“ตัดนิ้วตนเอง” วัฒนธรรมการประท้วงในสังคมมอญ-พม่า เมื่อ 900 กว่าปีก่อน

นิ้ว จับมือ
ภาพประกอบเนื้อหา (ภาพจาก pixabay.com)

การประท้วงต่อต้านมีหลากหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือการ “ตัดนิ้ว” ซึ่งมีมานานหลายศตวรรษในสังคมมอญ-พม่า  

ตัดนิ้ว ชาวกะเหรี่ยง
ภาพนิ้วก้อยซ้ายที่ถูกตัดโดยชายชาวกะเหรี่ยงผู้เป็นเจ้าของ (ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ๊ก 7Day News Journal)

เรื่องราวการประท้วงด้วยการ “ตัดนิ้ว” ตัวเองที่เก่าแก่สุดเท่าที่ปรากฏในตำนานมอญ มีมาตั้งแต่ราว พ.ศ. 1600 เมื่อ พระเจ้าอโนรธา (Anawrahta) หรือที่คนไทยเรียกพระเจ้าอนุรุธ (ครองราชย์ พ.ศ. 1587-1620) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงพุกาม อาณาจักรเริ่มแรกของชนชาติพม่า ได้กรีธาทัพเข้าโจมตีอาณาจักรสะเทิม (สุธรรมวดี) ของมอญซึ่งอยู่ทางตอนใต้ เพื่อแย่งชิงพระไตรปิฎก

ตลอดจนกวาดต้อนนักปราชญ์ราชบัณฑิตและช่างศิลป์ ตามคำแนะนำจาก “ชิน อรหันต์” ภิกษุมอญผู้ซึ่งได้รับการยกให้เป็นสังฆราชและครูใหญ่แห่งราชสำนักพม่า ดังบันทึกอยู่ในพระราชพงศาวดาร “มหาราชวงษ์พงษาวดารพม่า” (ฉบับหอแก้ว) พิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชนเมื่อ พ.ศ. 2545 ความว่า

“พระองค์ตรัสสั่งให้พลทหารเอาพระไตรปิฎก 30 สำรับ บรรทุกหลังช้างเผือก 32 ช้าง [ช้างเผือก 32 ช้างนี้เป็นของพระเจ้ากรุงสระถุง (สะเทิม) – ผู้เขียน] แล้วพระองค์ทรงตรัสให้พลทหารอาราธนาพระบรมธาตุ พระโลมา ซึ่งพระเจ้ากรุงสระถุงก่อนๆ ได้ทรงบรรจุไว้ในกระเช้าแก้วรัตนนั้น ขึ้นบนหลังช้างเผือก 2 ช้าง แล้วพระองค์ก็รับสั่งให้พระเจ้ากรุงสระถุงแลพระมะเหษีทั้งปวง กับรับสั่งให้เก็บชาวช่างวิเศษแลช่างต่างๆ แลพลทหารราษฎรทั้งปวงกับสาตราอาวุธเครื่องประหลาดทั้งปวงเสร็จแล้ว พระองค์ก็เสด็จกลับกรุงภุกาม…”

อารยธรรมมอญจึงเคลื่อนจากกรุงสะเทิมสู่กรุงพุกาม เป็นต้นแบบอารยธรรมทั้งหลายทั้งปวงของพม่านับแต่นั้นมา ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าในครั้งนั้นมอญจะปราชัยสงคราม ทว่าอารยธรรมมอญกลับมีชัยเหนือพม่า กระทั่งตัวอักษรมอญที่พม่าได้นำไปใช้จดบันทึกภาษาของตน

ภาษามอญและพม่าจึงเหมือนกันมาก แยกแยะได้ยากสำหรับผู้ที่ไม่รู้ และส่วนใหญ่ก็มักจะเหมาเอาว่าเป็นภาษาพม่า แต่อย่างน้อยภาษามอญและพม่าก็มีความแตกต่างกัน ตรงที่ภาษาพม่ารับเอาตัวอักษรมอญไปใช้ทั้งหมด 33 ตัว ยกเว้นตัว “บะ” กับ “แบะ”

คนมอญมักจะเล่าเป็นตำนานว่า พระตะละซอน ถูกพม่าจับตัวไป และบังคับให้ถ่ายทอดตัวหนังสือมอญให้พม่า แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จก็ยอมตัดมือตัวเอง

พม่าจึงได้ตัวหนังสือมอญไปไม่ครบ ขาด 2 ตัว คือ “บะ” กับ “แบะ” ในภาษาพม่าจึงไม่มีพยัญชนะ 2 ตัวนี้ แต่ในความเป็นจริง น่าเชื่อได้ว่า ธรรมชาติภาษาพม่านั้นไม่มีเสียง บ ดังนั้น พม่าจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำอักษรมอญ 2 ตัวดังกล่าวไปใช้

การประท้วงอีกครั้งเกิดขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างพ่อลูก ตามที่ปรากฏในพงศาวดารมอญ ซึ่งไทยเราดัดแปลงมาเป็นวรรณคดีเรื่อง “ราชาธิราช”

พระเจ้าราชาธิราชทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 1830-1849  และพระราชโอรสอันเกิดแต่พระมเหสีเดิมชื่อ พ่อลาวแก่นท้าว ซึ่งกัดนิ้วตัวเองจนขาดต่อพระพักตร์ เพราะไม่ต้องการยกมือไหว้นางเม้ยมะนิก พระมเหสีใหม่ของพระราชบิดา

สาเหตุที่ทำให้พ่อลาวแก่นท้าวทำเช่นนี้ ก็ด้วยแค้นใจที่พระมารดาของตนไม่ได้รับการเหลียวแล เพราะภายหลังพระเจ้าราชาธิราชยกย่องนางเม้ยมะนิก ที่มีพื้นเพมาจากแม่ค้าตลาดสด ขึ้นเป็นเอกอัครมเหสีแทน ดังปรากฏในวรรณคดีเรื่องราชาธิราชฉบับหอสมุดแห่งชาติ ความว่า

“อยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชเสด็จเข้าที่เสวย เม้ยมะนิกผู้เป็นอัครมเหสีก็เฝ้าอยู่ในที่นั้น พ่อลาวแก่นท้าวเสด็จขึ้นไปเฝ้ากราบถวายบังคมสมเด็จพระราชบิดา พอเหลือบไปเห็นเม้ยมะนิกเฝ้าอยู่ก็ขัดแค้นพระทัยทรงพระดำริว่า พระราชบิดารักกายิ่งกว่าหงส์ เอากามาตั้งให้ใหญ่กว่าหงส์ฉะนี้ หาควรที่จะถวายบังคมไม่

เหตุด้วยมีนิ้วมืออยู่จึงต้องไหว้ พ่อลาวแก่นท้าวทรงพระโกรธนัก จึงกัดนิ้วพระหัตถ์เสีย ครั้นพระราชบิดาเพ่งพระเนตรดูก็กัดเสียอีกนิ้วหนึ่งแล้วถ่มเสีย สมเด็จพระเจ้าราชาธิราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ตกตะลึงพระทัยไปแล้วทรงดำริว่า บุตรเรามากัดนิ้วตัวเองเสียดังนี้ เพื่อจะประสงค์สิ่งใด ชะรอยมันคิดว่า จะมิไหว้กูแล้วจึงทำองอาจดังนี้ได้ เมื่อมันเป็นลูกจะมิไหว้พ่อฉะนี้จะเลี้ยงไว้มิได้ นานไปจะคิดประทุษร้ายต่อกู…”

แบบเรียนวรรณคดีไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยกระทรวงศึกษาธิการ

คิดได้ดังนั้น พระเจ้าราชาธิราชก็ถึงกับน็อตหลุด ในเมื่อจิตใจลูกหยาบกระด้าง ยอมกัดนิ้วตัวเองเพียงเพื่อจะได้ไม่ต้องไหว้พ่อและเมียใหม่ของพ่ออีกต่อไป คงด้วยกลัวเสื่อมเกียรติมือของตน

ดังนั้นก็อย่าเป็นพ่อเป็นลูกกันอีกต่อไปเลย ขืนปล่อยไว้วันหนึ่งลูกอาจคิดร้ายฆ่าพ่อได้ พระเจ้าราชาธิราชจึงตรัสสั่งให้สมิงอายกอง เจ้าหน้าที่ประหารนักโทษมานำตัวไปฆ่าเสีย

ก่อนถูกประหาร พ่อลาวแก่นท้าวขอไปบูชาพระมหาธาตุมุเตาและได้กล่าวอธิษฐานผูกพยาบาท ขอให้ได้ไปเกิดใหม่เป็นพม่า เกิดในครรภ์พระอัครมเหสีพระเจ้ามณเฑียรทอง (พระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง) ณ กรุงอังวะ เมื่อไปปฏิสนธิในครรภ์แล้วนั้น ก็ขอให้พระมารดาต้องการเสวยดินใจกลางเมืองหงสาวดีของมอญ เมื่ออายุได้ 22 ปี ก็ขอให้ได้มาทำสงครามกับพระราชบิดาองค์นี้

เมื่อพระเจ้าราชาธิราชรับรู้คำอธิษฐานของพระราชโอรส ก็เป็นเดือดเป็นแค้น เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระมหาธาตุมุเตา ถอดพระมาลาซึ่งทรงไปนั้นออกบูชาพระมุเตาและกราบอธิษฐานว่า สิ่งที่ลูกชายคิดพยาบาทจะมาทำสงครามแก่ตนนั้น ขอพระมุเตาจงช่วยคุ้มครองรักษา ให้ลูกที่คิดร้ายต่อพ่อจงพ่ายแพ้

จากนั้นไม่นาน คำอธิษฐานของพ่อลาวแก่นท้าวก็เป็นจริง แม้ว่าพระเจ้าราชาธิราชจะได้แก้เคล็ด ภายหลังได้รับพระราชสาส์นจากพระเจ้ามณเฑียรทอง ที่ขอพระราชทานดินใจกลางเมืองหงสาวดีไปถวายพระมเหสีเสวยเป็นโอสถแก้แพ้ขณะทรงครรภ์ โดยการสั่งให้ขุดดินในที่จัณฑะคาระสถานเก่า (ส้วมเก่า) นำมาปรุงให้หอม

เมื่อพ่อลาวแก่นท้าวเกิดใหม่ ณ ใจกลางกรุงอังวะ ก็มีนามว่า มังรายกะยอชวา จนอายุได้ 22 ปี ก็ยกทัพมารบกับพระเจ้าราชาธิราชตามคำอธิษฐาน แต่ที่สุดก็ถูกจับตัวเป็นเชลยด้วยมุทะลุด้อยชั้นเชิงในการศึกสงคราม แต่ด้วยเคยผูกพันเป็นพ่อลูกกันมาแต่ชาติปางก่อน พระเจ้าราชาธิราชคิดจะไม่เอาโทษ จะขอชุบเลี้ยงไว้ในเมืองหงสาวดี

แต่มังรายกะยอชวาไม่ยินดี ยืนยันที่จะตายให้สมชาติทหาร พระเจ้าราชาธิราชจึงตรัสสั่งให้ประกอบพิธีปฐมกรรม นำตัวเข้าสู่เกย ชำระพระบาทให้น้ำนั้นไหลรด พร้อมกับวิญญาณที่หลุดจากร่างมังรายกะยอชวา ณ บัดนั้น

ถัดมา ว่าด้วยชีวประวัติ พระอะเฟาะ ติณวิหารโภคาหํ พระเถระปราชญ์ชาวมอญคนสำคัญ มีชีวิตอยู่เมื่อ 300 ปีเศษที่ผ่านมา พระอะเฟาะเกิดในเมืองหงสาวดีเมื่อ พ.ศ. 2242 คาดว่ามีอายุมาจนถึงรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านได้ประพันธ์วรรณกรรมไว้ร่วม 150 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นวรรณกรรมร้อยกรองทางด้านศาสนา มีบ้างที่เป็นนิยายและนิทาน งานนิพนธ์ของท่านแพร่หลายทั่วไปในภูมิภาคอุษาคเนย์จวบจนทุกวันนี้

ตามประวัติกล่าวว่า หลังมอญเสียเอกราชแก่พม่าครั้งสุดท้ายเมื่อ พ.ศ. 2300 พระอะเฟาะได้หนีออกจากเมืองหงสาวดี กระนั้นพม่ายังตามมาบังคับให้ท่านแต่งหนังสือและแปลตำราภาษามอญออกเป็นภาษาพม่าไม่หยุดหย่อน

ในช่วงท้ายของชีวิต พระอะเฟาะจึงตัดนิ้วมือของท่านทิ้ง ด้วยไม่ต้องการเขียนหนังสือในอันที่จะเป็นคุณแก่พม่าอีกต่อไป

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 23 ธันวาคม 2562