รัชกาลที่ 5 ทรงเขียน “พินัยกรรม” แบ่งทรัพย์สินให้ “พระภรรยาเจ้า-พระภรรยา”

สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมราชเทวี และพระอัครราชเทวี พร้อมด้วยเจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม ณ อัฒจันทร์ พระที่นั่งวิมานเมฆ (ภาพจาก หนังสือ “พระตำหนักสวนสี่ฤดูพระราชวังดุสิต” )

ในปี พ.ศ.2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระชนมพรรษา 40 พรรษา นอกจากงานราชการแผ่นดินที่ทรงบริหารจัดการในฐานะประมุขของประเทศแล้ว ในฐานผู้นำครอบครัว พระองค์ก็ทรงบริหารจัดการด้วยพระเมตตา ดังที่ปรากฎใน ประชุมพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 ภาคปกิณกะ 2 เรื่อง “พระราชปรารภเรื่องอนาคตกาล” (สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, 2557) เพื่อให้สะดวกในการอ่านจึงได้ตัวย่อหน้า และกำหนดตัวอักษรดำหนา ดังนี้

“ขอแจ้งความแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง หรือผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจะเป็นใหญ่ปกครองพระราชอาณาจักรสยามสืบไปภายหน้าให้ทราบว่า ในการที่จะกล่าวต่อไปนี้ คือ กรมวัง กรมพระคลังมหาสมบัติ กรมพระคลังข้างที่เป็นต้นก็ดี หรือผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งจะเป็นผู้ทำนุบำรุงราชการสืบไปภายหน้า ว่าข้าพเจ้ามีความวิตกอยู่ประการใด ได้เขียนหนังสือไว้แต่ก่อนแล้วหลายฉบับ ได้ออกวาจาและตั้งใจไว้ว่าจะเขียนต่อไปอีก แต่ก็หามีเวลาไม่ แต่ที่ทําทั้งนี้ใช่จะเป็นด้วยความท้อแท้ใจอย่างหนึ่งอย่างใดก็หาไม่ ทำโดยความไม่ประมาท แก่ชีวิตสังขารว่าจะยั่งยืนอยู่เพียงไร

ด้วยมาพิเคราะห์ดูอายุข้าพเจ้าบัดนี้ล่วงมามากกว่ากรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร 2 ปีถ้วนแล้วยังน้อยอยู่กว่ากรมหมื่นมเหศวรศิววิลาสอีกสัก 4 ปี หรือ 5 ปีไม่ถึง สังเกตดูโรคภัยมีเบียดเบียนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ในฤดูนี้เป็นเวลาที่ควรจะได้ไปรักษาตัวที่เกาะสีชัง ซึ่งได้ไปทดลองแล้วและเห็นดีขึ้น ก็ไม่สามารถจะอยู่ในที่นั้นได้ ด้วยมีข้อราชการสำคัญ จำจะต้องเข้ามาอยู่ในพระนคร สังเกตดูตั้งแต่มาอยู่ กำลังก็อ่อนเพลียไปกว่าเมื่ออยู่นอก ให้มีความวิตกหวาดหวั่นไปว่าจะเป็นอย่าง เช่น กรมอมเรนทร์ หรือกรมอุดม แลการที่มาอยู่ในกรุงเทพฯ นี้เล่า ก็ต้องคิดอ่านการงาน มีการที่แปลกประหลาดมาเนืองๆ ทั้งโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นในครอบครัวที่ใกล้ชิด…(ข้อความเลือน) ลูกชายเล็กจับไข้อย่างแรงเป็นต้น

ข้าพเจ้าไม่มีความแน่ใจว่าชีวิตสังขารจะตั้งอยู่ได้สักเพียงใด จึงได้เรียก พระองค์เจ้าไชยันตมงคล รองเสนาบดีกระทรวงวัง เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงษ์ ผู้ว่าการกรมพระคลังมหาสมบัติ กรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ อธิบดีกรมพระคลังข้างที่ อันเป็นตัวเจ้าพนักงานอยู่ในบัดนี้ และกรมหมื่นพิทยลาภพฤติธาดา เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร ได้เรียกมาเป็นคนกลางเพื่อจะเขียนหนังสือฉบับนี้

ขอเริ่มความที่จะกล่าวต่อไปนั้น ดังนี้ คือการซึ่งแม่เล็กเสาวภาผ่องศรีขึ้นมาอยู่ที่บนนี้ เดิมที่จะขึ้นมาก็มาพร้อมกันทั้งแม่กลาง [สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี] แม่เล็ก [สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ] แต่แม่เล็กเป็นคนไม่แข็งแรง เวลามีครรภ์เดินไกลไม่ได้จึงไม่ใคร่ได้ลงไปเรือน แม่กลางเป็นคนแข็งแรงเดินไปมาที่เรือนได้ จึงได้เฉยเป็นอยู่ติดต่อมาที่บนนี้

ภายหลังมาต่างคนต่างมีลูกมากขึ้นด้วยกัน แม่กลางได้มีครรภ์ถึง 9 ครั้งมีลูก 7 คน ตาย 2 แม่เล็กมีครรภ์ 14 ครั้ง มีลูก 8 คน ตาย 6 เมื่อรวบรวมแต่เฉพาะที่ออกมาเป็นตัวคน ก็ถึง 15 คน เรือนเก่าซึ่งเป็นที่อยู่นั้น ย่อมเป็นที่คับแคบไม่พอจะอยู่ได้ทั้ง 2 ครัว แม่เล็กจึงได้เลยยกครอบครัวหอบลูกขึ้นมาอยู่ที่บนด้วย ข้าพเจ้าได้กล่าวแลได้ตั้งใจไว้เสมอว่า ถ้าเสด็จยายล่วงลับไปแล้ว จะให้แม่กลางมาอยู่ที่ตําหนักประตูดินนี้ จะเอาเรือนเก่านั้นให้แม่เล็กอยู่ เพราะฉะนั้นจึงรั้งรออยู่มิได้คิดอ่านการอันใด

ครั้นภายหลังมาก็นึกมีความวิตกว่าตัวมีอายุมากขึ้นทุกวัน ลูกก็ยังเด็กๆ ถ้าเป็นอันตรายลง ลูกและตัวแม่เล็กซึ่งจะอยู่บนพระที่นั่งต่อไปนั้นเป็นการไม่สมควร และเป็นไปไม่ได้ตามธรรมดา จะต้องหาเรือนให้ ได้ทําเรือนที่ริมคลังนี้ขึ้น หมายว่าจะให้เป็นที่พักของแม่เล็ก ในเวลาฉุกเฉินเช่นนั้น แต่ก็เป็นเวลาที่ยังไม่ต้องการ นางแส [เจ้าจอมมารดาแส (แส โรจนดิศ)] นางเลื่อน [เจ้าจอมมาดาเลื่อน (เลื่อน นิยะวานนท์)] มีลูกจึงให้ไปออกลูกในที่นั้นก็กลายเป็นเจ้าของไป

อีกประการหนึ่ง ที่นั้นอยู่ใกล้พระที่นั่งมีอุปจารติดต่อก็ไม่เป็นที่สมควรแก่กาลเวลาซึ่งจะอยู่สืบไป อีกนัยหนึ่งคิดว่าโรงละครหรือที่อย่างเก่า เรียกกันว่าโรงฝึกและเรือนหม่อมยิ่งอันติดเนื่องเป็นแถวเดียวกัน ถ้ารื้อลงก่อสร้างขึ้นเสียใหม่ สุขุมาล [พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี] รับจะไปอยู่ในที่นั้น เรือนเดิมของสุขุมาลแลเรือนนางดารา [พระราชชายา เจ้าดารารัศมี] ซึ่งอยู่ติดต่อกันไปนั้น จะทําขึ้นเป็นเรือนอีกหมู่หนึ่งให้แม่เล็ก อยู่ก็เป็นการตกลงพอใจด้วยกันแล้ว แต่มาติดอยู่ด้วยเห็นว่าไม่ควรจะเอาพระราชทรัพย์ มาใช้จ่ายในการทำเหย้าเรือนในวัง เมื่อมีหน้าศึกหน้าสงครามดังนี้อย่างหนึ่ง และต่อไปภายหน้าบางทีก็จะเป็นที่กีดขวาง มิใช่เกิดขึ้นโดยความรังเกียจ เกิดขึ้นเพราะเรื่องจนที่ในวังไม่มี จึงได้ตกลงระงับไว้มิได้กล่าวมิได้คิดในการที่จะทำในเวลานี้

แต่บัดนี้มามีความวิตกถึงร่างกายชีวิตสังขารไปเป็นที่แน่แก่ใจ ถ้าเวลาใดเวลาหนึ่ง ข้าพเจ้าตายลงในขณะเมื่อยังมิได้จัดที่อยู่อันเป็นที่สมควรเช่นนี้ ก็หน้าที่จะเป็นความลำบากแก่แม่เล็กและลูก หรือผู้ที่จะจัดการสืบไปภายหน้า ด้วยว่าจะเอาไปอัดลงไว้ในเรือนเดิมแห่งเดียวกัน ก็คงจะต้องคับแคบ ด้วยต่างคนต่างมีลูกด้วยกันหลายคนและสมบัติพัสถานที่ต่างคนต่างมีมากขึ้น

ถ้าหากเป็นเหตุเช่นนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายผู้เป็นเจ้าพนักงานได้จัดการหาที่ยักย้าย อันข้าพเจ้ายังนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี หรือจะเป็นเรือนแถว เช่นเรือนอรไทยยกขึ้นให้เรียบร้อย พอมีความสุขแก่ตัวแม่เล็กและลูกก็ได้ เพราะการที่จะอยู่นั้นก็ไม่ช้านักด้วยว่าลูกเป็นผู้ชายทั้งสิ้น เมื่อโตขึ้นแล้วก็คงจะต่างคนต่างออกจากวังไป ไม่ต้องตั้งรกตั้งรากอยู่ในนี้เหมือนลูกผู้หญิง เพราะฉะนั้นถึงจะดีหน่อยชั่วหน่อยหนึ่งอย่างไร ขอแต่ให้มีความสุขพออยู่อย่าให้ได้ความคับแค้น และอันจะเป็นยุติแล้ว

อีกข้อหนึ่งทรัพย์สมบัติอันใดแบ่งตอนเป็นส่วน ตั้งแต่พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร ตอนห้องน้ำเงินไปนั้นเป็นส่วนของแม่เล็กและลูกทั้งสิ้น โดยความสัตย์จริงจะมีที่เป็นของหลวงไปตกแต่งอยู่บ้าง คือ ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง เครื่องตั้งหลังตู้ และโคมกับตั้งรูปภาพพงศาวดาร ที่สุดจนรูปเขียนก็เป็นของแม่เล็กสั่งซื้อด้วยเงินของตัวเองโดยมาก ของซึ่งตั้งประดับอยู่ในตู้เป็นส่วนของลูกบ้าง ของแม่เล็กบ้าง แต่ได้เก็บลงหีบไว้เสียก็มีโดยมาก

ของทั้งปวงนี้ข้าพเจ้าขอปฏิญาณโดยความสัตย์จริงว่าเป็นของส่วนที่ข้าพเจ้ายกให้ก็ดี ของที่แม่เล็กซื้อเองก็ดี มักจะมีเหมือนกับของแม่กลางและผู้อื่นบ้าง สืบได้ง่ายเพราะได้ให้เหมือนๆ กัน นัดทำพร้อมๆ กัน โดยมากบรรดาเงินทองแลสิ่งของ ทั้งชั้นบนชั้นล่าง ยกเสียแต่สิ่งของซึ่งได้ออกซื้อมา คือ เครื่องตั้งหลังตู้เป็นต้น ซึ่งอยู่เขตพระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร ห้องน้ำเงิน พระที่นั่งสุทธาศรีอภิรม พระที่นั่งเทพดนัยทั้งชั้นบนชั้นล่างเป็นส่วนของแม่เล็กทั้งสิ้น

ถ้ามีเหตุอันตรายแก่ตัว… (ข้อความเลือน) ใช้สอยจำหน่ายเลี้ยงชีวิต ถ้าต้องติดกักขังไว้ชำระสะสางเป็นการยึดยาวแล้วก็จะได้ความลำบากแสนสาหัส เพราะไม่มีทรัพย์สมบัติอันใดอื่น ซึ่งจะได้ติดตัวอยู่เลย ถึงแม้ว่าจะสงไสยว่าเป็นของหลวงติดพัวพันอยู่อย่างไร ขอให้ท่านทั้งปวงมีความเมตตาแก่ตัวข้าพเจ้า ได้ถือว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายนั้น ข้าพเจ้าได้ยกให้แก่แม่เล็ก แต่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งสิ้น จึงได้ไปตกอยู่ในมือเช่นนั้น อย่าให้เป็นข้อราคิมั…(ข้อความเลือน) องอย่างหนึ่งอย่างใดดังเช่นเคยเป็นมาเมื่อครั้งทูลกระหม่อมสวรรคต… (ข้อความเลือน) มีผู้กล่าวโทษกันและกันหลายราย ขอให้เป็นอันตัดทิ้งเสีย เช่นข้าพเจ้าได้ตัดทิ้งเสียแล้วแต่ก่อนนั้นเถิด

อีกข้อหนึ่งที่ชั้นต่ำพระที่นั่งบรรณาคมสรณี หรือจะมีในชั้นต่ำพระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร ห้องเขียวข้างซึ่งเจ้าสาย [พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา (หม่อมเจ้าสาย ลดาวัลย์)] ได้ขึ้นมาอยู่อาศรัยในที่นั้น ข้าพเจ้ามิได้เอาสิ่งของอันหนึ่งอันใดไปตกแต่งให้เลย เป็นส่วนเขาหามาตั้งแต่งของเขาเองทั้งสิ้น จะมีปะปนอยู่บ้างก็แต่ในห้องชั้นต่ำพระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร ก็เป็นแต่เครื่องลายคราม ไม่สลักสำคัญอันใด ของในที่อยู่เจ้าสาย ตอนนี้…(ข้อความเลือน) หนึ่ง ก็ขออย่าให้ต้องกักขังยึดหน่วงไว้เพื่อจะชำระสะสางอันใดเลย เพราะไม่มีสิ่งใดในที่นั้นมากนัก เพราะเขามีเหย้าเรือนเคหาอยู่แล้ว ของที่มีอยู่ทั้งหลายนี้เป็นแต่ของเล่นบ้างของใช้บ้างติดตัวมาเท่านั้น

อีกข้อหนึ่งลูกแม่เล็กซึ่งยังเป็นเด็กๆ อยู่ ไม่มีผู้ใดเลี้ยงดูแล ก็ได้อาศรัยพี่บ้าง น้องบ้าง ช่วยกันเลี้ยงดูไป ถ้าเวลาใดแม่เล็กจะได้รับอนุญาตออกไปอยู่นอกวังกับลูกพี่น้องซึ่งเลี้ยงลูกนั้น ถ้าเธอเห็นว่าสิ้นวาสนาบารมีแล้วจะทิ้งเสียก็ตาม ถ้ายังมีใจรักใคร่ จะรับเลี้ยงดูกันต่อไป จะควรเรียกหาประกันให้เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจอย่างไรแล้ว ถ้าสมัครจะตามออกไปอยู่ด้วยกันเป็นเพื่อน ช่วยเลี้ยงดูลูกก็ขออนุญาตให้ออกไป ด้วยต่างคนก็ต่างมีอายุมากๆ ด้วยกันแล้ว เว้นแต่ที่จะไว้ใจไม่ได้ เพราะมีตัวอย่างไม่ดีอยู่จะหน่วงเหนียวไว้ก็ตาม แต่ขอให้มีความพิจารณาโดยเมตตาจงมาก อย่าให้ได้ความลำบากในอันใช่ที่อย่างหนึ่งอย่างใดเลย

ข้อความทั้งปวงนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้ปฏิญาณตนในเบื้องต้น เพราะเห็นว่าท่านทั้งหลาย ซึ่งได้มานั่งอยู่ในที่นี้ ได้เห็นชัดอยู่ว่า ข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ดี ได้เขียนหนังสือนี้โดยความประสงค์อันแท้จริง ควรจะเป็นที่เชื่อฟังได้ เพื่อจะให้เห็นพยานในคำสั่งอันนี้ ให้แน่นอนจึงได้ลงชื่อด้วยลายมือไว้เป็นสำคัญ มอบให้กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิธาดา เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร รักษาไว้เป็นกลางฉบับ 1 เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงษ์ เสนาบดีกรมพระคลังมหาสมบัติรักษาไว้ฉบับ 1 พระองค์เจ้าไชยันตมงคล รองเสนาบดี กระทรวงวังรักษาไว้ฉบับ 1 กรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ อธิบดีกรมพระคลังข้างที่รักษาไว้ ฉบับ 1

ถ้าท่านทั้งหลายผู้ได้รักษาหนังสือนี้ไว้ หรือผู้ที่จะรับตําแหน่งทั้งหลายนี้สืบต่อไป เห็นควรเวลาที่จะพูดเมื่อใด ขอให้นําหนังสือนี้ถวายผู้ซึ่งจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินสืบไปภายหน้า หรือผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งจะเป็นประธานในราชการแลเสนาบดีสภาตามสมควรแก่เวลา ซึ่งต้องการ หนังสือนี้ได้ทําไว้แต่วันที่ 23 เมษายนรัตนโกสินทรศก 112

(พระบรมนามาภิไธย)

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 (ภาพจาก AFP PHOTO)

เพื่อจะให้เป็นพยานมั่นคงว่าผู้ซึ่งนั่งอยู่ในที่นี้ ได้เห็นข้าพเจ้ากล่าวข้อความอันนี้ โดยสติไม่ฟันเฟือน จึงขอให้ลงชื่อไว้เป็นสําคัญข้างท้ายนี้ เป็นพยานทั้ง 4 คน แลแม่กลางได้นั่งอยู่ในที่นี้ด้วยอีกคนหนึ่ง จึงได้ลงชื่อไว้เป็น 5 คนด้วยกันดังต่อไปนี้

ขอแจ้งความแด่ผู้ซึ่งจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินสืบสันตติวงษ์สืบไปภายหน้า หรือประธานาธิบดี และเสนาบดีที่จะได้ช่วยทํานุบํารุงราชการแผ่นดินลับไป หรือผู้หนึ่งผู้ใด ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ คือ กรมวัง กรมพระคลังมหาสมบัติ กรมพระคลังข้างที่ พระคลังใน เป็นต้น แลผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งจะได้เกี่ยวข้องในการทั้งปวงนี้ให้ทราบว่า

เมื่อวันพระก่อน ข้าพเจ้าได้เขียนหนังสือไว้ฉบับ 1 ซึ่งลงวันที่ 23 เมษายน รัตนโกสินทร์ศก 112 ยังหาสิ้นข้อความตามประสงค์ไม่ ด้วยคิดว่าไม่เป็นการด่วนอันใด ครั้นมาวันนี้เป็นวันพระ เวลาว่างไม่ต้องออกขุนนาง และไปนั่งในที่ประชุมสบายดี จึงได้หาตัวท่านทั้ง 4 คือ พระองค์เจ้าไชยันตมงคล แทนเสนาบดีกระทรวงวัง เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงษ์ เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ กรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ อธิบดีกรมพระคลังข้างที่ อันเป็นตัวเจ้าพนักงานอยู่ในบัดนี้ แลกรมหมื่นพิทยาพฤฒิธาดา เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร เป็นคนกลางเข้ามาพร้อมกัน เพื่อจะเขียนหนังสือฉบับนี้เพิ่มเติมความฉบับก่อนต่อไป ขอเริ่มความว่า

ข้าพเจ้ามาพิจารณาเห็นว่า ความชราพยาธิได้มามีปรากฏเฉพาะหน้าข้าพเจ้ามากขึ้น และถี่ขึ้นในขณะนี้ ดังที่ได้กล่าวไว้ในหนังสือฉบับก่อนบ้างแล้ว แต่บางทีท่านทั้งหลายจะเข้าใจว่า ข้าพเจ้ามีความสะดุ้งหวาดหวั่นกลัวต่อมรณภัย จะขอชี้แจงให้ทราบน้ำใจพอที่จะพิจารณาเห็นจริงได้ว่า ข้าพเจ้ามิได้มีความหวาดหวั่นกลัวเกรงต่อมรณภัยอย่างหนึ่งอย่างใดเลย ด้วยมาทำในใจเป็นแน่แท้เสียช้านานมาแล้ว ว่าการที่ถึงแก่ความตายนั้น ถ้าหากว่าไม่เป็นที่สิ้นสุขและทุกข์ไปได้ ก็จะต้องไปถือเอากำเนิดในผู้อื่น ตั้งหนึ่งรับสุขทุกข์ในชาตินั้นไปตามยถากรรมที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อน

ถ้าหากว่าเหตุที่สิ้นชีวิตไปนั้นจะเป็นประโยชนเพื่อความตั้งมั่นแห่งวงศ์ตระกูลอันได้สืบเนื่องมา 100 ปี กว่าแล้ว หรือจะเป็นประโยชนเพื่อความสุขแก่คนทั้งหลาย อันเป็นชาติชาวสยามด้วยกัน ข้าพเจ้ามีความยินดีที่จะเลียสละชีวิตถือเอาภพใหม่ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว เมื่อมิได้มีโอกาสเช่นนั้นจะเป็นไปโดยธรรมดา ก็มิได้มีความวิตกเสียใจอันใด ด้วยตัวจะต้องถึงแก่ความตาย ในเวลาอันควรและถึงกาละแล้วนั้นเลย แต่มามีความวิตกห่วงหลัง ในส่วนผู้ซึ่งจะอยู่ต่อไป ที่เป็นผู้จะได้รับทุกข์เวทนาเพราะตัวข้าพเจ้านั้นอยู่หน่อยหนึ่ง

จึงได้ปรารภที่จะเขียนหนังสือฉบับนี้ทิ้งไว้เสียแต่ในเวลานี้ ให้เป็นที่ปลดเปลื้องความกังวลอันจะต้องทำในเวลาอันเป็นอาสัญกาล เพราะเหตุว่าการอันนี้ย่อมเป็นของลงที่ลงรอยอยู่แล้ว ไม่เปลี่ยนแปลงเดินไปอยู่เหมือนอย่างราชการแผ่นดิน อันจำเป็นจะต้องพูดต้องกล่าวในเวลาซึ่งจวนแจ เรื่องซึ่งข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไปบัดนี้ คือ

1. ทรัพย์สมบัติอันใดซึ่งข้าพเจ้าได้ยกให้แก่ลูกเมียในชั้นเจ้านาย ที่สุดจนเครื่องยศ ก็ได้ทำด้วยเงินพระคลังข้างที่ และได้ทำหนังสือมอบให้เป็นสิทธิ์ขาดไม่ใช่เป็นของเครื่องยศสําหรับแผ่นดิน ซึ่งจะคืนมาใช้ให้ผู้อื่นต่อไปอีก ส่วนเจ้านายก็ดี ส่วนเจ้าจอมมารดาที่มีลูกก็ดี ข้าพเจ้าได้ทำหนังสือให้ไว้โดยมาก ว่าของสิ่งนั้นๆ ควรคืน นอกจากนั้นไม่ต้องคืน ที่ยังมิได้ทําให้บ้างก็มี ส่วนหนังสือที่ทําให้นั้นก็เป็นการล่วงมาแล้วช้านาน การจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็จําไม่ได้ถนัด แลเหลือที่จะพรรณนา

จึงขอสั่งว่าบรรดาผู้ที่ได้รับหนังสืออนุญาตสิ่งของทั้งปวงเป็นสิทธิ์ขาดแล้ว ก็ให้ได้รับสิ่งของทั้งปวงนั้นเป็นสิทธิ์ขาดตามคำสั่ง หรือผู้ซึ่งยังมิได้รับหนังสือเช่นนั้น ก็ให้ได้รับประโยชน์โดยอนุรูป ตามหนังสือที่ได้ทำไว้แล้วบ้างนั้น ขออย่าให้ต้องชักถอนเก็บคืนให้ผิดจากความประสงค์ มุ่งหมายซึ่งได้สั่งไว้แล้ว และมีความปรารถนาอันข้าพเจ้าขอให้ท่านผู้ที่ได้ออกชื่อมาข้างต้นได้พิจารณาโดยความเมตตากรุณาด้วยเถิด

2. บรรดาทรัพย์สมบัติซึ่งเป็นที่แผ่นดิน ตึก เรือนโรง หรือส่วนผลประโยชน์อันใดอันหนึ่งซึ่ง ข้าพเจ้าได้ยกให้แก่บุตรภรรยา ย่อมมีหนังสือเป็นสลักสำคัญมอบให้ หรือถ้าไม่เป็นหนังสือของข้าพเจ้าเอง ก็มีตั๋วสําคัญ เช่น แชร์รถไฟปากน้ำ เป็นต้น มอบให้อยู่ในมือผู้ซึ่งได้รับเป็นเจ้าของประโยชน์นั้นๆ ทุกอย่างแล้ว แต่ในเวลานี้เจ้าของประโยชน์เหล่านั้น เป็นผู้หญิงบ้าง เป็นเด็กบ้าง ไม่สามารถจะทำธุระด้วยตนเองได้ จึงได้รวบรวมมามอบให้เจ้าพนักงานพระคลังข้างที่และผู้อื่นบ้างเป็นผู้สำหรับเก็บผลประโยชน์ให้แก่เจ้าของ

แต่ก่อนมา ถ้าเวลาจะมอบประโยชน์อย่างนี้ให้เจ้าพนักงานหรือผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้เก็บ ข้าพเจ้าเคยทำหนังสือเป็นคำสั่งฉบับ 1 มอบให้ผู้นั้นเก็บผลประโยชน์ส่งตลอด ความประสงค์ของข้าพเจ้า หรือความประสงค์ของเจ้าของผลประโยชน์นั้น อย่าให้ว่าเป็นหน้าที่ของตัวจนตลอด ไม่มีเวลาชักถอนเปลี่ยนแปลงได้ แต่หนังสือเช่นนี้ก็ได้ทำมาบ้าง ไม่ได้ทำบ้าง เป็นการลักลั่นเพราะมีการอื่นๆ บ้าง เพราะความไว้ใจกันและกันบ้าง สืบไปภายหน้าขออย่าให้ถือเอาหนังสือคำสั่งของข้าพเจ้าเช่นนี้ ว่าเป็นแต่เฉพาะรายนั้นๆ ซึ่งจะต้องคืน รายอื่นซึ่งไม่มีหนังสือเช่นนั้นควรจะยึดไว้ได้

ขอให้ถือว่าบรรดาผลประโยชน์ อันใดอันเกิดจากที่ดินหรือตึกเรือนโรง และหนังสือสำคัญทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าได้มอบให้แก่ตัวผู้ใดผู้หนึ่งไป ผู้นั้นย่อมเป็นเจ้าของสิทธิ์ขาด ถ้าจะสมัครให้เจ้าพนักงานหรือผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้เก็บผลประโยชน์ในที่นั้นตลอดไปเพียงใดก็ได้ ถ้าผู้ซึ่งเป็นเจ้าของผลประโยชน์นั้นมีอายุสมควร หรือมีผู้ที่ไว้เนื้อเชื่อใจจะขอซักถอนไปเก็บเอง หรือให้ผู้ใดเก็บเวลาได้ ขอให้เจ้าพนักงานมอบการทั้งปวงนั้นให้แก่เจ้าของผู้ที่ได้รับอนุญาตจากข้าพเจ้านั้น ไปเก็บผลประโยชน์ของตัวเอง หรือให้ผู้ใดเก็บตามปรารถนา อย่าให้ต้องยึดหน่วงไว้โดยเหตุอันกล่าวแล้วข้างต้น หรือโดยเหตุอื่นๆ อย่างหนึ่งอย่างใดเลย

3. บรรดาผู้ซึ่งเป็นเจ้าจอมอยู่งานตามที่ข้าพเจ้าทราบแต่แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมาก็ดี แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาก็ดี แผ่นดินปัจจุบันนี้ก็ดี ถ้าผลัดแผ่นดินใหม่ผู้นั้นจะสมัครทำราชการอยู่ก็ดี หรือไม่สมัครทำราชการ จะออกจากราชการไปก็ดี ย่อมเรียกคืนแต่สิ่งของซึ่งเป็นเครื่องยศบรรดาศักดิ์สำหรับเจ้าจอม แต่สิ่งที่พระราชทานนอกนั้นหาได้เรียกคืนไม่ ผู้นั้นย่อมถือเป็นของพระราชทานสิทธิ์ขาดติดตัวไป ของพระราชทานเช่นนี้ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีน้อย ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีมากขึ้น ในแผ่นดินปัจจุบันนี้มีมากขึ้นไปกว่าแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นแต่น้อยตัวลง

เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตมีผู้ริอ่านที่จะเรียกของเหล่านี้คืน ข้าพเจ้าได้ตัดรอนห้ามปรามเสีย ในบัดนี้ถ้าหากว่าข้าพเจ้าตายไปแล้ว เจ้าจอมที่มีลูกก็ดี มิได้มีลูกก็ดี สิ่งของที่ข้าพเจ้าได้ยกให้นอกจากเครื่องยศ บรรดาศักดิ์สำหรับเจ้าจอม ขออย่าให้ต้องเรียกคืนเลย ให้เป็นไปเหมือนอย่างแบบที่ล่วงมาแล้วทั้ง 2 รัชกาลโน้น การซึ่งกล่าวเช่นนี้ ใช่จะกล่าวโดยความมัวเมา เชื่อถือคนเหล่านั้นว่าจะมีความซื่อตรงจงรักภักดีต่อข้าพเจ้าจนกลายเป็นกระดูกไปแล้วเช่นนั้นก็หาไม่

กล่าวไว้เพราะมีความเมตากรุณา เพราะเห็นว่าเขาต้องมาอยู่กักขังป่วยการเวลา หรือมีร่างกายอันเศร้าหมองไปไม่มากก็น้อย เพราะตัวข้าพเจ้าจึงขอให้ได้รับประโยชน์ ซึ่งข้าพเจ้ายกให้ ถึงเขาจะทำราชการก็ดี ออกจากราชการไปก็ดี ขอให้ได้รับผลประโยชน์ทั้งหลายนั้น เป็นการแลกเปลี่ยนที่ได้เสียเวลาแลเศร้าหมองในร่างกายของเขาเป็นทรัพย์สมบัติของตัวเขาสืบไป อย่าให้เป็นเช่นเมื่อเจ้านายบางราย เมียขุนนางบางราย ตามแบบเก่าซึ่งเวลาจะไปแล้ว เรียกสิ่งของที่ให้แล้วคืนทั้งสิ้น อันข้าพเจ้ามีความชิงชังอย่างยิ่งนั้นเถิด

หนังสือฉบับนี้ได้ทำต่อหน้าท่านทั้งหลายซึ่งนั่งอยู่ในที่นี้ ได้เห็นชัดอยู่ว่าข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ดี ได้เขียนหนังสือนี้โดยความประสงค์ขั้นแท้จริง ควรจะเป็นที่เชื่อฟังได้ เพื่อจะให้เป็นพยานในคำสั่งอันนี้ให้แน่นอน จึงได้ลงชื่อด้วยลายมือไว้เป็นสําคัญ มอบให้กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิธาดา เสนาบดีกระทรวงมุรธาธรรักษาไว้เป็นกลางฉบับ 1 เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงษ์ เสนาบดีกรมพระคลังมหาสมบัติรักษาไว้ฉบับ 1 พระองค์เจ้าไชยันตมงคล แทนเสนาบดีกระทรวงวังรักษาไว้ฉบับ 1 กรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ อธิบดีกรมพระคลังข้างที่รักษาไว้ฉบับ 1

ถ้าท่านทั้งหลายผู้ได้รักษาหนังสือนี้ไว้ หรือผู้ที่จะรับตําแหน่งทั้งหลายนี้สืบต่อไปเห็นควรเวลาที่จะพูดเมื่อใด ขอให้นำหนังสือนี้ถวายผู้ซึ่งจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินสืบไปภายหน้า หรือผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งจะเป็นประธานในราชการแลเสนาบดีสภาตามสมควรแก่เวลาซึ่งต้องการหนังสือนี้ได้ทําไว้แต่

วันที่ 30 เมษายน รัตนโกสินทร์ศก 112

(พระบรมนามาภิไธย)

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 11 กรกฎาคม 2562