พระเขมรทำพิธี “ล่วงล้ำอวัยวะเพศ-เสพเมถุน” กับเด็กสาวพรหมจรรย์?

ภาพแกะสลัก ที่ ปราสาทพนมรุ้ง อาจเป็น พิธีเบิกพรหมจารี
ภาพแกะสลักที่ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง ซึ่งมีผู้สันนิษฐานว่าเป็นพิธีเบิกพรหมจารี แต่พิเศษเชื่อว่าเป็นการรักษาคนถูกงูกัดที่ภาพสลักปัจจุบันเหลือเพียงปลายเท้า ส่วนหญิงที่ยืนด้านหลังก็น่าจะเป็น "ผู้ดี" ที่มากับขบวนแห่ มากกว่า "สาวพรหมจรรย์"

ใน พ.ศ. 1838 โจวต้ากวาน ทูตจีนแห่งราชสำนักหยวนได้เดินทางมายัง เขมร เพื่อเกลี้ยกล่อมให้อาณาจักรเขมรยอมสวามิภักดิ์ ระหว่างนั้นเขาได้ใช้เวลากว่า 1 ปี ในดินแดนอุษาคเนย์ และได้บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ รวมถึงวิถีชีวิตของชาวเขมร เรื่องหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขานถึงมากในบันทึกของเขา คือ “พิธีเบิกพรหมจารี” ที่เขาเรียกว่า “เจวิ้นถาน”

เรื่องนี้ได้มีผู้แปลเอาไว้ได้ความว่า ลูกสาวของผู้มีฐานะเมื่ออายุได้ 7 ถึง 9 ขวบ จะต้องให้ “ภิกษุ” หรือ “ดาบส” ทำพิธีทำลายพรหมจารี ซึ่งครอบครัวของเด็กสาวต้องจองตัวพระ หรือดาบสล่วงหน้า โดยนักบวชเหล่านี้จะทำพิธีทำลายพรหมจารีได้เพียงปีละครั้ง และค่าธรรมเนียมบุญก็สูงตามฐานะ เช่น ถ้าเป็นขุนนาง คหบดี ก็ต้องถวายเหล้า ข้าวสาร ผ้าแพร หมาก และเครื่องเงินหนักเป็นร้อยหาบ หรือ 2-3 ร้อยตำลึงจีน ส่วนที่ฐานะต่ำลงมาก็อาจต้องจ่ายเป็นเงินหลักสิบหาบลดหลั่นกันลงมา ส่วนคนยากคนจนก็อาจต้องรอให้ลูกโตถึง 11 ขวบจึงจะได้ทำพิธี โดยอาศัยเงินทำบุญจากผู้มีฐานะ

“ข้าพเจ้าได้ยินว่าเมื่อถึงเวลาพระภิกษุและเด็กหญิงก็เข้าไปในห้อง พระภิกษุใช้มือทำลายพรหมจารีนั้นใส่ลงในเหล้า เขายังเล่ากันอีกว่า บิดามารดาญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านต่างแต้มเหล้านั้นที่หน้าผากของตนทุกคน บางคนก็ว่าทุกคนใช้ปากชิมดู บ้างก็ว่าพระภิกษุประกอบเมถุนธรรมกับเด็กหญิง บ้างก็ว่าไม่เป็นความจริงดังว่านั้นเลย โดยเหตุที่เขาไม่ยอมให้คนจีนรู้เห็น ข้าพเจ้าจึงไม่ทราบเรื่องที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร” โจวต้ากวานกล่าว

ทูตจีนยังอ้างว่า ชาวเขมรมิได้ใส่ใจเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการสมรส โดยกล่าวว่า “…เกี่ยวกับการมีสามีและการมีภรรยา แม้จะมีประเพณีรับผ้าไหว้ ก็เป็นเพียงแต่การกระทำลวกๆ พอเป็นพิธี หญิงชายส่วนมากได้เสียกันมาแล้วจึงได้แต่งงาน ตามขนบธรรมเนียมประเพณีของเขาไม่ถือเป็นสิ่งที่น่าละอายและก็ไม่ถือเป็นเรื่องประหลาดด้วย”

ในส่วนที่ทูตจีนกล่าวถึงพิธีเบิกพรหมจรรย์นั้น เห็นได้ว่า ตัวเขาเองมิได้เป็นประจักษ์พยานในพิธี เพียงแต่บอกต่อในสิ่งที่ตนรับฟังมา ซึ่งก็มีข้อมูลที่ขัดแย้งกัน เขาจึงออกตัวว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบเรื่องที่แท้จริงเป็นอย่างไร”

แต่! ในไทยได้มีผู้นำคำบอกเล่าเกี่ยวกับพิธีดังกล่าวของโจวต้ากวานไปเชื่อมโยงกับภาพสลักบน ปราสาทพนมรุ้ง ว่าเป็น “พิธีเบิกพรหมจรรย์” ตามที่ทูตชาวจีนกล่าวถึง หลังมีการพบศิวลึงค์ขนาดเล็กจำนวนหนึ่ง ซึ่งเท่ากับว่าผู้สันนิษฐานเชื่อแล้วว่า พิธีดังกล่าวมีอยู่จริง แม้ว่าโจวต้ากวานเองยังไม่กล้ายืนยันก็ตาม!

ภาพแกะสลัก ที่ ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง สันนิษฐาน ว่าเป็น พิธีเบิกพรหมจารี
ภาพแกะสลักที่ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง ซึ่งมีผู้สันนิษฐานว่าเป็น พิธีเบิกพรหมจารี แต่พิเศษเชื่อว่าเป็นการรักษาคนถูกงูกัดที่ภาพสลักปัจจุบันเหลือเพียงปลายเท้า ส่วนหญิงที่ยืนด้านหลังก็น่าจะเป็น “ผู้ดี” ที่มากับขบวนแห่ มากกว่า “สาวพรหมจรรย์”

เรื่องนี้ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถาน เคยอธิบายไว้นานแล้วว่า ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะผู้เล่าเรื่องนี้อาจเล่าเชิงทีเล่นทีจริงให้กับพวก “ไม่รู้ภาษา” (มิงติงเทียซา) ฟัง ความที่โจวต้ากวนรับฟังมาจึงขัดแย้งกัน แต่เขาก็บันทึกตามที่ตนได้รับฟังมา

พิเศษ ชี้ว่า ภาพสลักบนปราสาทไม่เคยเห็นภาพที่สมบูรณ์ ภาพที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันก็เหลือเพียง “ฝ่าเท้า” ยากที่จะบอกเพศของบุคคลในภาพ หรือจะบอกได้ว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ และหากยังไม่ยอมสนใจคำบอกของโจวต้ากวานเองว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบเรื่องที่แท้จริงเป็นอย่างไร ถึงอย่างนั้น การสันนิษฐานว่าภาพดังกล่าวบนปราสาทเขาพนมรุ้งเป็นพิธีเบิกพรหมจรรย์ก็ยังมีข้อบกพร่อง

หนึ่งคือ เรื่องที่โจวต้ากวานเล่าอยู่คนละยุคกับปราสาทเขาพนมรุ้ง ห่างกันกว่า 200 ปี สองคือ โจวต้ากวานเล่าว่าพิธีดังกล่าวทำกันที่บ้านของเด็กหญิง การบอกว่าพิธีดังกล่าวทำในปราสาทเขาพนมรุ้งจึงขัดกันเอง และสาม โจวต้ากวานกล่าวว่า การประกอบพิธีจะทำกันในห้องสองต่อสอง แต่ในภาพสลักกลับมีผู้อื่นอยู่ร่วมด้วยหลายคน

พิเศษจึงยืนยันว่า ภาพดังกล่าวไม่ใช่พิธีเบิกพรหมจรรย์แน่ แต่น่าจะเป็นภาพที่ขบวนของนเรนทราทิตย์เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของอาณาจักรขอมขณะหยุดระหว่างทางเพื่อช่วยคนถูกงูกัด สังเกตได้จากภาพคนนั่งเหยียดเท้าที่ชำรุดจนเหลือแต่ส่วนเท้า และส่วนบนของภาพที่เป็นภาพธวัชฉัตรธง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาพขบวนแห่ในศิลปะขอมทั่วไป อันเป็นเหตุการณ์ที่สอดคล้องกับบันทึกใน “จารึกปราสาทหินพนมรุ้ง 9” ตอนหนึ่งว่า “…เขาไปพร้อมฝูงชนที่เป็นทั้งผู้ดีและไพร่ ยังคนหนึ่งซึ่งกำลังทำแพถูกงูกัด ได้รับความเจ็บปวดเพราะพิษอันร้ายแรงให้จากสระ แล้วรักษาโดยเวทย์มนตร์…เขาชื่อนเรนทราทิตย์ ซึ่งเป็นครูของไตรโลก…”

พิเศษอธิบายภาพว่า คนที่นั่งคุกเข่าอยู่คือผู้ให้การรักษา โดยในมือของเขาถือหินซึ่งมีคุณสมบัติในการรักษาพิษงู ส่วนสตรีที่ยืนอยู่ด้านหลังเป็น “ผู้ดี” ที่มากับขบวนของนเรนทราทิตย์ [ไม่ใช่สาวพรหมจรรย์] โดยพิเศษเชื่อว่า สตรีในภาพนี้เป็นสตรีคนเดียวกันกับที่ปรากฏในภาพอื่น ๆ บนปราสาทพนมรุ้ง นั่นคือมารดาของนเรนทราทิตย์ ที่น่าจะเสด็จมาประอยู่ ณ ปราสาทพนมรุ้ง เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ ข้อสันนิษฐานของผู้ที่เชื่อว่า “พิธีเบิกพรหมจรรย์” มีจริง และเป็นพิธีที่พระหรือดาบสเป็นผู้ทำลายพรหมจรรย์ของเด็กสาวเอง จึงเป็นเพียงคำบอกเล่าฝ่ายเดียวที่ผู้บอกเล่าไม่กล้ายืนยัน และไม่มีบันทึกอื่นใดที่สอดรับกับคำกล่าวอ้างดังกล่าว

การเชื่อมโยงว่าพิธีดังกล่าวถูกจารึกไว้บน ปราสาทพนมรุ้ง ก็มีหลายส่วนที่ขัดกันเอง จนไม่น่าเชื่อว่าพิธีดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่จารึกของปราสาทพนมรุ้งสื่อไปถึง และยังมีหลักฐานอื่น ๆ ที่ชี้ว่า ภาพดังกล่าวน่าจะเป็นภาพประกาศ แสดงถึงการสร้างกุศลของนเรนทราทิตย์ซึ่งเดินทางมาเป็นผู้ทรงศีลที่พนมรุ้ง เพื่อหลีกทางให้เชื้อพระวงศ์ท่านอื่นขึ้นครองราชย์

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ “บันทึกว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของเจินละ โดย เฉลิม ยงบุญเกิด แปลจากต้นฉบับภาษาจีนของโจวต้ากวาน

“เบิกพรหมจรรย์” UNSEEN ไทยแลนด์ ที่ปราสาทพนมรุ้ง โดย พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน 2546


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 26 กันยายน 2559