รัชกาลที่ 5 รับสั่ง“ฉันไม่เธอแพ้แล้ว”เมื่อทรงมี”ลูกสาวสวย”ไม่แพ้กรมหลวงพิชิตปรีชากร

พระราชธิดาชั้นเจ้าฟ้าในรัชกาลที่ 5 ประทับจากซ้าย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทราสรัทวาร กรมขุนพิจิตรเจษฎ์จันทร์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เอ เจ้าฟ้านิภานภดล กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เอ เจ้าฟ้าเยาวมาลย์นฤมล กรมขุนสวรรคโลกลักษณวดี, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เอ เจ้าฟ้ามาลินีนพดารา กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร ประทับยืน สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร (ภาพจาก “ราชพัสตราภรณ์”)

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับกรมหลวงพิชิตปรีชากร (พระองค์เจ้าคัคณางคยุคล) พระเจ้าน้องยาเธอที่โปรดปรานยิ่งพระองค์หนึ่ง มีเรื่องที่พระเชษฐาและพระอนุชาคู่นี้ทรงแข่งขันกันจนเกิดมีการแพ้ชนะกันขึ้นนั้น คือ “การมีลูกสาวสวย”

หม่อมเจ้าหญิงอาภาพรรณี

ทั้งนี้เพราะกรมหลวงพิชิตปรีชากรมีพระธิดาพระองค์หนึ่งเกิดแต่หม่อมสุ่น พระนามว่า “หม่อมเจ้าหญิงอาภาพรรณี”  เป็นที่เล่าลือกันว่าพระธิดาของกรมหลวงพิชิตปรีชากรพระองค์นี้ งดงามน่ารักนักหนา เป็นความภูมิพระทัยของพระบิดายิ่งนัก ขณะนั้นแม้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะมีพระราชธิดามาแล้วถึง 11 พระองค์ แต่ก็ยังไม่มีพระราชธิดาพระองค์ใดที่จะทำให้ทรงออกพระโอษฐ์ประโยคนี้ได้

จนเวลาล่วงไปอีก 3 ปี ในวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2420 พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี ก็มีพระประสูติกาลพระราชธิดาพระองค์หนึ่ง เล่ากันว่า พระราชกุมารีพระองค์นี้เมื่อแรกประสูติ มีพระฉวีขาวผุดผ่อง พระพักตร์จิ้มลิ้ม น่ารักปราศจากไฝฝ้าตำหนิใดๆ ทั้งสิ้น ยิ่งเจริญพระชันษาก็ยิ่งทรงพระสิริโฉมงดงามเป็นทวีคูณ โปรดพระราชทานนามพระราชธิดาพระองค์นี้ว่า “สมเด็จเจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ สุขุมขัตติยกัลยาวดี” (ภายหลังโปรดสถาปนาเป็นกรมหลวงศรีรัตนโกสินทร)

สมเด็จเจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ สุขุมขัตติยกัลยาวดี

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงภาคภูมิพระราชหฤทัย ในพระสิริโฉมและพระจริยวัตรอันงดงามของพระราชธิดาพระองค์นี้เป็นที่ยิ่ง ถึงแก่ทรงออกพระโอษฐ์กับพระอนุชาซึ่งมีพระธิดาที่มีความงามเป็นเลิศอยู่ก่อนแล้วว่า “ฉันไม่แพ้เธอแล้ว”

การที่ผู้เป็นบิดาจะชมลูกสาวของตนว่างดงามนักหนานั้น ก็น่าจะเป็นเพราะความงามของธิดานั้นโดดเด่นเหนือสตรีอื่นจนเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป พระสิริโฉมของเจ้าหญิงพระองค์นี้ก็ทรงเป็นเช่นที่ว่าอย่างแน่แท้ เพราะยิ่งทรงเจริญพระชันษาก็ยิ่งทรงงดงาม เล่ากันว่าเมื่อทรงโสกันต์นั้น ทรงเครื่องต้นเต็มตามพระราชประเพณี พระราชบิดาถึงกับทรงออกพระโฮษฐ์ว่า “ลูกพ่องามเหมือนเทวดา” อันเป็นเครื่องยืนยันถึงพระสิริโฉมอันงดงามเป็นเลิศของพระราชธิดาพระองค์นี้อย่างแจ่มชัด

พระชาตาชีวิตของทั้ง 2 พระขัตติยนารี ผู้ทรงสิริโฉมงดงามเป็นที่สุดในสมัยนั้น ก็เป็นไปตามครรลองของแต่ละพระองค์ และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของชาติ กล่าวคือ

สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงเป็นพระราชธิดาที่มีพระคุณสมบัติครบถ้วน คือ มีทั้งพระสิริโฉมและพระจริยวัตรอันงดงาม ตลอดจนพระปรีชาสามารถทั้งด้านงานของกุลสตรีและงานด้านหนังสือ ซึ่งทรงได้รับการถ่ายทอดมาจากพระราชชนนี ทรงเป็นที่สนิทเสน่หาและได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากสมเด็จพระบรมราชชนกให้ทรงรับใช้ใกล้ชิดพระองค์ ในตำแหน่งราชเลขานุการิณี แม้เมื่อมีพระชันษา 14-15 ปี ซึ่งตามพระราชประเพณีจะต้องทรงสะพัก และประทับอยู่แต่ในพระราชสำนักฝ่ายใน แต่สำหรับสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้ มีพระบรมราชานุญาตเป็นพิเศษให้อยู่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ต่อไปอีก 3 ปี จนพระชันษา 18 ปี จึงทรงสะพักตามพระราชประเพณีของเจ้านายฝ่ายใน

คงไม่มีมนุษย์ผู้ใดที่จะมีแต่ความสมบูรณ์พูนสุขหรือความโชคดีจนตลอดชีวิต ในพระชนมชีพของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้ก็เช่นกัน ท่ามกลางความสุขสมบูรณ์ก็ยังมีสิ่งร้าย นั่นคือพระพลานามัยของเจ้าฟ้าหญิงไม่สู้จะแข็งแรงนักด้วยพระโรคหืดเรื้อรัง ทำให้ประชวรบ่อยและสิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษาเพียง 46 ปี

ส่วนชีวิตของหม่อมเจ้าหญิงอาภาพรรณี ก็ทรงดำเนินไปตามครรลองแห่งพระองค์ คือความงดงามอันเป็นคุณสมบัติพิเศษของพระองค์เป็นที่ต้องพระทัยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ พระอนุชาพระองค์เล็กสุดของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และได้ทรงร่วมชีวิตกันสมพระประสงค์ มีพระโอรส 4 พระองค์ พระธิดา 1 พระองค์ พระธิดา 1 พระองค์นี้เอง ที่ทรงถ่ายทอดพระสิริโฉมอันงดงามจากพระมารดามาเป็นพระคุณสมบัติเด่นประจำพระองค์

สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี

พระธิดาพระองค์นี้คือ หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี เมื่อทรงพระเยาว์ได้เสด็จมาประทับอยู่ที่วังพญาไทกับสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และได้ทรงพบรักกับเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรรมราชา พระราชโอรสพระองค์เล็กของสมเด็จพระศรีพัชรินทร์ และได้อภิเษกสมรสกันสมพระทัยปรารถนา โดยที่ทั้ง 2 พระองค์มิได้ทรงคาดหมายมาก่อนว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงฐานะจากพระเจ้าน้องยาเธอและพระชายา มาเป็นพระราชาและพระราชินีของปวงชนชาวไทย และพระมารดาคือ หม่อมเจ้าหญิงอาภาพรรณี ทรงได้รับสถาปนาเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภาพรรณี

สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีเป็นพระธิดาพระองค์เดียวที่สืบทอดความงามจากพระมารดา และมิได้มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดา ปัจจุบันจึงไม่มีสายพระโลหิตของ 2 ขัตติยนารีผู้ทรงพระสิริโฉมงดงามเป็นที่ลือเลื่องกันในสมัยนั้นเหลืออยู่เลย คงอยู่แต่เสียงเล่าขานถึงขัตติยนารีทั้ง 2 พระองค์ อย่างชื่นชมมิรู้ลืม


ข้อมูลจาก

ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย. “ 2 ขัตติยนารีสยามสมัยรัชกาลที่ 5”, ศิลปวัฒนธรรม สิงหาคม 2552


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562