อิหร่านหลังปฏิวัติอิสลาม ล้มพระเจ้าชาห์ สู่ปมปัญหานิวเคลียร์-ชนวนพิพาทสหรัฐฯ

ภาพวาดอยาตุลเลาะห์ โคมัยนี ผู้นำทางศาสนาอิหร่าน ฉากหลังเป็นอนุสาวรีย์บรรจุศพของโคมัยนี และครอบครัวของเขาในเมืองเตหะราน ประเทศอิหร่าน ภาพจาก AFP

อิหร่าน เกิดการปฏิวัติอิสลามเพื่อโค้นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เมื่อค.ศ. 1979 หลังจากนั้นมาบรรยากาศของ อิหร่าน ดูอึมครึม ไม่่ต้อนรับคนแปลกหน้า คนจำนวนไม่น้อยมองดินแดนแห่งนี้เป็นแดนแห่งศรัทธาอันลึกลับ ขณะที่สัญลักษณ์ของอิหร่าน(ในยุคนั้น) ที่คนจดจำได้เป็นอันดับต้นๆ คือ อยาตุลเลาะห์ โคมัยนี (Ayatollah Khomeini) ผู้นำทางศาสนาซึ่งนำมวลชนโค่นล้มพระเจ้าชาห์องค์สุดท้าย

2 ทศวรรษหลังจากการปฏิวัติอิสลาม ช่วงแรกเริ่มมีการจัดระเบียบทางสังคม แยกอิหร่านห่างจากการคุกคามของโลกตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่เริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามาก่อนการปฏิวัติ หลังจากผ่าน 20 ปีไปแล้ว สถานการณ์จึงเริ่มผ่อนคลายลง

ประเทศอิหร่านหลังจากนั้นมีประธานาธิบดีโมฮัมหมัด คาเตมี (Mohammad Khatami) ซึ่งเป็นนักการเมืองหัวก้าวหน้า ปกครองประเทศมาสองสมัยโดยใช้นโยบายปฏิรูปประเทศ บรรยากาศภายในของประเทศอิหร่านในรอบ 8 ปีระหว่าง ค.ศ. 1997-2005 จึงผ่อนคลายความเข้มงวดลงในหลายๆด้าน เช่น ให้เสรีภาพกับสื่อมวลชน เปิดโอกาสให้ประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองและศิลปวัฒนธรรม และเปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ได้เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญขึ้นในประเทศอิหร่านเมื่อเมื่อเกิดสถานการณ์ตึงเครียดกดดันหลังจากอเมริกาและอังกฤษบุกโจมตีอิรักเสียหายอย่างรุนแรงและมีสัญญาณว่าอิหร่านคือเป้าหมายต่อไป

ชาวอิหร่านจึงหันไปเลือกคนที่มีแนวคิดต่อต้านตะวันตกคือนายมาห์มุด อามาดิเนจาด (Mahmoud Ahmadinejad) ผู้มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมสุดขั้วและมีสายสัมพันธ์กับผู้นำศาสนาที่มีอิทธิพลในอิหร่าน ในอดีตเขาเคยเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสหน่วยพิเศษประจำกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม (ปาสดาราน) และมีกระแสข่าวเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุกยึดสถานทูตสหรัฐฯ และจับชาวอเมริกันเป็นตัวประกันในช่วงที่มีการปฏิวัติอิสลามเมื่อ ค.ศ.1979 โดยอยาตุลเลาะห์ โคมัยนี 

ภาพเหตุการณ์และการให้สัมภาษณ์ช่วงวิกฤตจับชาวอเมริกันเป็นตัวประกัน

ชัยชนะของเขาในการเลือกตั้งขึ้นเป็นประธานาธิบดีใน ค.ศ.2005 แสดงให้เห็นว่าชาวอิหร่านได้เลือกผู้นำที่กล้าต่อต้านตะวันตก หลังจากได้ตำแหน่งไม่นาน เขาสร้างความตะลึงให้คนทั้งโลกด้วยการกล่าวปราศรัยต่อหน้าประชาชนอิหร่านว่า จะลบอิสราเอลออกจากแผนที่โลกและประกาศว่าพร้อมทำสงครามกับสหรัฐอเมริกา ถ้าอิหร่านถูกโจมตี

ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ จึงเริ่มร้อนแรงขึ้นนับจากนี้นำไปสู่ประเด็นเรื่องปัญหานิวเคลียร์

ความจริงแล้วประเด็นปัญหานิวเคลียร์เริ่มมีเค้าลางปรากฏบ้างแล้วตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีคาเตมี เมื่อสหรัฐฯ ระบุว่าอิหร่านกำลังพัฒนาสมรรถนะยูเรเนียมเพื่อพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์  แต่อิหร่านบอกว่าการพัฒนายูเรเนียมเป็นไปเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า กระทั่งอิหร่านยอมระงับการพัฒนานิวเคลียร์ชั่วคราว จนมาถึงสมัยประธานาธิบดีอามาดิเนจาด ปัญหานิวเคลียร์กลับมาเป็นปัญหาเมื่อรัฐบาลอิหร่านตัดสินใจปลดตราผนึกของสหประชาชาติที่ติดไว้ในโรงงานนิวเคลียร์ทุกแห่งเพื่อเดินหน้าโครงการพัฒนานิวเคลียร์ต่อไปโดยไม่สนใจแรงกดดันจากนานาชาติ

ประเด็นนี้นำมาสู่การคว่ำบาตรอิหร่านในวันที่ 23 ธันวาคม 2006 ตามมติความมั่นคงของสหประชาชาติ โดยเรียกร้องให้อิหร่านหยุดการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์  มีมาตรการคว่ำบาตรกำหนดห้ามนำเข้าส่งออกวัตถุดิบและเทคโนโลยีเกี่ยวกับการพัฒนายูเรเนียม รวมถึงการคว่ำบาตรทางการเงิน เช่น ยึดทรัพย์สินของชาวอิหร่านในต่างประเทศและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

ถึงอย่างนั้นอิหร่านก็ไม่เกรงกลัวต่อการคว่ำบาตรเดินหน้าพัฒนานิวเคลียร์ต่อไป โดยติดตั้งเครื่องปั่นเหวี่ยงตะกอนในวันครบรอบ 28 ปีของการปฏิวัติอิสลามและเดินเครื่องปั่นเหวี่ยงตะกอนจำนวน 3,000 เครื่องเพื่อเสริมสมรรถนะให้กับยูเรเนียมในเมืองนาธานซ์

ท่าทีแข็งกร้าวและท้าทายของอิหร่าน ทำให้สถานการณ์การเผชิญหน้ากับตะวันตกยิ่งตึงเครียดมากขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่เป็นคู่ขัดแย้งกับอิหร่านมาตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามใน ค.ศ.1979 นอกจากสหรัฐฯ จะเป็นฝ่ายมีปัญหากับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านตั้งแต่ต้น ตลอดเวลาที่ผ่านมายังเป็นตัวตั้งตัวตีโน้มน้าวให้ชาติมหาอำนาจอื่นลงโทษคว่ำบาตรอิหร่าน

ทว่าสิ่งที่ทั่วโลกกลัวคือสหรัฐฯ จะส่งกองทัพเข้าทำสงครามกับอิหร่าน เหมือนกับที่สหรัฐฯ นำกำลังบุกอิรักใน ค.ศ. 2003 แต่สงครามไม่อาจเกิดขึ้นได้เพราะในช่วงนี้อยู่ในสมัยของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช สหรัฐฯ ยังติดพันสงครามอิรักและอัฟกานิสถาน โดยที่กลุ่มต้อต้านในอิรักยังปฏิบัติการสร้างความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกประชาชนกดดันให้ถอนทหารออกจากอิรัก และความนิยมในตัวประธานาธิบดีก็ตกต่ำลง

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีสัญญาณว่าสหรัฐฯ อาจจะโจมตีอิหร่าน เช่น การส่งเรือบรรทุกเครื่องบินไปยังอ่าวเปอร์เซีย ใน ค.ศ. 2007  หรือการกล่าวหาอิหร่านว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธในอิรักและกลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรงอื่นๆ เพื่อก่อความไม่สงบในตะวันออกกลาง ซึ่งสหรัฐฯ อาจใช้เป็นข้ออ้างที่มีน้ำหนักสำหรับการบุกโจมตีอิหร่าน

ขณะที่อิหร่านก็มีการซ้อมรบแสดงแสนยานุภาพทางทหารและอาวุธบ่อยขึ้น รวมทั้งกักตุนสินค้าภายในประเทศ แต่ประชาคมโลกที่เฝ้าดูปัญหานิวเคลียร์อยากให้อิหร่านแก้ปัญหาทางการทูตมากว่ากำลังทหาร เพราะถ้าเกิดสงครามระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯขึ้น นั่นหมายความว่าจะเกิดการสังเวยชีวิตทหารและพลเรือนไปในการสู้รบ และตามมาด้วยปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันพุ่งสูงเป็นประวัติศาสตร์ ส่งผลกระทบไปยังเศรษฐกิจทั่วโลกและการสู้รบอาจขยายวงกว้างกลายเป็นสงครามขนาดใหญ่ ดึงให้ประเทศอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องรวมทั้งประเทศในตะวันออกกลางทั้งหมด

หลังจากนั้นมา อิหร่านจึงเป็นประเทศที่หลายฝ่ายจับจ้องมากที่สุด กระทั่งในปี 2019 ที่สหรัฐฯ ออกปฏิบัติการทางทหารนำมาสู่ความตึงเครียดอีกครั้ง

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

จักรพันธุ์ กังวาฬ, และอื่นๆ. กรุ่นกลิ่นอารยธรรมเปอร์เซียในเมืองสยาม. กรุงเทพฯ: มติชน. 2550


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 10 มกราคม 2563