึ่ง ก่อนที่เอเลี่ยนอีก 3 คนจะมารุมจับเขาขึ้นไปบนยาวอวกาศต่างดาวสำเร็จ

เอเลี่ยน จากมุมมองมนุษย์โลก

อันโตนิโอ วิลลาส-โบแอส หนุ่มบราซิล อธิบายลักษณะภายนอกของ “เอเลี่ยน” ไว้ว่า

“…ผมไม่มีความรู้เลยว่า ‘มนุษย์’ ทั้ง 5 ซึ่งผมได้พบนั้นมีหน้าตาหรือรูปร่างอย่างไร ทั้งนี้เพราะว่าทั้ง 5 อยู่ในเครื่องแต่งกายที่แนบเนื้อทำด้วยวัสดุที่นุ่ม แต่มีความหนามาก และสวมคลุมทั้งร่างกาย จนกระทั่งถึงคอ สำหรับศีรษะก็มีอะไรครอบปิดสนิท ทำด้วยวัสดุสีเทา ๆ ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร ที่ครอบศีรษะนั้นดูจะแข็ง ๆ อยู่ และยึดอยู่ด้วยแผ่นโลหะทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

แผ่นหนึ่งมีรูปสามเหลี่ยมอยู่ในระดับจมูก ที่ครอบศีรษะนี้ปิดมิดชิด ทำให้ผมไม่สามารถเห็นส่วนใดของใบหน้าของผู้สวมใส่ ยกเว้นดวงตา ซึ่งมีกระจกวงกลม ๆ สองอันคล้ายแว่นตาธรรมดาปิดอยู่

ผมมองผ่านแว่นนั้นเข้าไปก็เห็นตา ซึ่งดูเหมือนจะเล็กกว่าตาของมนุษย์เรามาก แต่นั่นแหละครับ อาจจะเป็นเพราะอยู่หลังแว่นหนา ๆ คู่นั้นก็ได้ ทุก ๆ คนมีสีตาอ่อน อาจจะเป็นสีฟ้าก็ได้ แต่ผมก็ไม่แน่ใจอีก เหนือตาขึ้นไปมีสิ่งที่ครอบศีรษะอยู่ ดูสูงผิดส่วนคนธรรมดาสักสองเท่า ซึ่งอาจจะเป็นเพราะมีอะไรวางอยู่บนศีรษะผู้เป็นเจ้าของก็ได้ ซึ่งผมไม่อาจเห็นได้จากภายนอก

จากที่ครอบศีรษะตอนบน ปรากฏว่ามีสายสีเงิน ๆ ทำด้วยโลหะหรือยาง 3 สายโผล่ออกมา สายหนึ่งจากตอนกลาง อีกสองสายจากด้านซ้ายและด้านขวาของสิ่งที่ครอบศีรษะ สายทั้งสามนี้มีความยาวพอสมควรและงอไปทางด้านหลัง สายหนึ่งไปติดกับเครื่องแต่งกายตอนกระดูกสันหลัง อีกสายหนึ่งไปเชื่อมกับส่วนของหลังใกล้รักแร้ประมาณ 4 นิ้ว ผมมองไม่เห็นเครื่องมือหรือสิ่งอื่นใดผูกติดกับเครื่องแต่งกายอีกเลย

เครื่องแต่งกายส่วนแขนนั้นแนบสนิทติดกับเนื้อจนกระทั่งถึงข้อมือ และมีถุงมือ 5 นิ้วธรรมดา อย่างไรก็ตาม ผมสังเกตว่า ‘มนุษย์’ เหล่านี้ไม่สามารถจะกำมือของตนได้เต็มที่อย่างที่พวกเราทำกัน… ผมสันนิษฐานว่าเครื่องแต่งกายที่สวมอยู่นั้นคงเป็นเครื่องแบบสักอย่างหนึ่ง

เพราะที่หน้าอกของทุกคนมีตรากลม ๆ สีแดงขนาดแว่นสับปะรดติดอยู่ ซึ่งบางทีดูเป็นแสงวูบ ๆ แต่ก็ไม่ใช่แสงในตัวของมันเอง เป็นแสงสะท้อน เหมือนรถยนต์ถูกแสงสะท้อนจากรถที่อยู่ข้างหลัง ตรงกลางของเครื่องหมายที่หน้าอกนี้มีแถบสีเงิน ซึ่งต่อลงไปถึงเข็มขัดชนิดไม่มีหัว…

สำหรับส่วนล่างคือกางเกงแนบเนื้อเช่นกัน ไม่มีรอยพับหรือรอยย่นแต่อย่างใด ระหว่างปลายขากางเกงมีตะเข็บหรือรอยต่อ ซึ่งสันนิษฐานได้ว่ารองเท้าเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกาย รองเท้าก็แปลกไปจากของพวกเรา

คือนอกจากจะมีความหนาราว 2-3 นิ้วแล้ว ตอนหัวยังงอนขึ้นมาเสมือนรองเท้าเทวดาที่เห็นในรูปหนังสือนิทาน แต่นอกนั้นก็มีลักษณะคล้ายกับรองเท้ายางธรรมดา ผมรู้สึกว่าใส่กันอย่างหลวม ๆ แต่ก็ดูเคลื่อนไหวและเดินเหินได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย สําหรับส่วนสูงของคนพวกนี้ก็ไม่แตกต่างกับผมนัก และความจริงอาจจะเตี้ยกว่าผม เพราะที่ครอบศีรษะทำให้ดูสูงขึ้น…”

ส่วนการพูดคุยของเอเลี่ยน โบแอสเห็นว่า มีลักษณะคล้ายเสียงคำรามเหมือนเสียงสุนัข การสื่อสารไม่มีความคล้ายคลึงกับภาษาของมนุษย์แม้แต่น้อย เสียงที่เปล่งออกมานั้นคล้ายเสียงสัตว์ ไม่เร็ว ไม่สูงหรือต่ำมากนัก บางเสียงยาว บางเสียงสั้น บางครั้งมีหลายเสียงปะปนกันออกมาพร้อมกัน

ภาพถ่าย UFO ที่ New Jersey ในปี 1952

มีเซ็กซ์กับเอเลี่ยน

ต่อมา อันโตนิโอ วิลลาส-โบแอส ถูกเอเลี่ยนจับถอดเสื้อผ้า และถูกชโลมด้วยของเหลวสีเหมือนน้ำ แต่ข้นกว่า ปราศจากกลิ่นใด ๆ เมื่อสัมผัสกับผิวของเขากลับไม่ลื่นเป็นน้ำมัน และแห้งเร็วมาก จากนั้น เอเลี่ยนก็นำตัวโบแอสไปยังห้องหนึ่ง ซึ่งห้องนั้น เขาจะได้มีเพศสัมพันธ์กับเอเลี่ยนหญิงสาว

โบแอสรออยู่ในห้องนั้นครู่หนึ่ง กระทั่ง “…สิ่งที่ผมได้เห็น ทำให้ผมตกใจอย่างยิ่ง หญิงสาวสวยผู้หนึ่งเปิดประตู และเดินตรงเข้ามาหาผม การเคลื่อนไหวของเธอเป็นไปอย่างช้า ๆ นุ่มนวล ปราศจากความรีบร้อน และดูเหมือนเธอจะมีรอยขันอยู่บนใบหน้า เมื่อเห็นผมตกตะลึงเหมือนถูกสะกดจิต ผมเองนั้นจ้องดูเธอไม่วางตา ซึ่งก็ไม่เป็นสิ่งที่แปลกประหลาด เพราะหญิงสาวซึ่งอยู่ตรงหน้าผมนั้น ปราศจากอาภรณ์ใด ๆ ประดับกาย แม้กระทั่งรองเท้า ผมได้พบนางเปลือยจากอวกาศเข้าแล้ว

ผมต้องลงความเห็นว่าเธอเป็นคนสวย… ผมของเธอเป็นสีทองเกือบจะเป็นสีขาว มองดูอ่อนสลวย แต่ไม่หนาจนเกินไปและหวีแสกกลาง นัยน์ตาของเธอเป็นสีฟ้า มีลักษณะยาว ๆ มากกว่ากลม และชี้ตวัดขึ้นไปข้าง ๆ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันครับ เหมือนตาของผู้หญิงอาหรับซึ่งเราเห็นในภาพเขียนลายเส้นประกอบนิยาย แต่ดวงตาสีฟ้าคู่ที่ผมได้เห็นนี้เป็นของจริง ไม่ใช่นิยาย และไม่มีการตบแต่งด้วยเครื่องสำอางปนอยู่เลย

เธอเป็นคนจมูกโด่งเป็นสันตรง ไม่งอนและไม่ใหญ่จนเกินไป แต่ใบหน้าของเธอนั้นดูแปลก การที่มีโหนกแก้มสูงทำให้ดูมีส่วนกว้างกว่าใบหน้าของพวกอินเดียนแดงชาวพื้นเมืองของบราชิล ส่วนของใบหน้าซึ่งต่ำกว่าโหนกแก้มลงมานั้นแคบเป็นชายธงลงมา จึงทำให้ดูเป็นคนคางแหลม ริมฝีปากของเธอนั้นช่างบางเสียนี่กระไร จนเกือบจะมองไม่เห็น สำหรับหู ซึ่งผมบังเอิญสังเกตภายหลัง มีขนาดเล็ก และดูเหมือนจะไม่ต่างกับหูคนธรรมดาอย่างไร… ผมได้ค้นพบทีหลังว่า แก้มของเธอนั้นนุ่มเมื่อสัมผัส เหมือนไม่มีกระดูกรองรับเลย

จากใบหน้า ผมมาพิจารณาทรวดทรงโดยทั่วไป และต้องลงความเห็นว่าหญิงสาวผู้นี้มีรูปร่างงดงามกว่าหญิงใดที่ผมได้เคยพบมาก่อน กำลังพอสวย ไม่อ้วน ไม่ผอม อกตั้งสูงและแยกจากกันพองาม เธอเป็นคนเอวเล็ก หน้าท้องราบ ตะโพกผายและมีต้นขาค่อนข้างใหญ่ เท้าของเธอมีขนาดเล็ก สำหรับมือนั้นเรียวยาว ผมสังเกตดูเล็บเท้าไม่ผิดปกติอะไร เธอสูงเพียงระดับไหล่ของผมเท่านั้น

เธอก้าวเข้ามาหาผมในอาการที่เงียบสงบ และจ้องมองผมคล้ายจะบอกให้รู้ว่าต้องการอะไรบางสิ่งจากตัวผม แล้วในทันทีนั้นเธอก็โผเข้ากอด แนบศีรษะกับใบหน้าของผม และเคล้าเคลียไปมา ผมรู้สึกว่าร่างของเราทั้งสองแนบสนิท แม้เธอจะเคลื่อนไหวตัวในการกอดรัดก็ตาม ตอนนี้ผมสังเกตเพิ่มเติมว่าเธอเป็นคนผิวขาวเช่นผู้หญิงฝรั่งทั่วไป และตลอดทั้งแขนมีรอยฝ้าปรากฏอยู่ตลอด…

…มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าสภาพเช่นนั้น ผมยังคงมีกะใจกับเรื่องพรรค์นี้ ผมเดาว่าอาจจะเป็นเพราะน้ำยาอะไรที่พวกเขาชโลมร่างของผมในตอนต้น ซึ่งทำให้ผมมีความรู้สึกคึกคักขึ้น พวกเขาคงจะตั้งใจเช่นนั้น ขณะนี้ผมรู้สึกตัวเพียงว่าไม่อาจยับยั้งจิตใจเอาไว้ได้แล้ว เป็นความรู้สึกทางเพศรุนแรงซึ่งผมไม่เคยมีมาก่อนเลย

ผมลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งความน่าสะพรึงกลัวของยานอวกาศ และประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ผมตอบสนองความต้องการของพวกเขาอย่างเต็มใจ และสุดท้ายก็พาเธอไปยังเก้าอี้ยาว จากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปตามปกติวิสัย ซึ่งตลอดเวลา ปฏิกิริยาของเธอก็เช่นเดียวกับปฏิกิริยาของหญิงสาวโดยทั่วไป และเมื่อเราทั้งสองได้ผ่านกระบวนการแห่งความรักไปแล้วสองระลอกต่อเนื่องกัน เธอก็แสดงให้ผมรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างถึงที่สุดแล้ว โดยพยายามผละออกจากผม

ผมบอกไม่ถูกครับ… เห็นจะเป็นเพราะว่าพวกเขาจับตัวผมมาเป็นเครื่องทดลองผสมพันธุ์เสมือนสัตว์เดียรัจฉาน เมื่อเสร็จแล้วก็แล้วกัน แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าผมได้มีความสุขกับหญิงคนนั้นอย่างแท้จริงในชั่วขณะหนึ่ง… และในขณะระหว่างฉากรักของเรานั้น เธอได้เปล่งเสียงอะไรออกมา ซึ่งทำให้ผมเกือบหมดความรู้สึก เพราะคล้ายกับนอนร่วมกันกับสัตว์บางประเภทเท่านั้น

สิ่งหนึ่งซึ่งผมสังเกตก็คือ เธอไม่เคยจูบผมเลยตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ผมจำได้ว่าคราวหนึ่งเธอเผยอริมฝีปากทำเสมือนจะจูบ แต่แทนที่จะจูบ เธอกลับกัดคางผมเบา ๆ ซึ่งไม่ใช่การจูบแน่ อีกอย่างหนึ่งที่ผมสังเกตก็คือ เธอมีขนรักแร้ ซึ่งเป็นสีแดงสดเกือบคล้ายสีเลือด…”

จากนั้นเอเลี่ยนหญิงสาวก็ออกจากห้องไป เอเลี่ยนกลุ่มเดิมก็นำเสื้อผ้ามาให้โบแอสสวมใส่อย่างเดิม ก่อนจะปล่อยตัวเขาไปในช่วงเช้าของวันใหม่ เขาคาดว่า น่าจะอยู่บนยานอวกาศต่างดาวราว 4 ชั่วโมง และเล่าช่วงสุดท้ายว่า

“…ชั่วเวลาเพียงครู่เดียวที่ผมกลับมาสู่พื้นดิน บันไดของยานอวกาศก็ค่อย ๆ เลื่อนขึ้น แสงไฟซึ่งหมุนรอบ ๆ ส่วนบนของยานนั้นก็จ้าขึ้นเป็นลำดับ สาดสว่างไปทั่วบริเวณ จากนั้นก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้นคืนสู่อวกาศ และในชั่วพริบตาเดียว ก็กลายเป็นสะเก็ดดาวปลิวหายไปในท้องนภา

ตราบเท่าที่ชีพจรของผมยังเต้นอยู่ ผมคงจะลืมประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตนั้นไม่ได้…”

สำหรับในสหรัฐอเมริกา เรื่องราวการถูกลักพาตัวโดย เอเลี่ยน สิ่งมีชีวิตนอกโลก ซึ่งปรากฏสู่สาธารณะในระดับประเทศครั้งแรกคือ เรื่องราวของ เบ็ตตี้ และบาร์นีย์ ฮิลล์ (Betty และ Barney Hill) คู่รักจาก New Hampshire ซึ่งอ้างว่าถูกลักพาตัวไปใน UFO เมื่อ ค.ศ. 1961

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร. (2551). เหตุการณ์ประวัติศาสตร์อันเสมือนนิยาย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แสงดาว

MARCELO GLEISER. “Probing Extraterrestrial Abduction”. NPR. Online. Published 27 NOV 2013. Access 25 DEC 2020. <https://www.npr.org/sections/13.7/2013/11/27/247220595/probing-extraterrestrial-abduction>


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 25 ธันวาคม 2563