“หม่อมเจ้าพรรณราย” พระมเหสีผู้ทรง “ออกรับแขกเมือง” สมัยรัชกาลที่ 4

พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย (พ.ศ. 2381-2457) มีพระนามเดิม หม่อมเจ้าพรรณราย (แฉ่ ศิริวงศ์) เป็นพระธิดาในสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ ประสูติแต่หม่อมกิ่ม ทรงเป็นพระภรรยาเจ้าในรัชกาลที่ 4 ซึ่งใน พ.ศ. 2405 มีขุนนางอังกฤษระดับผู้บัญชาการเรือรบเดินทางมาเมืองไทย ซึ่งนอกจากจะเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 แล้ว ยังประสงค์จะเข้าเฝ้า “เจ้าข้างใน” แต่ขณะนั้นไม่ได้มีการสถาปนา “สมเด็จพระนาง” รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้าพรรณราย “ออกรับแขกเมือง”

ซึ่งเรื่องนี้ ลาวัณย์ โชตามระ เขียนอธิบายไว้ “พระมเหสีเทวี” (สนพ.โอเดียนสโตร์, 2532) สรุปได้ดังนี้

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการกล่าวขวัญถึงว่ามีพระมเหสีและพระสนมมากที่สุดพระองค์หนึ่ง ยิ่งฝรั่งนำไปเขียนเป็นนิยาย บรรยายว่าทรงมี “ข้างใน” เป็นจำนวนนับพัน ก็ยิ่งเชื่อกันใหญ่ว่าถ้าไม่จริงแล้วที่ไหนฝรั่งจะเขียนขึ้นเล่า

อย่างไรก็ตาม ได้มีฝรั่งคนหนึ่ง เขียนแก้ไว้และมีเหตุผล คือ ดร.เอ.บี.กริสโวลด์ นักโบราณคดีอเมริกัน ได้เขียนเรื่อง King Mongkut of Siam ลงในวารสารแห่งสยามสมาคมเล่ม 44 ภาค 1 เป็นภาษาอังกฤษ ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงแปลเป็นไทยไว้ มีข้อความตอนหนึ่งว่า

“การมีสนมเป็นจำนวนมากเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่าเป็นการสนุกสนานส่วนพระองค์ของพระราชาเท่านั้น แต่คล้ายกับพระอินทร์เทพเจ้าผู้มีนางอัปสรเป็นจำนวนพัน ๆ บำรุงบำเรออยู่บนสวรรค์ ประเพณีก็สนับสนุนด้วยว่าพระราชาต้องมีสนมหลายคน นอกจากนี้การมีสนมหลายคนก็เป็นเครื่องสนับสนุนทางด้านการเมืองด้วย พระราชาอาจผูกพันความซื่อสัตย์ของเจ้าประเทศราชและขุนนางผู้มีอำนาจได้โดยทรงรับธิดาของท่านเหล่านั้นเป็นเป็นเจ้าจอม…”

หลังจากที่ทรงได้รับราชสมบัติใน พ.ศ. 2394 แล้ว ได้มีการยกพระราชวงศ์ฝ่ายในและบุตรีข้าราชการผู้ใหญ่ขึ้นถวาย บางองค์บางท่านก็มีพระราชโอรสธิดาด้วย แต่บางท่านก็ไม่มี

“ข้างใน” ที่ได้รับการสถาปนาเป็นพระมเหสีพระองค์แรก คือสมเด็จพระนางเธอโสมนัสวัฒนาวดี พระธิดาพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 3 พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ สิ้นพระชนม์ตั้งแต่พระโอรสธิดายังทรงพระเยาว์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ 3 โปรดฯ ให้รับมาเลี้ยงไว้ในพระบรมมหาราชวัง และทรงตั้ง “หม่อมเจ้าหญิงโสมนัส” ให้เป็น “พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า” เมื่อถึงรัชกาลที่ 4 ก็ทรงได้เป็นพระมเหสี

สมเด็จพระนางโสมนัสนั้น เป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่งของรัชกาลที่ 3 นอกจากทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระองค์เจ้าดังกล่าวไว้ข้างต้นแล้ว เวลาโสกันต์ก็มีงานเกือบเท่าเจ้าฟ้า และเมื่อทรงมีครอบครัว ก็ทรงอยู่ในฐานะสมเด็จพระอัครมเหสี ยิ่งยศกว่าพระมเหสีอื่นๆ ซึ่งเป็นหม่อมเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ 3 ด้วยกัน และเมื่อกำลังทรงพระครรภ์ก็ยิ่งเป็นที่โปรดปรานของพระราชสวามี เพราะพระราชโอรสหรือธิดาที่อยู่ในพระครรภ์นั้นจะต้องทรงเป็นเจ้าฟ้าพระองค์แรกที่ประสูติในเศวตฉัตรอย่างแน่นอน

แต่การณ์ก็มิได้เป็นไปตามที่ทุกพระองค์ทรงคาดหวังและรอคอย พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) บรรยายเหตุการณ์ไว้ว่า

“ในเดือน 10 นั้น พระองค์เจ้าโสมนัสวัฒนาวดี ซึ่งเป็นพระเจ้าหลานเธอในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นบุตรพระองค์เจ้าลักขณา พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงชุบเลี้ยงขึ้น ตั้งให้เป็นสมเด็จพระนางโสมนัสวัฒนาวดี ทรงพระประชวรเป็นพระยอดภายในที่ศูนย์พระนาภี แพทย์หมอไม่รู้ถึงพระโรค เข้าใจว่าเป็นโรคครรภรักษาก็รักษาไป ครั้นพระครรภ์ได้ 7 เดือน ณ เดือน 11 ขึ้น 7 ค่ำ (วันจันทร์ที่ 20 กันยายน) ก็ประสูติพระราชกุมารออกมาอยู่ได้ 1 วัน ก็ดับสูญ ฝ่ายสมเด็จพระนางโสมนัสวัฒนาวดีนั้น พระยอดเป็นพระบุพโพแก่ก็แตกออกมาที่ศูนย์พระนาภีบ้างตกข้างในบ้าง ครั้น ณ วันอาทิตย์เดือน 11 แรม 12 ค่ำ (วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม) [พ.ศ. 2395] ก็สิ้นพระชนม์”

พระราชโอรสที่ประสูตินั้นยังไม่มีพระนาม แต่เรียกกันว่า สมเด็จเจ้าฟ้าชายโสมนัส ตามพระนามของพระชนนี

เพียงหนึ่งปีบริบูรณ์ หลังจากที่สมเด็จเจ้าฟ้าชายโสมนัสสิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงได้พระราชโอรสอีกพระองค์หนึ่ง เมื่อวันอังคาร แรม 2 ค่ำ ปีฉลู ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 ประสูติแต่หม่อมเจ้ารำเพย

พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ บรรยายว่า

“พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณายิ่งนัก โปรดฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์เสนาบดีสมโภช พระบรมวงศานุวงศ์เสนาบดีจึงเข้าชื่อกันกราบทูลว่า ทุกวันนี้เจ้าฟ้าก็ไม่มีเหมือนแต่ก่อน ขอให้ยกขึ้นเป็นเจ้าฟ้าจะได้สมเยี่ยงอย่างแต่โบราณมา…”

ก่อนที่จะทรงยกพระราชโอรสขึ้นเป็นเจ้าฟ้า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ทรงยก หม่อมเจ้ารำเพย ขึ้นเป็น พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ ทั้งนี้ตามธรรมเนียมราชตระกูลในเมืองไทยที่ว่า “เมื่อเป็นหม่อมเจ้าอยู่ดังนั้นก็ไม่สมควรที่จะเป็นพระมารดาเจ้าฟ้า เมื่อพระเจ้าแผ่นดินจะโปรดให้เป็นเจ้าฟ้า จึงต้องยกขึ้นให้เป็นพระองค์เจ้า”

พระราชโอรสที่ประสูติในวันที่ 20 กันยายน 2396 ได้รับพระราชทานพระนามว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ยังทรงมีพระราชโอรสธิดาต่อมาอีก 3 พระองค์ คือสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงจันทรมณฑล สมเด็จเจ้าฟ้าชายจาตุรนต์รัศมี และสมเด็จเจ้าฟ้าชายภาณุรังษีสว่างวงศ์ พระองค์น้อยประสูติเมื่อปีมะแม พ.ศ. 2402

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยกย่องพระองค์เจ้ารำเพยเป็นพระอัครมเหสี มีตราประจำพระองค์ในตำแหน่งพระราชเทวีเป็นรูปมงกุฎกษัตรีบนพานแว่นฟ้า สองข้างเป็นลายกนก ทรง “อินเวนท์” ให้แต่งพระองค์ทรงพระภูษาเยียรบับ ทรงสพักผ้าตาดตะแบงมานสองพระอังสาคล้ายผ้าห่มนาง และทรงกระบังกรอบพระพักตร์ตามแบบ “ควีน” ของฝรั่ง นอกจากนั้นยังทรงฉายพระบรมรูปคู่กับพระนางเธอรำเพยภมราภิรมย์เพียงพระองค์เดียว เป็นการยกย่องว่าพระนางเธอทรงเป็นเอก เพราะแม้จะทรงมีพระมเหสีอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้ทรงฉายพระรูปคู่ด้วยเลย และก็กลายเป็นพระราชนิยมกลายๆ ว่าเมื่อใดที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงฉายพระบรมรูปคู่กับพระมเหสีพระองค์ใด เมื่อนั้นก็แปลว่าพระมเหสีพระองค์นั้นทรงเป็นเอก

พระนางเธอรำเพยภมราภิรมย์ เริ่มทรงพระประชวรกระเสาะกระแสะตั้งแต่ประสูติพระราชบุตรองค์เล็กใน พ.ศ. 2402 พระอาการมีแต่ทรงกับทรุด และในที่สุดก็สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2404

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเธอรำเพยภมราภิรมย บรมราชินี

ในระหว่างที่สมเด็จพระนางเธอรำเพยภมราภิรมย์ ยังทรงดำรงพระชนม์อยู่นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงมีพระมเหสีอื่นๆ ที่ทรงมีพระราชโอรสธิดากับพระองค์ แต่ก็ไม่ได้ทรงโปรดฯ ให้พระราชโอรสธิดาเป็นเจ้าฟ้าแต่ประการใด

“ข้างใน” บางท่านก็มีที่เป็นพระธิดาเจ้าประเทศราช ก็ได้ทรงมีพระราชปรารภว่า จะให้พระราชโอรสธิดาเป็นเจ้าฟ้า บางท่านถึงกับได้รับเฉลิมพระยศเป็นพระองค์เจ้าไว้ล่วงหน้าเช่น นักเยี่ยม ธิดาสมเด็จพระเจ้านโรดม พระเจ้ากรุงกัมโพชาก็โปรดให้เป็น พระองค์เจ้ากำโพชราชสุดาดวง และเป็นขุนนางมียศมีศักดิ์มีตำแหน่งเป็นผู้บังคับการเรือรบ

ในพระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงมีถึงกรมหมื่นบวรวิชัยชาญ ทรงเล่าถึงเรื่องราวตอนที่โปรดฯ ให้พระมเหสีองค์หนึ่งออกรับแขกเมือง เมื่อต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2405 นั้นว่า

“ครั้นวันศุกร์แรม 6 ค่ำเดือนอ้าย เลอร์ด ยอนเฮ กับขุนนาง เรือรบ 8 นาย กับกงสุลอังกฤษพากันลงเรือไปเที่ยวรอบพระนคร แล้วไปหากรมหลวงวงษาธิราชสนิทแห่งหนึ่ง เจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์แห่งหนึ่ง เจ้าพระยารวิวงษ์มหาโกษาธิบดีแห่งหนึ่ง ก็ไม่ได้ไปพูดจาว่าขานการสิ่งไรเป็นแต่เชิญพวกนั้น นัดให้ไปกินโต๊ะที่บ้านกงสุลแล้วก็กลับไป ครั้นวันเสาร์แรม 7 ค่ำ เดือนอ้าย เลอร์ด ยอนเฮ กัปตันอาเล็กแษนเดอร์กับขุนนางมียศเป็นเซอร์ แลหมอรวมกัน 9 นาย เข้ามาหา ฯข้าฯ  ในท่ามกลางเจ้านายขุนนาง

ฯข้าฯ ได้ปราไสว่าท่านมานี้ด้วยประสงค์ธุระสิ่งไร ก็ว่าไม่มีธุระอันใด เป็นแต่ได้ฟังกิตติศัพท์ว่า พระเจ้าแผ่นดินฝ่ายไทยโปรดอังกฤษมาก จนหัดเรียนเขียนอ่านภาษาอังกฤษได้ เลอร์ด ยอนเฮ อยากเห็นอยากชมก็เข้ามา แลว่าเวรที่จะต้องอยู่ในทะเลยังเหลืออยู่อีก 5 เดือน แล้วจะไปลอนดอน จะได้กราบทูลแก่ควีนวิกตอเรียว่าได้เข้ามาเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินไทย และจะใคร่เฝ้าเจ้าข้างใน แต่หาได้มาทันในเวลาโน้นไม่ ทราบว่าเจ้าข้างในสิ้นพระชนม์เสียแล้ว

เดี๋ยวนี้ตั้งเจ้าข้างในใหม่ขึ้นฤายัง ถ้าตั้งขึ้นแล้วจะขอเฝ้าให้เป็นเกียรติยศ ได้ตอบว่า เจ้าข้างในใหม่ยังไม่มี กงสุลอังกฤษว่าแซกเข้ามาว่า น้องสาวของเจ้าข้างในเก่าที่ล่วงแล้วนั้นมีอยู่ให้มารับคำนับแทนก็ได้ เลอร์ด ยอนเฮ ก็ดีใจ รับว่าจะขอเฝ้าเจ้าน้องข้างในแค่ให้รับคำนับแทน จึงได้ไปเรียกหม่อมเจ้าพรรณรายออกมาให้รับคำนับด้วย

หม่อมเจ้าพรรณราย ทรงร่วมพระบิดากับสมเด็จพระนางเธอรำเพยภมราภิรมย์ โดยที่เมื่อยังทรงพระเยาว์ “ทรงแสง” ยิ่งกว่าเจ้าพี่เจ้าน้ององค์ใด จึงทรงมีพระนามสมยา (nickname) ว่า แฉ่ แม้เมื่อทรงเป็นพระมเหสีเทวีแล้ว ในบางครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ก็ตรัสเรียกว่าหญิงแฉ่ ในใบพระราชทานพระนามพระราชโอรส ทรงระบุว่า “หญิงแฉ่พรรณราย” และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งตรัสเรียกและทรงระบุถึงว่า “น้าแฉ่” เท่านั้น

หม่อมเจ้าพรรณราย ทรงมีพระราชธิดาเป็นพระองค์ใหญ่ จึงมิได้ทรงรับเฉลิมพระยศแต่ประการใด เมื่อทรง “ออกรับแขกเมือง” นั้นกำลังทรงครรภ์อยู่อ่อนๆ จากนั้นอีก 5 เดือนเศษ ก็ประสูติพระราชโอรส ในวันที่ 28 เมษายน 2460 ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานพระนามว่า “จิตรเจริญ” ทรงเป็นที่รู้จักของคนไทยและคนต่างชาติในฐานะ ยอดศิลปินของเมืองไทย และได้ทรงกรมมีพระนามกรมว่า “นริศรานุวัดติวงศ์”

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 11 กรกฎาคม 2562