ป้ายหิน “สุสานบูเช็กเทียน” จักรพรรดินีหนึ่งเดียวของจีน ทำไมไร้อักษรจารึกสดุดี?

ป้ายหิน หน้า สุสานบูเช็กเทียน ของ บูเช็กเทียน จักรพรรดินี จีน
ป้ายหินหน้าสุสานบูเช็คเทียน (ภาพจาก www.sohu.com)

“บูเช็กเทียน” จักรพรรดินีหนึ่งเดียวของจีน แต่ทำไมป้ายหินด้านหน้า “สุสานบูเช็กเทียน” กลับไม่มีคำจารึกสดุดีสักตัวอักษร?

บูเช็คเทียน (ภาพจากhttps://zh.wikipedia.org)

บูเช็กเทียน (武则天) (พระราชสมภพ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 624 – สวรรคต 16 ธันวาคม ค.ศ. 705) คือจักรพรรดินีเพียงพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์จีน พระองค์เริ่มถวายตัวรับใช้ในวังด้วยการไต่เต้าจากตําแหน่งนางสนมชั้นตรี และก้าวขึ้นสู่ราชบัลลังก์ด้วยการสถาปนาราชวงศ์ต้าโจว (大周) เป็นผลสําเร็จในที่สุด (ระหว่าง ค.ศ. 690-705 เป็นยุคที่ราชวงศ์ถังเปลี่ยนชื่อเป็นต้าโจว)

หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ ภารกิจหลักที่พระองค์ปฏิบัติก็คือ คิดหาทางกําจัดขวากหนามในราชสํานัก ซึ่งตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายพระนาง นอกจากนี้ ยังทรงดําเนินนโยบายการบริหารประเทศได้อย่างเฉียบแหลมไปในขณะเดียวกัน

ตลอดระยะเวลาที่ทรงเรืองอํานาจ พสกนิกรทั่วทุกหย่อมหญ้าต่างอยู่เย็นเป็นสุข ทว่าเรื่องเล่าจากปากสู่ปากเกี่ยวกับความเป็นมาของพระองค์กลับเป็นที่กล่าวขานกันอย่างมากในหมู่ประชาชน แม้กระทั่งตอนที่พระองค์สวรรคต ยังสร้างป้ายสุสานไร้อักษรตั้งตระหง่านอยู่เคียงข้างสุสานของตน

ป้ายหินที่ “สุสานบูเช็กเทียน” นี้ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เหตุใดพระองค์จึงตัดสินใจไม่สลักอักษรใดๆ ลงไปเลย?

สุสานที่ฝังพระศพของ กษัตริย์ถังเกาจง ( 唐高宗) และบูเช็กเทียน ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของมหานครซีอาน หน้าหลุมพระศพมีป้ายศิลาอยู่ 2 ป้าย ซึ่งมีความสูง 6.3 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่

ป้ายศิลาด้านตะวันตก มีการสลักข้อความสดุดีคุณูปการที่กษัตริย์ถังเกาจงเคยสร้างไว้ เมื่อครั้งยังมีพระชนม์อยู่ มีชื่อว่า 述圣碑 (ซูเซิ่งเปย) คําจารึกเหล่านี้ได้จากการบอกเล่าของบูเช็กเทียน และถ่ายทอดผ่านฝีพระหัตถ์ในรูปแบบบทกวี 7 คำ ของรัชทายาทอย่างกษัตริย์ถังจงจง (唐中宗) มีความกว้าง 1.86 เมตร หนัก 81.6 ตัน

ส่วนป้ายศิลาทางด้านตะวันออก เป็นแท่นหินว่างเปล่า จึงมีชื่อเรียกว่า “无字碑 ” (อู๋จื้อเปย-แท่นหินไร้อักษร) ทว่ามีการสลักลวดลายมังกร 8 ตัว ซึ่งลําตัวพันไปมาอยู่บนส่วนยอดของตัวเสา ด้านบนของเสาสลักลวดลายฝูงม้าที่กําลังค้อมตัวลงดื่มน้ำ พร้อมด้วยภาพสลักกองกําลังทหารอันเกรียงไกร สลับกับลวดลายปุยเมฆ ถือเป็นงานแกะสลักที่มีความละเอียดอ่อนและประณีตมาก ทําให้ป้ายศิลาดังกล่าวกลายเป็นโบราณวัตถุซึ่งหาชมได้ยากในทุกยุคสมัย

ป้ายหินด้านหน้า “สุสานบูเช็กเทียน” (ภาพจากhttp://www.sohu.com)

ปัจจุบันผู้คนต่างเคลือบแคลงถึงสาเหตุของการที่ บูเช็กเทียน ปล่อยให้ป้ายศิลาหน้าสุสานว่างเปล่า โดยไม่ปรากฏอักษรใดๆ ทั้งนี้ มีข้อสันนิษฐานหลักๆ 3 ประการดังนี้ คือ

1. พระองค์ทรงคิดว่า คุณงามความดีที่ตนสร้างแก่บ้านเมืองขณะที่นั่งอยู่บนราชบัลลังก์ ถือว่ามากมายเหลือคณานับ ต่อให้ป้ายศิลามีขนาดใหญ่เพียงใดก็คงมีพื้นที่ไม่เพียงพอสําหรับการจดบันทึก

แม้ตนจะเป็นเพียงแค่อิสตรี แต่กลับมีความสามารถสูงกว่ากษัตริย์ถังเกาจงอย่างสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่พระองค์ครองราชย์ สังคมเกิดความสงบสุข อาณาประชาราษฎร์ต่างอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข สิ่งเหล่านี้ถือเป็นคุณูปการอันใหญ่หลวงซึ่งพระองค์ได้สั่งสมไว้ น่าเสียดายที่ประชาชนในยุคนั้นต่างรู้สึกต่อเหตุการณ์ในช่วงที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ในลักษณะเดียวกันว่า บูเช็กเทียนช่วงชิงบัลลังก์มาจากพระสวามี และถือเป็นพระสนมที่มีจิตใจเหี้ยมโหด จึงมองข้ามคุณงามความดีที่พระองค์ได้สร้างแก่บ้านเมือง

ดังนั้น การปล่อยแท่นศิลาจารึกว่างเปล่า จึงถือเป็นการเปิดรับความคิดเห็นในเรื่องคุณงามความดีของพระองค์ที่สร้างไว้ เพื่อชนรุ่นหลังสามารถนำมาถกเถียงกันต่อไป

2. เนื่องจากรู้ว่าตนเองเคยก่อกรรมทําเข็ญไว้มาก การสร้างป้ายศิลาโดยสลักข้อความสดุดีความดีของตน อาจตกเป็นเป้าครหาของประชาชน ดังนั้น จึงทรงตระหนักดีว่า การไม่สลักคุณูปการของตนจะเป็นผลดีมากกว่า

3. เหตุที่ไม่สลักอักษรใดๆ ลงบนป้ายศิลาด้านหน้า เป็นเพราะอยากให้ชนรุ่นหลังได้มีโอกาสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความดี-ความชั่วที่พระองค์ได้กระทําขณะยังมีชีวิตอยู่ ข้อสันนิษฐานนี้แตกต่างจากข้อที่แล้วอย่างสิ้นเชิงเพราะบูเช็กเทียนรู้สึกภาคภูมิใจในความสําเร็จเรื่องการบริหารบ้านเมืองของตนเป็นอย่างมาก

การใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่ผู้หญิงแทบจะไม่มีความสําคัญใดๆ เลยในยุคนั้น แต่พระองค์กลับสามารถก้าวขึ้นมามีบทบาทอยู่ในแวดวงการเมืองของประเทศ และสามารถกุมอํานาจบริหารสูงสุดไว้ในกํามือ การไม่สลักอักษรใดๆ ลงบนแท่นหิน คงเป็นเพราะพระองค์ทรงต้องการให้ชนรุ่นหลังได้แสดงความคิดเห็นต่อตัวผลงานที่ทรงกระทํามาตลอดพระชนม์ชีพมากกว่า

ข้อสันนิษฐานข้างต้นต่างก็มีเหตุผลที่ชวนคิดทั้งสิ้น ทว่าตราบจนทุกวันนี้ก็ยังหาข้อสรุปเกี่ยวกับสาเหตุของการปล่อยให้ป้ายศิลาหน้าสุสานของพระองค์ว่างเปล่าโดยปราศจากตัวอักษรมิได้

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ นับจากสมัยราชวงศ์ซ่ง (宋朝 ราว ค.ศ. 960-1279) และอาณาจักรจิน (金国 ราว ค.ศ. 1234) เป็นต้นมา ผู้คนเริ่มสลักตัวอักษรลงบนแท่นศิลาดังกล่าว นับรวมได้ 13 ข้อความ

ที่น่าแปลกก็คือ ส่วนหนึ่งของภาษาที่ใช้ในการสลักเป็นภาษาของชนกลุ่มน้อย ยังไม่เคยมีใครสามารถอ่านและตีความหมายอักษรเหล่านี้ได้ เนื่องจากใน ค.ศ. 1134 พระเชษฐาของกษัตริย์จินไท่จง (金太宗) ได้สลักกฎมณเฑียรบาลด้วยอักษรของชาวจินลงบนเสา โดยมีอักษรฮันกํากับเป็นคําอธิบาย ทําให้ทราบว่าตัวอักษรบนแท่นหินไม่ใช่ตัวอักษรจีน

ตราบจนกระทั่งเมื่อศตวรรษที่ 20 นักโบราณคดีก็พบอักษรในลักษณะเดียวกันที่ชุมชนปาหลิน (巴林) ในประเทศมองโกเลีย การค้นพบครั้งนี้ทำให้พบว่า อักษรบนแท่นศิลามีลักษณะเดียวกับอักษรของชนกลุ่มน้อยอย่างชี่ตาน (契丹) ซึ่งสถาปนาอาณาจักรเหลียว (辽国 ระหว่าง ค.ศ. 907-1125) บริเวณตอนเหนือของจีน อักษรของชนเผ่านี้ถือกําเนิดขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 920 ทว่า เป็นที่น่าเสียดายที่บ้านเมืองเกิดศึกสงครามจนทำให้ชนเผ่าชี่ตานมีอันต้องล่มสลายไปในท้ายที่สุด

เมื่อมาถึงสมัยราชวงศ์หยวน (元朝) แทบจะหาผู้อ่านตัวอักษรชี่ตานออกน้อยมาก ตราบจนกระทั่งราชวงศ์หมิง (明朝 ค.ศ. 1368-1644) ภาษาที่สลักอยู่บนแท่นศิลาจารึก ได้กลายเป็นภาษาตายตลอดกาล

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


ที่มา :

อาศรมสยาม-จีนวิทยา สมาคมปัญญาภิวัฒน์. พลิกม่านไม้ไผ่, ตถาตา พับลิเคชั่น 2549


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 30 มกราคม 2562