ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน 2538 |
---|---|
ผู้เขียน | พิษณุ จันทร์วิทัน |
เผยแพร่ |
เมื่อกลางปี 2537 ในระหว่างที่กําลังสืบค้นประวัติ พระยาประเสริฐศาสตร์ธํารง หรือหมอไรเตอร์ แพทย์หลวงประจําพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ผู้เขียนได้รับเอกสารเก่าของท่านผู้นี้มาจำนวนหนึ่ง อันเป็นเอกสารที่นางประเสริฐศาสตร์ธํารงผู้ภริยาได้เก็บไว้จนกระทั่งถึงแก่กรรมที่กรุงบรัสเซลส์ เมื่ออายุ 103 ปี ใน พ.ศ. 2508 เอกสารเหล่านี้ตกอยู่กับนายมาแซล ไรเตอร์ หลานชายของพระยาประเสริฐศาสตร์ธํารง ซึ่งปัจจุบัน (พ.ศ. 2538 – กองบก.ออนไลน์) อายุ 80 ปี
ส่วนหนึ่งของเอกสารเหล่านี้เป็นเมนูอาหารเก่า ๆ ซึ่งไม่ได้มีสิ่งใดน่าสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากการสะสมเมนูอาหารเก่า ๆ เป็นงานอดิเรกของฝรั่งชาวยุโรปจํานวนไม่น้อย เช่นเดียวกับการสะสมแสตมป์ เหรียญกษาปณ์เก่า หรือของเก่าอื่น ๆ เมนูอาหารที่นิยมสะสมกันอยู่นี้ มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันด้วยราคาสูง ยิ่งเป็นเมนูของบุคคลสําคัญ หรือเป็นเมนูของงานเลี้ยงครั้งสําคัญ ๆ ในประวัติศาสตร์ ซึ่งมักจะมีภาพหรือลวดลายวิจิตรสวยงามก็ยิ่งจะเป็นที่เสาะแสวงหาของนักสะสมและราคาก็ยิ่งสูงมาก
เมนูอาหารที่นิยมสะสมกันนี้ ไม่ใช่รายการอาหารที่เราเห็นตามภัตตาคารที่มีไว้เพื่อให้ลูกค้าเลือกสั่งอาหารมารับประทาน แต่เป็นเมนูอาหารของงานเลี้ยง ซึ่งธรรมเนียมการจัดเลี้ยงอย่างฝรั่งมักจะวางไว้บนโต๊ะอาหารตรงหน้าของแขกหรือผู้นั่งโต๊ะแต่ละคน ส่วนมากจะมีลักษณะเป็นแผ่นกระดาษแข็งขนาดโปสการ์ด อาจใหญ่หรือเล็กกว่านั้นก็ได้ เขียนหรือพิมพ์วันที่ของงานเลี้ยง บางครั้งก็จะพิมพ์ไว้ด้วยว่าเป็นงานเลี้ยงในโอกาสสําคัญอะไร เลี้ยงกันที่ไหน จากนั้นก็จะเป็นรายการอาหารที่จะเสิร์ฟทั้งหมด ไล่มาตั้งแต่จานแรกจนจานสุดท้าย จากนั้นส่วนมากก็จะมีการระบุไว้ด้วยว่าเสิร์ฟไวน์อะไร ปีไหน
ในบรรดาเมนูที่ได้รับมานี้ เมื่อใช้เวลาพิเคราะห์ดูแล้วมีอยู่แผ่นหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ลักษณะของเมนูแผ่นนี้เป็นกระดาษแข็ง ขนาดประมาณ 6X15 ซ.ม. ขอบเดินทองอย่างเก่า กระดาษเหลืองกรอบไปตามกาลเวลา พิมพ์วันที่งานเลี้ยงไว้ว่า 16 กันยายน ค.ศ. 1897 นอกจากเป็นรายการอาหารและไวน์ที่นํามาเสิร์ฟในคืนวันนั้นแล้ว อีกด้านหนึ่งพิมพ์ไว้ว่า กระทรวงการต่างประเทศ และชื่อแขกที่นั่งตรงที่เมนูนี้คือ นายแพทย์ยูเจน ไรเตอร์ และมีอักษรโรมันตัว H ทําเป็นลวดลายงดงามทั้งหมดนี้เป็นภาษาฝรั่งเศส
เมื่อพิจารณาดูแล้ว วันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1897 ตรงกับ พ.ศ. 2440 หรือ ร.ศ. 116 อันเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 แห่งสยาม เสด็จฯ ยุโรป ต่อมา เมื่อผู้เขียนค้นหนังสือเกี่ยวกับการ เสด็จฯ ยุโรปครั้งแรก ซึ่งเขียนโดยเจ้าพระยาศรีสหเทพ (เส็ง) จึงได้ทราบว่า ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2440 เป็นช่วงที่กําลังประทับอยู่ในกรุงปารีส และได้เสด็จฯ ไปเสวยพระกระยาหาร ค่ำในงานเลี้ยงที่กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสจัด
ดังนั้น จึงเป็นอันแน่ใจได้ว่า เมนูอาหารแผ่นนี้จะต้องเป็นเมนูอาหารในงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำที่กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสจัดถวาย และทําให้ทราบต่อไปอีกด้วยว่า อักษรโรมัน H นั้นเป็นอักษรย่อของนายอาโนโต (Hanotaux) เสนาบดีต่างประเทศฝรั่งเศสในเวลานั้นนั่นเอง และแน่นอนว่าหมอไรเตอร์ซึ่งเป็นแพทย์ประจำพระองค์ติดตามเบื้องพระยุคลบาทในการเสด็จฯ ยุโรปครั้งนี้ ก็จะต้องได้รับเชิญไปในงานเลี้ยงคืนดังกล่าวนี้ด้วย
งานเลี้ยงคืนนั้นเป็นงานเลี้ยงที่จัดใหญ่โตมาก เพราะเป็นการเลี้ยงที่จัดขึ้นในระหว่างการเสด็จฯ เยือนของแขกบ้านแขกเมืองระดับประมุขแห่งรัฐ ซึ่งศัพท์ทางพิธีการทูตเรียกกันว่าเป็นการเยือนระดับสเตท วิสิต (State visit) ด้านพิธีการนั้นเห็นจะกระทํากันอย่างเต็มที่ นายอาโนโตแต่งกายเต็มยศติดเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาวราภรณ์ของสยาม ซึ่งเพิ่งได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ก่อนหน้านั้นเพียง 3 วัน องค์พระพุทธเจ้าหลวงเองทรงประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เลยอง ดอเนอร์ (Lyon d’ Honor) ของฝรั่งเศส ผู้เขียนขอคัดหนังสือของเจ้าพระยาศรีสหเทพ ซึ่งได้บรรยายงานเลี้ยงคืนนั้นไว้อย่างละเอียดมาไว้ ณ ที่นี้
“เวลาเย็นวันนี้ มองซิเออร์ฮาโนโตเสนาบดีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจัดการเลี้ยงใหญ่ ณ กระทรวงว่าการต่างประเทศถวายเป็นพระเกียรติยศ ได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วย พระเจ้าน้องยาเธอแลบรรดาข้าราชการที่ได้ตามเสด็จพระราชดำเนิน กับเชิญเอกอรรคราชทูต แลทูตผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศ กับเสนาบดีแลข้าราชการฝ่ายฝรั่งเศสรวมทั้งสิ้น นั่งโต๊ะเลี้ยง 102 คน
ครั้นเวลา 1 ทุ่ม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องเต็มยศอย่างจอมพล ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เลยองดอนเนอร์ เสด็จพระราชดําเนินมายังกระทรวงว่าการต่างประเทศ มองซิเออร์ฮาโนโตแต่งกายเต็มยศประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาวราภรณ์ รับเสด็จพระราชดำเนินประทับ ณ ห้องใหญ่ ซึ่งเสนาบดีผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศซึ่งเชิญมาในการเลี้ยงได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ครั้นเวลาทุ่มครึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับโต๊ะเสวย ณ ที่พระเกียรติยศ มองชิเออร์ฮาโนโตนั่งที่ตรงข้าม โต๊ะเสวยจัดตกแต่งด้วยเครื่องตั้งงดงาม เมื่อเสวยเสร็จแล้วมองซิเออร์ฮาโนโตนำเสด็จพระราชดําเนินมา ณ ห้องบน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับฟังดนตรีสีซออย่างดีของฝรั่งเศส
ครั้นเวลา 4 ทุ่ม บรรดาข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยแลผู้มีบรรดาศักดิ์กรุงปารีส ทั้งชาย หญิง ซึ่งเชิญมาในการรีเซบชันค่ำวันนี้มาพร้อมอยู่ชั้นล่าง มองซิเออร์ฮาโนโตเสนาบดีกราบทูลเชิญเสด็จพระราชดำนินไปในห้องรีเซบชัน แล้วนําคนเหล่านั้นทั้งชายหญิงซึ่งแต่งตัวเต็มยศ แลบางคนประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเรียงตัว คนเหล่านั้นมีความพอใจในพระราชอัธยาศรัยเป็นอย่างยิ่ง แล้วเสด็จพระราชดําเนินมาประทับทอดพระเนตรลคร ซึ่งมองซิเออร์ฮาโนโตจัดมีขึ้นในห้องหนึ่งซึ่งตกแต่งงามมากถวายทอดพระเนตรลคร
ที่มาเล่นค่ำวันนี้ ล้วนเป็นตัวที่ดีเลือกสรรมาจากลครออปะราใหญ่ เล่นเต้นรําอย่างบาเลน่าดู นักจนเวลา 2 ยามเศษ จะเสด็จพระราชดําเนินกลับ ผู้อํานวยการโรงลครนําตัวลครทั้งชายหญิงแต่ง ตัวอย่างออกโรงเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เมื่อเสด็จกลับมองซิเออร์ฮาโนโตส่งเสด็จพระราชดําเนินถึงรถ พระที่นั่ง เสด็จกลับมายังบ้านที่ประทับ ๆ แรม 1 ราตรี”
จากหนังสือเสด็จฯ ยุโรป ของเจ้าพระยาศรีสหเทพที่คัดมานี้ เห็นได้ชัดว่างานเลี้ยงคืนวันนั้นนายอาโนโต เสนาบดีต่างประเทศได้จัดถวายอย่างใหญ่โต สิ่งที่น่าสนใจจากเมนูแผ่นนี้ก็คือได้บอกให้เราทราบว่าในคืนวันนั้นทางกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส อันเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านการผลิตไวน์ ได้นําไวน์อะไรมาขึ้นโต๊ะเสวยบ้าง เพราะการเลือกสรรไวน์ในประเทศฝรั่งเศสที่มีนับพันนับหมื่นชนิดนํามาเสิร์ฟงานเลี้ยงแขกเมืองระดับประมุข ซึ่งมีคณะทูตมาชุมนุมกันเป็นจํานวนมากเช่นนี้คงต้องมีการพิถีพิถันกันอย่างมาก
ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2538 – กองบก.ออนไลน์) นี้ผู้เขียนสังเกตเห็นว่าการดื่มไวน์เป็นที่นิยมแพร่หลายใน เมืองไทยของเรามากกว่าแต่ก่อน มีหนังสือหนังหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาให้ความรู้แก่นักนิยมไวน์ หนังสือนิตยสารหลายฉบับถึงกับมีคอลัมน์ประจําเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยทีเดียว ตามท้องตลาดก็มีไวน์ต่าง ๆ จําหน่ายกันหลากหลายทั้งจากฝรั่งเศสและจากประเทศ อื่น ๆ แสดงให้เห็นว่าคนไทยสนใจและนิยมไวน์กันมาก
ผู้เขียนจึงจะขอนําเรื่องไวน์ที่กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสจัดถวายในคืนวันนั้นมาเสนอ อันอาจเป็นเกร็ดที่น่ารู้ว่าในสมัยนั้นไวน์อะไรที่ฝรั่งเศสนํามาทูลเกล้าฯ ถวายขึ้นโต๊ะเสวย
เมื่อดูจากเมนูสําคัญแผ่นที่ผู้เขียนนํามาลงให้ชมนี้แล้ว จะเห็นว่าในตอนล่างหลังจากรายการอาหารเป็นการแสดงรายการไวน์ซึ่งมีชื่อไวน์ต่าง ๆ ปรากฏอยู่หลายชนิด ชื่อแรกได้แก่ Zucco ชื่อนี้ได้พยายามสืบค้นและสอบถามผู้รู้หลายท่าน แต่ก็ยังไม่สามารถทราบได้ว่าเป็นไวน์อะไร อ่านดูคล้าย ๆ กับภาษาอิตาเลียน ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าฝรั่งเศสจะถ่อมตนไปเอาไวน์อิตาเลียนมาใช้ในงานสําคัญเช่นนี้
ในชั้นนี้จึงขอสันนิษฐานโดยอาศัยความไม่รู้เป็นที่ตั้งไว้ 2 ทาง ความเป็นไปได้อย่างแรก Zucco อาจเป็นไวน์ประเภทเรียกน้ำย่อยชนิดหนึ่งที่คงเลิกผลิตไปแล้ว หรืออาจเป็นเครื่องดื่มชนิดที่เรียกกันว่า อเปริตีฟ (Aperitif) เครื่องดื่มก่อนอาหารชนิดหนึ่งที่จัดมาเป็นพิเศษ
ถัดลงมาอีกชนิดหนึ่งเขียนไว้ว่า Chateau Palmer en Carafe คือไวน์จากชาโต ปาล์แมร์ คําว่า ออง การาฟ ข้างท้ายบ่งบอกว่าไวน์จากชาโต ปาล์แมร์ ที่นํามาเสิร์ฟนั้นใส่มาในคนโทแก้วที่ในภาษาฝรั่งเรียกว่า การาฟ ไม่ได้มาเป็นขวด
ชาโต ปาล์แมร์ เป็นไวน์แดงจากอําเภอเมดอก แคว้นบอร์โดซ์ อันเป็นถิ่นไวน์ที่มีชื่อเสียงทางใต้ของฝรั่งเศส ชาโต ปาล์แมร์ เป็นชาโตเก่าแก่ที่เริ่มทําไวน์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2357 ผู้ก่อตั้งคือนายพลแห่งกองทัพอังกฤษผู้หนึ่งชื่อ General Palmer ชาโต ปาล์แมร์นี้ไม่ใช่ไวน์ระดับธรรมดา เพราะได้ถูกวางอันดับไว้ให้อยู่ในไวน์ชั้น 3 ซึ่งนักเลงไวน์ฝรั่งเขาเรียกว่า ตรัวเซียม ครู (Troisième Cru) ของการวางอันดับไวน์จากอำเภอเมดอก เมื่อ พ.ศ. 2398 (1855 Official Classification of Medoc)
เมื่อมาถึงตรงนี้จําเป็นจะต้องอรรถาธิบายพอสังเขปว่า การจัดอันดับไวน์จากเมดอกใน พ.ศ. 2398 นั้น เป็นการจัดวางอันดับที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการกันมาจนทุกวันนี้ เกิดจากการที่บรรดานายหน้าพ่อค้าไวน์ในงานแสดงสินค้าที่กรุงปารีส เมื่อ ค.ศ. 1855 (1855 Paris Exposition) ได้จัดขึ้น
ไวน์จากเมดอกนับพันชนิดได้รับการจัดอันดับ หรืออาจจะเรียกง่าย ๆ ว่าจัดแบ่งเกรดออกเป็น 5 ระดับ ระดับชั้นสุดยอดเรียกว่า เปรอมิเย ครู (Premier Cru) ซึ่งมีอยู่ด้วยกันเพียง 4 ยี่ห้อ จากนั้นก็เป็นระดับรอง ๆ ลงไปจนถึงระดับ 5 และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนถึงปัจจุบันนี้ หากอยากทราบรายชื่อไวน์ทั้งหลายที่ได้รับการจัดให้อยู่ในระดับต่าง ๆ ก็อาจหามาอ่านได้จากหนังสือเกี่ยวกับไวน์โดยเฉพาะ
ไวน์ชาโต ปาล์แมร์ ที่นํามาขึ้นโต๊ะเสวยในคืนนั้นอยู่ในระดับ 3 ซึ่งว่ากันตามจริงนั้นถือว่าอยู่ในระดับดีมากอยู่แล้ว แต่อาจมีข้อสงสัยกันว่าเหตุใดจึงเอาไวน์ระดับ 3 มาเคียงบ่าเคียงไหล่กับไวน์ชั้นนําอื่น ๆ เหตุผลก็คือ ไวน์ชาโต ปาล์แมร์ เป็นไวน์ ระดับ 3 ซึ่งมีรสชาติอยู่ในระดับเดียวกันกับไวน์ระดับหนึ่งและสองนั่นเอง จนแม้ในยุคปัจจุบัน บางปีราคาของไวน์จาก ชาโต ปาล์แมร์ แพงกว่า ไวน์ระดับหนึ่งทั้งหมด เสียด้วยซ้ำ
ตัวอย่างที่ขอยกมาให้เห็นคือ ใน ค.ศ. 1961 ชาโต ปาล์แมร์ ได้สร้างความตื่นตะลึงให้แก่วงการไวน์ เนื่องจากไวน์จากชาโต ปาล์แมร์ ในปีนั้นรสชาติดีเลิศ จนความต้องการของนักเลงไวน์ทั้งหลายทําให้ราคาแพงกว่าไวน์ระดับหนึ่งทั้งหลายอย่างไม่น่าเชื่อ แสดงให้เห็นว่ากระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสรู้ความยอดเยี่ยมและเห็น “แวว” ของชาโต ปาล์แมร์ มาตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อนจึงได้เลือกมาเสิร์ฟในงานนี้
สิ่งที่ต้องพูดถึงอีกประการหนึ่งคือ ชาโต ปาล์แมร์ ที่นํามาเสิร์ฟในคืนวันนั้นใส่มาในคนโทแก้ว หรือการาฟ แสดงให้เห็นว่าไวน์ชนิดนี้บรรจุมาในถังไม้โอ๊ก เวลาจะเสิร์ฟจึงถ่ายใส่การาฟ การที่ไวน์บรรจุมาเป็นถัง ๆ หลายท่านอาจเข้าใจว่าเป็นไวน์พื้น ๆ ซึ่งมีราคาถูก ใช้ขึ้นโต๊ะอาหารประจําวันที่ฝรั่งเรียกว่า แวง เดอ ต้าบ (Vin de Table) นิยมกันตามร้านอาหารในปัจจุบัน
สําหรับในกรณีของชาโต ปาล์แมร์ ในสมัยนั้นผู้เขียนเห็นว่าไม่ใช่แน่ เพราะในเวลานั้นไวน์ชาโต ปาล์แมร์ได้รับการจัดอันดับแล้วย่อมเป็นที่รู้จักชื่อเสียงกันดี สาเหตุที่บรรจุมาในถังไม้เห็นจะเป็นเพราะกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสใช้ไวน์ชนิดนี้ในงานเลี้ยงแขกบ้านแขกเมืองอยู่เสมอ และใช้ในปริมาณมาก จึงจัดซื้อจากผู้ผลิตเป็นถังมาเก็บไว้ที่ห้องเก็บไวน์ของฝ่ายจัดเลี้ยงมากกว่าเหตุผลอื่น
ข้อสําคัญอีกประการหนึ่งที่ควรทราบก็คือ ไวน์ที่มีราคาแพงนั้นมิใช่ไวน์ปีเก่า ๆ เสมอไป จริงอยู่ที่ว่าไวน์มี “อายุ” อันสมควรแก่การดื่ม หากเก็บไว้อย่างดีก็จะทําให้รสดีขึ้น เช่น ไวน์จากบอร์โดซ์ในระดับเปรอมิเย ครู ส่วนมากจะพุ่งขึ้นสู่ความอร่อยอย่างที่สุดของไวน์ชนิดนั้น ๆ ในระหว่าง 8-20 ปี แต่ปีของไวน์ก็สําคัญมาก ปีไหนฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล มีแสงแดดเพียงพอ ไม่มีอากาศหนาวก่อนเวลา ผลองุ่นก็จะให้น้ำไวน์ที่คุณภาพเยี่ยม ไวน์คุณภาพดีก็จะสามารถเก็บได้นาน ปีที่ไวน์ดีนี้ฝรั่งเศสเรียกว่า วิเน (Vinée) หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า วินเทจ (Vintage) ส่วนภาษาไทยเห็นมีคนใช้ว่า ปีทอง ฟังแล้วให้ภาพพจน์ ส่วนปีไหนเป็นปีทองของไวน์แต่ละถิ่นแต่ละแบบจะหาดูได้จากหนังสือเกี่ยวกับไวน์
เรื่อง “อายุ” ของไวน์แต่ละชนิดเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอย่างไม่มีข้อยุติ ไวน์บางชนิดกล่าวกันว่าเก็บได้ 5-10 ปี แต่อาจอยู่ได้ถึง 20 ปี โดยกลิ่นรสกลับดีขึ้น ไวน์จากแคว้นบูร์กอนน์บางอย่างตามตําราว่า ควรดื่มเพียงอายุ 4-8 ปี แต่บางชนิดเก็บไว้ถึง 20-25 ปี รสชาติยิ่งนุ่มนวลหอมซึ้ง ดังนั้นที่ว่ากันตามตํารานั้นจึงน่าจะเป็นเพียงการประมาณตามทฤษฎี
ปัจจัยที่สําคัญว่าไวน์ชนิดใดเก็บได้นานเพียงใด และจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในขวดที่เก็บไว้ ขึ้นอยู่กับพันธุ์ของผลองุ่น กรรมวิธีในการทําว่าสะอาดบริสุทธิ์เพียงใด ไวน์ในระดับเปรอมิเย ครู (Premier Cu) นั้นว่ากันว่าไวน์ของผู้ผลิตยอด ๆ สามารถอยู่ได้ถึง 50 ปีสบาย ๆ แต่รสชาติจะดีเยี่ยมในราว 8-20 ปี ปัจจัยที่สําคัญที่สุดของไวน์เก่าก็คือต้องเก็บไว้อย่างเหมาะสมในที่สําหรับเก็บโดยเฉพาะ เนื่องจากไวน์ดี ๆ นั้นไม่ชอบอุณหภูมิที่เปลี่ยนมาก ๆ และแสงสว่างจ้า ๆ เรื่องนี้ท่านที่สนใจจะศึกษาได้โดยไม่ยาก
ไวน์ต่อจากชาโต ปาล์แมร์ในเมนูอาหารคืนนั้น เขียนไว้ว่า Graves ler en Carafe ชนิดนี้แม้ไม่ได้ระบุว่าขาวหรือแดง เห็นเพียงแค่นี้ทราบได้ว่าเป็นไวน์ที่มาจากอำเภอกราฟ ในเมดอก ซึ่งน่าจะเป็นไวน์แดง เพราะอำเภอกราฟไม่ได้มีชื่อเสียงมากมายในด้านไวน์ขาว คําว่า ler หรือ เปรอมิเย ที่เขียนไว้ทําให้ผู้เขียนสันนิษฐานเอาว่าน่าจะเป็นไวน์จากชาโต โอบริยอง อันเป็นไวน์จากอำเภอกราฟเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ได้รับการจัดอยู่ในระดับ 1 หรือ Premier Cru ในการจัดวางระดับไวน์ที่ปารีส เมื่อ พ.ศ. 2398 จะเป็นชาโตอื่นไม่ได้ อย่างไรก็ดี ข้อสันนิษฐานของผู้เขียนนี้ยังไม่ถือว่ายุติ เพราะคําว่า ler ที่เขียนไว้ไม่มีคําว่า Cru อยู่ด้วยจึงอาจไม่ได้หมายความถึง Premier Cru
เพื่อนนักนิยมไวน์ผู้หนึ่งตั้งข้อสังเกตอย่างน่าฟังว่า หากไวน์จากอำเภอกราฟที่นํามาขึ้นโต๊ะเสวยในคืนวันนั้นเป็นไวน์ของชาโต โอบริยองแล้วไซร้ เหตุใดจึงไม่เขียนระบุว่า Château Haut Brion เสียให้รู้แล้วรู้รอดไป ทําไมจึงต้องมาอ้อมแอ้มเรียกถิ่นกําเนิดว่าเป็นไวน์จากกราฟ เพราะในเวลาที่เสด็จฯ นั้น ชาโต โอบริยองได้รับอันดับ 1 มีชื่อเสียงไปทั่วฝรั่งเศสอย่างสมภาคภูมิไปแล้ว คําว่า ler ที่เขียนไว้ไม่น่าจะ หมายถึง Premier Crus แต่อาจจะเป็นการชี้ว่าเป็นไวน์ระดับสุดยอดของอําเภอกราฟตัวหนึ่งเท่านั้น
ความจริงจะเป็นอย่างไรก็คงไม่มีใครทราบ แต่ที่เชื่อได้แน่นอนก็คือ ไวน์ Graves ler ที่นํามาขึ้นโต๊ะเสวยในวันนั้นจะต้องเป็นไวน์ชั้นดี หาไม่จะนำมาเสิร์ฟในงานเดียวกับไวน์ชั้นเลิศอื่น ๆ ได้อย่างไร ไวน์นี้เสิร์ฟในคนโทแก้วเช่นเดียวกับชาโต ปาล์แมร์
เรื่องการเรียกชื่อไวน์นี้ โดยปกติแล้วไวน์จากบอร์โดซ์จะใช้ชื่อผู้ผลิตซึ่งทําให้จําง่าย เช่น ชาโต ปาล์แมร์ ชาโต อีเกม ฯลฯ โดยอาจมีเขียนไว้ใต้ชื่อเป็นตัวเล็ก ๆ ว่าเป็นไวน์ของถิ่นไหน การซื้อหาจึงจําแต่ชื่อยี่ห้อหรือชาโตก็เพียงพอ ผิดกับไวน์จากแถบบูร์กอนน์ ลัวร์ บอโชเล่ส์ หรือไวน์จากลุ่มน้ำโรน ที่จะเอาชื่อถิ่นกําเนิดพิมพ์ตัวใหญ่ เวลาเลือกซื้อจึงต้องดูชื่อผู้ผลิตซึ่งมักจะเขียนไว้เล็กกว่าชื่อถิ่นที่ผลิต เช่น หากชอบไวน์บูร์กอนน์ ชนิดที่เรียกว่า โบน ก็จะต้องจําต่อไปว่าในเขตที่เรียกว่า โบน มีผู้ผลิตรายใดเยี่ยมยอดบ้าง เพราะทุกผู้ผลิตก็จะพิมพ์คําว่า โบน ตัวใหญ่ ๆ ไว้ที่ฉลากเพื่อให้ทราบถิ่นกําเนิดเหมือนกันทั้งนั้น การซื้อหาไวน์จากถิ่นอื่น ๆ นอกเหนือจากบอร์โดซ์จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก
ไวน์ชนิดต่อมาที่นํามาขึ้นโต๊ะเสวยคือ Château Yquem 1884 (เดี๋ยวนี้เห็นเขียน Château d’Yquem) ชื่อชาโต อีเกม นี้ ทราบได้ทันทีว่าเป็นไวน์ขาวชนิดหวานจากตําบลโซแตร์น แคว้นบอร์โดซ์ เป็นไวน์ขาวที่แพงที่สุดในโลกตั้งแต่มีการผลิตมา และยังครองความเป็นหนึ่งจนปัจจุบัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะไวน์จาก ชาโต อีเกม มีวิธีการผลิตที่พิถีพิถันที่สุดตั้งแต่มีการทําไวน์ขึ้นในโลก ปีหนึ่ง ๆ ผลิตออกมาน้อยมากนับขวดได้ ผู้เขียนทราบมาว่าปัจจุบัน ลูกค้าหลักของชาโต อีเกม ได้แก่บรรดาเศรษฐีชาวญี่ปุ่นและอเมริกัน
กล่าวกันว่าต้นองุ่นในไร่ของชาโตนี้แต่ละต้นนําผลมาทําไวน์ได้ประมาณต้นละ 1 แก้วเท่านั้น เพราะต้องมีการเลือกผลองุ่นที่มีคุณสมบัติ “ได้ที่” โดยแท้จริง องุ่นบางพวงมีผลที่ใช้ได้เพียงไม่กี่ผล ผู้เขียนยังไม่มีโอกาสได้ลอง แต่ฟังมาว่าเป็นไวน์ขาวที่หวานจัดแต่หวานแบบหอมลึกซึ้ง จนแทบไม่อยากจะกลืนให้ผ่านล่วงลําคอ
การที่ไวน์ชนิดนี้มีรสหวาน ทําให้คอไวน์ขาวสมัครเล่นเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็น Dessert wine หรือไวน์ที่ใช้ดื่มกับของหวาน เรื่องนี้ทําให้ผู้ผลิตไวน์ของชาโต อีเกม มีความขุ่นเคืองมากที่ไวน์ของตนถูกนักดื่มสมัครเล่นเข้าใจผิด อันเป็นการดูหมิ่นลดระดับยอดไวน์ของตนเสมอด้วยไวน์ของหวาน
ผู้ผลิตของชาโตนี้ได้แนะนําว่าไวน์ของชาโต อีเกมนั้นเหมาะกับตับห่านที่เรียกว่า ฟัว กราส์ อาหารทะเลประเภทกุ้ง และกับผลไม้พวกแตง ผู้เขียนมาพิจารณาในเมนูอาหารประวัติศาสตร์แผ่นนี้แล้ว เดาว่า ไวน์หวานของชาโต อีเกม คงนํามาทูลเกล้าฯ ถวายสําหรับพระกระยาหารค่ำจานที่ 1 หรือ 3 อันได้แก่ ซุปครีมกุ้งใหญ่ (Crème de Homard) และผลแตงจากประเทศแอลจีเรียแช่เย็น (Melon d’Algerie Frappès) เป็นแน่ ไวน์ขาวของชาโต อีเกม เป็นไวน์ขาวเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ได้รับการจัดให้เป็นระดับชั้น 1 ของไวน์ขาวใน พ.ศ. 2398 ซึ่งมีคําเรียกเฉพาะว่า Premier Grand Cru ไวน์ชนิดนี้เก็บได้เป็นร้อยปี
ถัดจากไวน์ขาวชาโต อีเกม แล้ว เป็นไวน์ขึ้นโต๊ะเสวยชื่อ Château Lafite ชื่อนี้คุ้นหูนักดื่มไวน์ทุกคน ส่วนใหญ่แล้วแม้จะไม่เคยได้ลิ้มลองก็ต้องเคยได้ยินชื่อ ชาโต ลาฟิต นี้เป็นไวน์แดงที่ได้รับการจัดวางอยู่ในอันดับหนึ่ง ที่เรียก เปรอมิเย ครู ในการจัดวางอันดับเมื่อ พ.ศ. 2398 อย่างที่เล่าไปแล้ว เป็น 1 ใน 4 ของไวน์อันดับ 1 ชาโต ลาฟิต ได้รับการเรียกขานว่าเป็นหนึ่งของบรรดาไวน์ชั้นหนึ่งทั้งมวล หรือ Premier des premiers มาจากเขตที่ชื่อโปยัก ในแคว้นบอร์โดซ์ มีรสนุ่มนวลหอมหวน ยิ่งเป็นปีที่เรียกว่า ปีทอง ยิ่งมีราคาแพงอย่างชนิดที่ไม่น่าเชื่อ
ชาโต ลาฟิต ที่นํามาขึ้นโต๊ะเสวยในคืนวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2440 ก็คือชนิดเดียวกันกับที่ชื่อ ชาโต ลาฟิต รอธชิลด์ (Château Laite Rothchild) ในปัจจุบันนี้นั่นเอง เหตุที่มีชื่อ รอธชิลด์ ต่อท้ายก็เป็นเพราะชาโตนี้ถูกซื้อไปโดยตระกูลรอธชิลด์ เมื่อต้นศตวรรษนี้เอง ความยิ่งใหญ่ของชาโต ลาฟิต คงไม่ต้องการคําอธิบายใด ๆ อีก
ผู้เขียนดูในเมนูอาหารคืนนั้นแล้วเห็นว่า ชาโต ลาฟิต ที่นํามาเสิร์ฟ เป็น ค.ศ. 1877 ซึ่งในวันที่ดื่มมีอายุ 20 ปี อดเดาไม่ได้ว่าคงนํามารินทูลเกล้าฯ ถวายพร้อม ๆ กับพระกระยาหารรายการที่ 5 อันเป็นเนื้อสันในกวางป่าแบบอังกฤษ (Selles de Chevreuil a l’Anglaise) ซึ่งคงปรุงด้วยการนําหมูรมควันหรือเบคอนมาห่อรอบ ๆ แล้วจึงนําไปอบ หรืออาจจะมาพร้อม ๆ กับพระกระยาหารรายการที่ 6 อันได้แก่เนื้อของไก่งวงรุ่น ๆ ทํามากับผักที่มีกลิ่นหอมชนิดที่เรียกว่า เอสตรากอง (Jeunnes Dindonneaux a l’Estragon) เพราะสองรายการนี้เป็นอาหารพิเศษ ยิ่งเป็นไวน์ชั้นดีที่มีอายุถึง 20 ปี เปรียบได้กับผลไม้งอมที่ถึงเวลารับประทานแล้ว
ไวน์ของชาโต ลาฟิต ขวดนี้คงจะใสขึ้นกว่าไวน์ใหม่สักหน่อย ในขณะที่กลิ่นหอมซึ้งของไวน์จะเพิ่มขึ้นตรงขอบที่น้ำไวน์สัมผัสกับตัวเนื้อแก้ว หากพิเคราะห์ดูจะเห็นมีสีประดุจสีอิฐเก่า ๆ อันเป็นคุณลักษณะของไวน์บอร์โดซ์เก่าที่มีอายุกว่า 20 ปี เวลาหมุนแก้วแล้วสังเกตการไหลกลับสู่ก้นแก้วของไวน์ภายในแก้วจะเห็นการ “เลื้อย” อย่างแช่มช้าอ่อนช้อย ซึ่งแสดงถึงความบริสุทธิ์สะอาดและความหนาแน่นของไวน์ระดับ เปรอมิเย ครู ซึ่งมีกรรมวิธีการผลิตที่เป็นความลับสุดยอดของแต่ละชาโตมานานนับศตวรรษ เรื่องนี้หากต้องการเห็นความแตกต่างของการ “เลื้อย” ระหว่างไวน์เก่ากับไวน์ใหม่ คงต้องซื้อมาเปรียบเทียบ น้ำไวน์ที่กำลังไหลลงสู่ก้นแก้วนี้ได้ยินฝรั่งเรียกว่า “leg” หรือ “tear”
สําหรับไวน์ชนิดต่อมาที่กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสจัดมาขึ้นโต๊ะเสวยเขียนไว้ว่า Beaune Hospices 1881 ชื่อนี้เป็นไวน์จากแคว้นบูร์กอนน์ของฝรั่งเศส ที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า เบอร์กันดี นั่นเอง เขตโบน หรือ Beaune ที่เขียนนี้คือส่วนหนึ่งของบริเวณแคว้นบูร์กอนน์ทางใต้ของเมืองดิจอง อันเรียกว่า โก้ต ดอร์ (Côte d’Or) อันประกอบด้วยเขตโก้ต เดอ นุยส์ (Côte de Nuits) และถัดลงไปคือ เขตโก้ต เดอ โบน (Côte de Beaune) อันเป็นถิ่นกําเนิดของไวน์ที่นํามาขึ้นโต๊ะเสวยตัวนี้
ไวน์จากบูร์กอนน์นั้นแม้จะไม่เคยมีการจัดวางอันดับอย่างของเมดอก แต่ก็เป็นไวน์ที่คอไวน์นิยมมาก ขณะนี้หากจะถามว่าไวน์แดงจากที่ใดแพงที่สุดในโลก เห็นจะต้องตอบโดยทันทีว่าไวน์จากบูร์กอนน์โดยไม่ต้องสงสัย โบน ออสปิซ (Beaune Hospices) ที่ปรากฏในเมนูเสวย คือไวน์แดง จากมูลนิธิหนึ่งในเขตโก้ต เดอ โบน ที่มีชื่อว่า Hospices de Beaune ก่อตั้งมาตั้งแต่เมื่อ พ.ศ. 1986 หรือเกือบ 600 ปีมาแล้ว มูลนิธินี้นำรายได้จากการทำไวน์ไปใช้ในกิจการกุศล ช่วยเหลือคนชราและคนยากจนที่เจ็บป่วย ปัจจุบันนี้ไวน์จากมูลนิธิดังกล่าวซึ่งยังคงผลิตอยู่ภายใต้ฉลาก Domaine Hospices de Beaune เป็นไวน์ชั้นนําที่ได้รับการยอมรับว่าอยู่ในระดับ 5 ดาว ของบูร์กอนน์
ไวน์แดงจากบูร์กอนน์นี้มีรสชาติและกลิ่นต่างจากบอร์โดซ์มาก เพราะทําจากผลองุ่นคนละชนิด องุ่นที่ใช้สําหรับไวน์ในบูร์กอนน์เป็นพันธุ์องุ่นที่ชื่อ ปิโน นัวร์ (Pinot Noir) เมื่อทําเป็นไวน์แล้วมีกลิ่นหอมพิเศษ เนื้อไวน์จะดูใสกว่าไวน์จากบอร์โดซ์ แต่มีกลิ่นหอมที่เรียกว่า Bouquet เวลาจิบกลิ่นหอมและรสชาติจะไปกำซาบค้างอยู่ที่ลิ้นและเพดานของผู้ดื่มครู่หนึ่ง ลักษณาการเช่นนี้คอไวน์ทราบกันทั่วไป แต่ผู้เขียนไม่สามารถหาคำบรรยายให้ตรงได้
การที่กลิ่นหอมของไวน์และรสชาติค้างอยู่ในปากนี้เคยได้ยินคุณเจษฎา พิชัยพรหม นายสถานีการบินไทยที่กรุงบรัสเซลส์ ซึ่งเป็นนักนิยมไวน์บอร์โดซ์ผู้สันทัดกรณีท่านหนึ่งใช้คําว่า “หาง” หรือ “มีหาง” ไวน์ที่มีกลิ่นหอมแรงตกค้างอยู่ในปากนานก็เรียกว่ามี “หางยาว” ไวน์ใดที่รสดีแต่กลิ่นหอมไม่ถึงขั้นก็เรียกได้ว่า “ไม่มีหาง” นับว่าเป็นการนำคำศัพท์ในภาษาไทยมาใช้ในการบรรยายความรู้สึกด้านไวน์ได้อย่างเห็นภาพพจน์มาก
ไวน์ Beaune Hospices ที่นำมาขึ้นโต๊ะเสวยนี้ในวันที่เสิร์ฟมีอายุถึง 16 ปี อันเป็นระยะเวลาที่ไวน์นี้ได้ที่ เพราะส่วนมากไวน์จากเขตโก้ต เดอ โบน นั้น จะสําแดงรสชาติอันพิเศษก็เห็นจะราว ๆ 12 ปีขึ้นไป เหมือนผลไม้ที่สุกงอมได้ที่แล้ว ไวน์จากโบนนี้เวลาเก่า ๆ ถึง 16 ปีเช่นนี้ไวน์จะออกเป็นสีแดงอ่อนลง แต่จะกลับจางไปทางสีของคอนญักดีสีสวยงามซึ้งตามาก ส่วนรสและกลิ่นจะรุนแรงพุ่งขึ้นจับปากและลิ้น กลิ่นจะออกไปทางผลบ๊วยแห้งจาง ๆ คละเคล้ากับกลิ่นหอมของไม้โอ๊กแห้งและเชอร์รีป่า
ผู้เขียนพิจารณาดูในรายการพระกระยาหารแล้วเห็นว่าอาหารที่คู่ควรกับ Beaune Hospices อายุ 16 ปีขวดนี้ น่าจะเป็นรายการที่ 7 อันได้แก่นกกระทาดงอบไฟอ่อน ๆ เสิร์ฟกับข้าว (Cailles Braisées au Riz) หาไม่ก็คงเป็นรายการที่ 8 ซึ่งเขียนไว้ว่า เนื้อหน้าอกของเป็ดสาวรุ่นที่ปรุงด้วยวิธีการแบบเรอเนซอง (Suprême de Canetons Renaissance) การทําแบบเรอเนซองที่ว่านี้คือนำอกเป็ดมาอบแล้วราดด้วยน้ำเกรวี่ที่ทําจากซุปของเนื้อและกระดูกของสัตว์ป่าที่ล่ามาได้ผสมกับวุ้นจากผลไม้ อาหารจานนี้ต้องถือว่าเป็นอาหารพิเศษทํำจากสัตว์ป่าที่มีรสชาติในตัว หากนำไวน์ที่ไม่ถึงขั้นมาใช้ดื่มก็นับว่าเป็นการทำให้อาหารจานนี้ด้อยลง
ขวดสุดท้ายที่อยู่ในเมนูนี้เขียนไว้ว่า G. H. Mumm Gordon Rouge เป็นแชมเปญชนิดที่รู้จักกันดีของ เจ อาช มุมม์ ผู้ผลิตแชมเปญที่มีชื่อเสียงจากแถบ แรมส์ (Reims) ของฝรั่งเศส คําว่า กอร์ดอง รูจ ที่เขียนไว้เป็นชื่อแชมเปญของมุมม์ที่ยังผลิตภายใต้ชื่อนี้จนปัจจุบัน แชมเปญประเภทนี้มักนิยมดื่มกับของหวานอันจะช่วยย่อยอาหารด้วย เพราะฟองฟูของแชมเปญนั้นเป็นฟองฟูอันเกิดจากธรรมชาติช่วยย่อยอาหารและไล่ลม ไม่เหมือนกับฟองฟูของน้ำอัดลมหรือโชดา ซึ่งเป็นการอัดแก๊สคาร์บอเนตลงไป เมื่อดื่มมากกลับทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะ
เมื่อถึงตรงนี้ขอแนะนำว่าท่านที่นิยมดื่มวิสกี้โซดาใส่น้ำแข็งแบบในบ้านเรา หากมีปัญหาเรื่องแก๊สในกระเพาะแต่ยังชอบดื่มโซดา ก็ควรไปหาซื้อน้ำแร่ชนิดมีแก๊สธรรมชาติมาดื่มกับวิสกี้ มีอยู่ยี่ห้อหนึ่งของฝรั่งเศสที่มีขายในบ้านเรา แต่ราคาแพงกว่าโซดามาก
แชมเปญของมุมม์ ปัจจุบันเป็นแชมเปญที่มีจำหน่ายตามร้านทั่วไปจนอาจจะเรียกว่าเป็นระดับธรรมดา ๆ ราคาก็เป็นราคาที่ชาวบ้านฝรั่งดื่มกันได้ทุกวัน รสชาติก็อยู่ในระดับไม่มีอะไรพิเศษ หากว่ากันตรง ๆ อย่างไม่เกรงใจก็คือ เป็นแชมเปญที่ “พื้น ๆ” ผู้เขียนไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงมาอยู่ในเมนูงานสำคัญต่อท้ายไวน์ยอด ๆ ดังที่เล่ามาให้ฟังนี้ได้
คงต้องขอเดาแบบเกรงใจเจ้าภาพว่า ในสมัยเมื่อร้อยปีก่อน เจ อาช มุมม์ คงเป็นแชมเปญชั้นยอดที่มีชื่อเสียง เพราะได้เริ่มผลิตมาตั้งแต่ ค.ศ. 1827 โน่นแล้ว เดิมคงอยู่ในระดับหนึ่งในบรรดาแชมเปญทั้งหลายของฝรั่งเศสเช่นกัน ต่อมาอาจเพิ่มผลผลิตในเชิงการค้า จนลดตัวเองลงมาให้เป็นระดับที่ชาวบ้านก็สามารถซื้อหามาดื่มได้ เรียกว่าขายมากไว้ก่อน ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดกับสินค้าหลายอย่าง
การจัดไวน์ต่าง ๆ ที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในงานเลี้ยงที่กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสจัดถวายนี้ จึงเป็นการจัดไวน์ที่สมกับที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเจ้าแห่งอาหารและไวน์ของโลก ผู้เขียนมีข้อสังเกตว่าไวน์ต่าง ๆ ที่นำมาเสิร์ฟในวันนั้นแม้จะไม่ได้เป็น “ปีทอง” ทั้งหมด แต่ทางกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสเลือกไวน์ที่ล้วนมีอายุได้ที่แล้ว ทั้งบอร์โดซ์และบูร์กอนน์ อย่างต่ำก็ 10 กว่าปีขึ้นไปทั้งนั้น
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ ไวน์ต่าง ๆ ทั้งไวน์ขาวและไวน์แดงที่จัดขึ้นโต๊ะเสวยในครั้งนั้น ต้องนับว่าเป็นไวน์ “อมตะ” อย่างแท้จริง แม้เวลาจะล่วงมาเป็นร้อยปี แต่ไวน์เหล่านี้ยังอยู่ในระดับสุดยอดอย่างไม่มีวันเสื่อม ไม่ว่าจะเป็นชาโต อีเกม ชาโต ลาฟิต ชาโต ปาล์แมร์ ต่างก็ยังเป็นไวน์ที่คอไวน์ยกย่อง ราคาของไวน์เหล่านี้แต่ละขวด ถ้าเป็นปีทองแล้วอยู่ในราคาสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ
ในคราวที่องค์พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จฯ เยือนฝรั่งเศสนั้นผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่า อีกงานหนึ่งที่จะมีการทูลเกล้าฯ ถวายไวน์ระดับสุดยอดยิ่งกว่าคืนที่กล่าวมาในบทความนี้ น่าจะเป็นคืนวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2440 อันเป็นคืนที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศสจัดงานเลี้ยงถวาย รัชกาลที่ 5 ที่วังเอลิเซ ซึ่งมีแขกระดับสูงได้รับเชิญเพียง 42 คน ผู้เขียนพยายามหาเมนูวันดังกล่าวอยู่เพื่อเก็บรักษาไว้ หากได้มาเมื่อใดและเห็นว่ามีสิ่งน่าสนใจจะนำมาเสนอผู้อ่านอีกในโอกาสหน้า
อ่านเพิ่มเติม :
- “พะแนงเนื้อ” ตำรับชาววังสมัยรัชกาลที่ 5 ใส่ถั่วลิสง แต่ไม่ใส่มะนาว !?
- ของเล่น-ของสะสมในหมู่เจ้านายชนชั้นสูง สมัยรัชกาลที่ 5 มีอะไรบ้าง
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 13 มกราคม 2563