เผยแพร่ |
---|
หลังจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม ขึ้นบริหารประเทศเมื่อเดือนเมษายน 2491 จากการรัฐประหาร เกิดการต่อต้านทั้งจากฝ่ายกองทัพและพลเรือน ในส่วนของกองทัพ การต่อต้านนำไปสู่กบฏเสนาธิการ หรือกบฏนายพล ส่วนพลเรือนนำไปสู่ “กบฏวังหลวง” หรือ “ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์ 2492” (ชื่อที่นายปรีดี พนมยงค์เรียก)
ในที่นี้ขอกล่าวถึงเฉพาะการต่อสู้ของพลเรือน
ที่ผ่านมา นายปรีดี ถือว่ารัฐบาลจอมพล ป. ที่มาจากการการรัฐประหารมีสถานะ “ชั่วคราว” เท่านั้น และมีการเตรียมการต่อต้านรัฐบาลอย่างลับ ๆ เพื่อรอเวลาที่เหมาะสม
10 กุมภาพันธ์ 2492 นายปรีดี พนมยงค์, ร.ต.อ.เฉียบ ชัยสงค์, รอ. วัชรชัย ชัยสิทธิเวช ฯลฯ เดินทางมาถึงประเทศไทย โดยนายปรีดีต้องการเข้ามาเพื่อเจรจากับจอมพล ป. และคณะรัฐประหาร ยอมรับเงื่อนไขโดยสันติวิธี
16 กุมภาพันธ์ 2492 จอมพล ป.ที่รู้ข่าวการเคลื่อนไหวของนายปรีดี จึงมีประกาศทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ชื่อว่า “ประเทศไทยจะมีจลาจลหรือไม่” โดยยกตัวอย่างเพื่อนบ้านเปรียบเทียบและเตือนฝ่ายตรงข้าม
23 กุมภาพันธ์ 2492 รัฐบาลเตรียมการรับมือ โดยการประกาศภาวะฉุกเฉิน ซึ่งความตอนหนึ่งของประกาศดังกล่าวว่า “ด้วยรัฐบาลได้พิจารณาเห็นว่า สถานการณ์ทางการเมืองต่างประเทศใกล้เคียงประเทศไทยได้มีการจลาจลขึ้นทั่วกัน และเหตุการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ได้ลุกลามมายังประเทศไทยจนถึงบางแห่ง รัฐบาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องใช้กําลังปราบปรามไปบ้างแล้ว จึงประกาศให้ทราบทั่วกันว่า สถานการณ์ฉุกเฉินมีอยู่ในพระราชอาณาจักร”
26 กุมภาพันธ์ 2492 ฝ่ายปฏิวัติและนายปรีดี ก็ได้เริ่มปฏิบัติการ โดยหลักการของแผนที่วางไว้คือ การยึดอํานาจแบบใต้ดิน, วิธีปฏิบัติการแบบสายฟ้าแลบ ยึดสถานที่สําคัญ-บุคคล-กองทัพ และยึดอาวุธ, ล้มรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม แล้วตั้งรัฐบาลใหม่, ยกเลิกรัฐธรรนูญฉบับร่าง พ.ศ. 2492 และนำรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2475 มาใช้แทน
ส่วนบริเวณแนวรบกําหนดให้แบ่งเป็น 3 แนวทางด้วยกันคือ 1. เสรีไทยเข้ายึดที่พื้นที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และในพระบรมมหาราชวัง กำหนดเป็นกองบัญชาการกองทัพสูงสุด 2. กองสัญญาณทหารเรือยึดถนนสายสีลม ประตูน้ำ และปทุมวัน 3. นาวิกโยธินจากหัวหินเป็นกําลังหนุนและต่อต้าน ตั้งแต่ที่ท่าข้ามแม่น้ำนครชัยศรีขึ้นมา และกองทัพนาวิกโยธินจากสัตหีบ เป็นกําลังหนุนและโจมตีทางน้ำเพื่อช่วยในการควบคุมพระนคร
เวลา 20.00 นายปรีดีและเสรีไทยขึ้นฝั่งที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เวลา 21.05 น. กำลังส่วนหนึ่งนําโดย ไกร สติฐต และแหลม ปาณัฐเสถียร เข้ายึดสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ พญาไท และเริ่มประกาศแต่งตั้งรัฐบาลใหม่มี ดิเรก ชัยนาม เป็นนายกรัฐมนตรี รวมทั้งแต่งตั้งกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย มี พล.ร.ท.สินธุ์ กมลนาวิน เป็นแม่ทัพใหญ่
จากนั้นก็ได้ออกคําสั่งปลดออกจากราชการ 5 คน คือ พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ผู้บัญชาการทหารบก, พล.ท.กาจ กาจสงคราม รองผู้บัญชาการ, พ.ต.ท.ละม้าย อุทยานานนท์ ผู้บังคับการตํารวจสันติบาล, พล.ต.ท.หลวงชาติ ตระการโกศล (เจียม ลิมปิชาติ) อธิบดีกรมตํารวจ และ พล.ต.ต.เผ่า ศรียานนท์ รองอธิบดีกรมตำรวจ ห้ามเคลื่อนย้ายกําลังไม่ว่ากรณีใด ๆ นอกจากจะได้รับคําสั่งโดยตรงจากแม่ทัพใหญ่ จากนั้นหน่วนอื่นก็ลงปฏิบัติการ
ขณะที่บริเวณพระบรมมหาราชวัง ร.อ.วัชรชัย ชัยสิทธิเวช ได้นําทหารเรือและเสรีไทยส่วนหนึ่งเข้ายึดไว้เมื่อเวลา 21.00 น. และจากนั้น ปรีดี พนมยงค์, ทวี ตะเวทิกุล พล.ต.สมบูรณ์ ศรานุชิต และกําลังส่วนอื่น ๆ ก็ได้เคลื่อนย้ายจากมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เข้ามาที่พระบรมมหาราชวังเป็นศูนย์บัญชาการ
บริเวณถนนวิทยุจนถึงสี่แยกราชประสงค์ กองสัญญาณทหารเรือลุมพินีก็เข้ายึดไว้ตั้งแต่เวลาประมาณ 21.00 น. (26 กุมภาพันธ์) เริ่มปะทะกับทหารบกเมื่อเวลา 02.00 น. (27 กุมภาพันธ์) ทหารทั้งสองฝ่ายใช้อาวุธร้ายแรง ในระยะแรกทหารเรือเป็นฝ่ายได้เปรียบสามารถยึดประตูน้ำ, มักกะสัน และสะพานราชเทวีได้ ส่วนทหารบกถอยไปยึดแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สนามเป้า และพญาไท การสู้รบของ 2 กองทัพ เรียกกันต่อมาว่า “กรณีราชประสงค์”
ส่วนพื้นที่อื่น ๆ ที่ฝ่ายปฏิวัติเข้ายึดก็ที่ทําการโทรศัพท์กลางที่วัดเลียบ เพื่อให้ยุติการใช้โทรศัพท์ทั่วพระนครและบริเวณใกล้เคียง, สถานีตํารวจปากน้ำ เพื่อป้องกันมิให้มีการขัดขวางการเคลื่อนย้ายกําลังจากสัตหีบของฝ่ายทหารเรือ
เหตุการณ์ครั้งนี้ ในช่วงแรกมีแนวโน้มว่าฝ่ายปฏิวัติจะได้รับชัยชนะ เพราะบุคคลสําคัญทั้งของฝ่ายคณะรัฐประหารและฝ่ายรัฐบาลรวมตัวกันไม่ติด ทั้งจอมพล ป.พิบูลสงคราม, พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ, พล.ท.กาจ กาจสงคราม พล.ต.หลวง สถิตยุทธการ, พล.ต.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และพล.ต.ไสว ไสวแสนยากร ต่างก็อยู่กันคนละแห่งและติดต่อกันไม่ได้เลย
แต่เมื่อกําลังนาวิกโยธินจากสัตหีบ ซึ่งจะต้องเป็นกําลังหลักเข้ายึดและควบคุมตามสถานที่สําคัญมาไม่ทันตามนัด เพราะมาติดอยู่ที่ท่าแพขนานยนต์ข้ามแม่น้ำบางปะกง (พ.ศ. 2492 ถนนสุขุวิทยังไม่มีสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง) สถานการณ์จึงพลิกกลับ เมื่อฝ่ายรัฐบาลตั้งตัวได้ และได้ออกประกาศยืนยันว่า รัฐบาลเดิมยังคงบริหารประเทศอยู่ และหลังจากที่เจรจากันระยะหนึ่ง พล.ต.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้อํานวยการในการปราบปรามก็สั่งให้ล้อมพระบรมมหาราชวังและโจมตี จนเป็นฝ่ายได้ชัยไปในที่สุด
ข้อมูลจาก
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. แผนชิงชาติไทยว่ารัฐและการต่อต้านรัฐ สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2491-2500) พิมพ์ครั้งที่ 3, สำนักพิมพ์ 6 ตุลารำลึก. สิงหาคม 2553
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 15 ตุลาคม 2563