“นายแวง” ผู้อารักขากษัตริย์ ตำแหน่งสำคัญในกฎมนเทียรบาลและลานประหาร

สำเร็จโทษ ท่อนจันทน์ กฎมณเทียรบาล
ภาพสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ จินตนาการจากกฎมณเฑียรบาล โดย ธีรพันธ์ ลอไพบูลย์

“นายแวง” ผู้อารักขากษัตริย์ ตำแหน่งสำคัญในกฎมนเทียรบาลและลานประหาร

พระมหากษัตริย์ในหลายประเทศย่อมต้องมีราชองครักษ์ หรือทหารรักษาพระองค์ เพื่อคอยรักษาความปลอดภัยให้พระเจ้าแผ่นดิน ในสังคมไทยสมัยโบราณก็ปรากฏหน่วยงานที่ทำหน้าที่อารักขาพระเจ้าแผ่นดินอย่างชัดเจนมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา บุคลากรประเภทหนึ่งซึ่งรับหน้าที่ในกลุ่มงานอารักขาพระเจ้าแผ่นดินนี้มีชื่อ “นายแวง” รวมอยู่ด้วย

Advertisement

หลักฐานเก่าสุดที่กล่าวถึงทหารรักษาพระองค์น่าจะเป็น “กฎมณเทียรบาล” กฎหมายลักษณะหนึ่งในกฎหมายตราสามดวง ว่าด้วยระเบียบแบบแผนอันเกี่ยวเนื่องกับราชสำนัก สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเชื่อว่าตราขึ้นในแผ่นดินของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ในกฎมนเทียรบาลได้กล่าวถึงตำแหน่งหน้าที่ของทหารรักษาพระองค์ไว้หลายตำแหน่ง

ตำแหน่ง “นายแวง” เป็นอีกหนึ่งจุด ซึ่งถูกระบุบทบาทหน้าที่ไว้เหมือนทหารราชองครักษ์

คำว่า “แวง” เป็นคำเขมร แปลว่า เส้นตรง, แถว ส่วนในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตระบุว่าหมายถึง ยาว, แถว, ดาบ, ล้อมวง ซึ่งหน้าที่ของนายแวงในราชสำนักก็มักจะปรากฏคล้ายกับคำแปลดังกล่าว คือเข้าแถว ล้อมวง เพื่อรักษาความปลอดภัยในการเสด็จพระราชดำเนินไปยังที่ต่างๆ

ปรามินทร์ เครือทอง นักประวัติศาสตร์ และนักวิชาการอิสระ อธิบายถึงหน้าที่นายแวงไว้ในหนังสือ “สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์” ว่า นายแวงมีหน้าที่ตรวจตราความปลอดภัย เหมือนทหารราชองครักษ์ในขบวนเสด็จของพระเจ้าแผ่นดิน ทำหน้าที่ประสานงานกับเจ้าพนักงานฝ่ายอื่นๆ ตามแต่จะเสด็จฯ ไปในสถานที่ต่างๆ

หากเป็นการเสด็จฯ ในที่อันตราย นายแวงและเจ้าหน้าที่ต่างๆ จะต้องตรวจตราความปลอดภัย ไม่ให้มีบุคคลแปลกปลอม หรือสัตว์ร้ายแฝงอยู่ในที่เสด็จฯ เมื่อตรวจตราเรียบร้อยแล้วก็มีหน้าที่ยืนเฝ้ารับเสด็จฯ ตามตำแหน่งที่ระบุไว้ในกฎมนเทียรบาลมาตรา 30 ความว่า

“…. ถ้าเสด็จขึ้นเฃาแลเข้าถ้ำ ขึ้นปรางเข้าพระวิหาร ให้ขุนดาบเข้าค้นแล้วตรวจในเข้าค้นแล้วให้นายแวงค้นแล้วให้กันยุบาดค้นเล่าเปน 4 ถ่า จึ่งเชิญเสดจ์เมื่อเสดจ์ตำรวจในแนมสองข้างนายแวงถัด ขุนตำรวจขุนดาบอยู่แต่ข้างล่าง ครั้นเสดจ์ถึงใน ตำรวจในอยู่บานประตูข้างใน นายแวงอยู่บานประตูข้างนอก ขุนดาบอยู่เชิงบันใดเชิงเขา…”

ส่วนมาตรา 104 ในกฎมนเทียรบาล ได้บอกถึงหน้าที่นายแวงในฐานะเป็นผู้ถ่ายทอดพระราชโองการจากพระเจ้าแผ่นดินโดยตรง ความว่า

“อนึ่งท่านใช้ นายแวง นายมหาดไท บอกการงานแก่ลูกเจ้าเง่าขุนมุนนายสัพกำนัลแห่งใดๆ ก็ดี ให้เร่งรับถ้อยความทำการโดยพระราชโองการพระผู้เปนเจ้า ถ้าถ้อยความงานอันนายแวงนายมหาดไทสั่งนั้นหนักใจจะรับจะทำหมีได้ ก็ให้เร่งพิดทูลคืนพระราชโองการอันนายแวง นายมหาดไท สั่งนั้น…”

นอกจากหน้าที่ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น นายแวงยังได้รับหน้าที่เป็น “ผู้คุม” ในลานประหารอีกด้ว

นายแวงจะกำกับดูแลนักโทษสู่แดนประหาร อีกทั้งมีหน้าที่ระวังป้องกันผู้ตีชิงเอานักโทษระหว่างทาง หรือในแดนประหาร ดังจะเห็นได้จากกฎมนเทียรบาลมาตรามาตรา 175 ในกรณีเนรเทศพระราชโอรสไปจองจำยังต่างเมือง ได้กำหนดให้นายแวงเป็นผู้คุมและดูแลความเรียบร้อยดังนี้

“ถ้าโทษหนักที่หนึ่งนฤเทศไปต่างเมือง แลคือเมืองเพชบูรรณจันตบรรณนครศรีธรรมราช ส่งนายแวงหน้า 2 แวงหลัง 2 ดํารวจ ในถือกฏสั่งเรือในพิเนศ แลเรือขุนดาบแห่หน้าเรือชาววังตามหลัง หัวหมื่นองครักษนารายหลังตามไปส่งถึงที่ จึ่งนายแวงดํารวจในลงเรือหน้า แลเอากฎไปแก่เจ้าเมืองแลกรมการ…”

ทั้งนี้ การกุมตัวพระราชกุมารไปรับโทษนั้น นายแวงมีอำนาจสิทธิขาดในการจับกุมผู้มีพฤติกรรมต้องสงสัยได้ทันที โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการช่วยเหลือพระราชกุมารในทางใดทางหนึ่ง ไม่เว้นแม้แต่การส่งอาหารให้ เพราะโทษในมาตรา 175 นั้น เป็นโทษ “ขังในหลุม” กล่าวคือ ขุดหลุมใต้เรือน ปากหลุมมีประตูปิดใส่กุญแจ ถ้าโทษไม่หนักก็ให้จองจำอยู่ปากหลุมแทน ถ้าโทษถึงชีวิตก็ให้ใส่หลุมอดอาหารจนสิ้นพระชนม์ ซึ่งระหว่างนี้เองที่นายแวงจะต้องควบคุมดูแลให้การลงโทษเป็นไปตามพระราชอาญา

จากบทบาทและหน้าที่ของนายแวงในฐานะต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในกฎมนเทียรบาล กล่าวได้ว่า นายแวง เป็นตำแหน่งหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อย ปรามินทร์มองว่า นอกจากนายแวงจะได้เข้าเฝ้ารับใช้ใกล้ชิดพระมหากษัตริย์แล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในลานประหาร ความสำคัญของตำแหน่งนี้อยู่ถัดจากตำรวจในเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญภายใต้ขนบธรรมเนียมราชสำนัก

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

ปรามินทร์ เครือทอง. สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์. กรุงเทพฯ : มติชน, 2544


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2562