ผู้เขียน | โชติกา นุ่นชู |
---|---|
เผยแพร่ |
หากพูดถึงพระภิกษุสงฆ์ในดินแดนล้านนา ที่ถูกกล่าวขานและได้รับศรัทธาจากพุทธศาสนิกชนมากที่สุดรูปหนึ่ง เห็นจะเป็น ครูบาศรีวิชัย หรือ พระศรีวิชัยชนะภิกษุ พระมหาเถระซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สร้างถนนขึ้นพระบรมธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2477 จนได้รับการขนานนามว่า “เจ้าตนบุญแห่งล้านนา” หมายถึง นักบุญแห่งล้านนา เป็นผู้ที่สร้างความเจริญรุ่งเรือง และสืบทอดพระพุทธศาสนาให้คงอยู่จวบจนถึงปัจจุบัน
ครูบาศรีวิชัยเดิมชื่อ “เฟือน” หรือ “อินท์เฟือน” บ้างเรียกท่านว่า “อ้ายฟ้าร้อง” เนื่องด้วยเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติผิดปกติ มีฝนตก ฟ้าร้อง ฝนฟ้าคะนอง หรือแผ่นดินไหว ขณะที่ท่านกำลังเกิด ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้ชื่อว่า “อ้ายฟ้าฮ้อง” หรือ “อินเฟือน”
ครูบาศรีวิชัยเกิดปีขาล เดือน 9 เหนือ (เดือน 7 ของภาคกลาง) ขึ้น 11 ค่ำ จ.ศ. 1240 พลบค่ำ ตรงกับวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 ที่บ้านปาง ตำบลแม่ตืน (ปัจจุบันคือ ตำบลศรีวิชัย) อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เป็นบุตรของนายควายกับนางอุสา มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน คือ นายไหว นางอ้วน นายอินท์เฟือน (ครูบาศรีวิชัย) นายแว่น และนายทา
ช่วงที่ครูบาศรีวิชัยยังเป็นฆราวาส ท่านเป็นผู้มีความเมตตาสูง คือชอบแอบนำปลาที่พ่อแม่หามาได้ไปปล่อย ในวัยเด็กท่านมีอุปนิสัยแตกต่างจากเด็กรุ่นเดียวกันที่ชอบเล่นสนุกสนานตามประสา ท่านชอบเล่นปั้นพระ ปั้นพระธาตุ-เจดีย์ และฝักใฝ่ทางธรรมตั้งแต่เด็ก เมื่อเข้าสู่เพศบรรพชิต ท่านเป็นพระที่มักน้อย สันโดษ ไม่แสวงหายศถาบรรดาศักดิ์ เป็นพระที่เน้นวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในป่าที่สงัด ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด ฉันอาหารเพียงมื้อเดียว และไม่ฉันอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์

ในเรื่องความขัดแย้งระหว่างครูบาศรีวิชัยกับรัฐสยามและองค์กรสงฆ์ส่วนกลาง อาจกล่าวได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในชีวประวัติของครูบาศรีวิชัย อย่างไรก็ตาม ผู้คนในปัจจุบันแทบจะไม่รับรู้เรื่องราวความขัดแย้งนี้ เนื่องจากความขัดแย้งของครูบาศรีวิชัย เป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจกันระหว่างระบบเก่ากับระบบใหม่ และความขัดแย้งนั้นก็จบลงด้วยพระเมตตาของสมเด็จพระสังฆราชในยุคนั้น หรือมองว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องความไม่พอใจส่วนตัวของพระสงฆ์ในท้องถิ่นกับครูบาศรีวิชัย และได้หยิบยืมอำนาจที่ได้รับจากรัฐเพื่อใช้จัดการกับครูบาศรีวิชัย
หรือกระทั่งลดทอนความสำคัญลงให้กลายเป็นเพียงเรื่อง “มารผจญ” เพื่อทดสอบบารมีของครูบาศรีวิชัย จนเป็นที่มาของวลีสำคัญที่ว่า “มารบ่มี ป๋ารมีบ่เกิด” ในการต่อสู้ของครูบาศรีวิชัยกับรัฐส่วนกลางเป็นการรักษาธรรมเนียมพุทธศาสนาแบบจารีตล้านนาอย่างเคร่งครัด จนทำให้ครูบาศรีวิชัยกลายเป็นสัญลักษณ์ของพุทธจารีตล้านนาและเป็นผู้อนุรักษ์ความเป็นล้านนา
งานก่อสร้างและการบูรณะพุทธสถานถือเป็นภาพลักษณ์หลักของครูบาศรีวิชัย กล่าวคือ ท่านได้เดินทางไปบูรณะก่อสร้างสถานที่แต่ละแห่งให้มีความยิ่งใหญ่ และมีความสำคัญ เช่น การสร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพระยะทางกว่า 11 กิโลเมตร ใช้เวลาเพียง 5 เดือนเศษ ซึ่งมีผู้คนทั่วภาคเหนือเดินทางมาช่วยสร้าง โดยไม่ใช้งบประมาณจากรัฐบาลแม้แต่บาทเดียว อีกทั้งยังสัมพันธ์กับเรื่องการแสดงบารมี ความศักดิ์สิทธิ์ และอภินิหารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการก่อสร้างหรือบูรณะสถานที่ต่าง ๆ

นอกจากนี้ ครูบาศรีวิชัยยังเป็นนักพัฒนาผู้มุ่งเน้นเรื่องการก่อสร้างบูรณะ อย่างการผายเบี้ยเสี่ยงทายเพื่อกำหนดวันและเวลาในการก่อสร้าง อาจกล่าวได้ว่าเรื่องราวของบารมี ความศักดิ์สิทธ์ และอภินิหารได้เสริมให้ภาพลักษณ์ของครูบาศรีวิชัยกลายเป็นผู้วิเศษหรือเป็น “ตนบุญ”
จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นว่าครูบาศรีวิชัยเป็นตนบุญผู้มีบารมีสูง ไม่ว่าจะผูกโยงกับอภินิหารต่างๆ ตั้งแต่เกิดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ยังคงเป็นตนบุญผู้มีความเมตตาต่อสรรพสัตว์ มีความเคร่งครัดในวัตรปฏิบัติทางศาสนา และที่สำคัญที่สุดคือเป็นตนบุญผู้ให้ความสำคัญกับการทำนุบำรุงพุทธศาสนา โดยเฉพาะการก่อสร้างบูรณะพุทธสถานสำคัญต่างๆ จำนวนมากในภาคเหนือ
อ่านเพิ่มเติม :
- ครูบาศรีวิชัย : “เจ้าตนบุญแห่งล้านนา” กับความขัดแย้งในคณะสงฆ์
- “วัดเจดีย์หลวง” จ. เชียงใหม่ วัดกลางเมืองสำคัญที่ “ครูบาศรีวิชัย” ไม่เลือกบูรณะ
- 9 พฤศจิกายน 2477 ครูบาศรีวิชัยนั่งหนัก ในการสร้างถนนขึ้น “ดอยสุเทพ”
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
พุทธะ “ครูบาศรีวิชัย”
ณัฐพงศ์ ดวงแก้ว. (2562, มกราคม). “ครูบาคติใหม่ แต่งองค์ทรงเครื่อง พุทธศรัทธาหลังกึ่งพุทธกาล”. ศิลปวัฒนธรรม. หน้า 44-47
แก้ไขเพิ่มเติมในระบบออนไลน์ เมื่อ 11 มิถุนายน 2563