ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
ในชินบาชิ กรุงโตเกียว ประเทศ ญี่ปุ่น มีผู้หญิงที่ได้รับการขนานนามว่า “ผู้ดับรัศมีสาวงามในชินบาชิ” เธอคนนั้นคือ “นางอาชิดะ สุมิโกะ” บุตรสาวของพ่อค้าขายส่งเสื้อผ้าขนแกะและเส้นใยรายใหญ่ที่สุดในกรุงโตเกียว และเธอยังเป็นภรรยาของอาชิดะ ฮิโตชิ ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประเทศ ญี่ปุ่น
ก่อนจะพูดถึงสตรีโฉมงามเคียงข้างนักการเมืองดัง คงไม่อาจข้ามศูนย์กลางของเรื่องอย่างสามีได้ เขาคืออาชิดะ ฮิโตชิ เป็นบุตรชายของอาชิดะ ชิกะโนะสุเกะ สภาชิกสภาผู้แทนฯในกลางรัชสมัยเมอิจิ (1869-1912) ในวัยหนุ่มนั้นเขาเป็นคนรูปหล่อ บุคลิกสง่างาม เป็นคนมีเสน่ห์ อีกทั้งเป็นคนที่เฉลียวฉลาดมากคนหนึ่ง สมัยยังเรียนอยู่เขาสอบได้คะแนนสูงสุดของชั้น และสามารถสอบผ่านเข้าทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ ทำให้ได้ทำอาชีพเป็นนักการทูต ต่อมาอาชิดะ ถูกส่งไปยังประเทศรัสเซีย ซึ่งตอนนี้เองที่ทำให้เขาได้รู้จักกับนางสาวสุมิโกะ
สำหรับเรื่องราวของ สุมิโกะ นั้น อิมาอิ ฮิซาโอะ ผู้เขียนหนังสือ “15 สตรีหมายเลขหนึ่งแห่งแดนอาทิตย์อุทัย” เล่าว่า เธอมีพื้นเพอยู่ที่โตเกียวมาแต่กำเนิด เป็นลูกสาวคนเดียวในครอบครัวที่ทำกิจการขายส่งเสื้อผ้าขนแกะและเส้นใยรายใหญ่อันดับต้นในโตเกียว
ความงามอันสร้างปัญหา
ในวัยเด็กตอนที่เธอเรียนอยู่ชั้นประถมและมัธยมนั้นเป็นดาวประจำห้อง ไม่ว่าจะแต่งชุดกิโมโนหรือชุดตะวันตกก็สวยงามน่ารักเสมอ สุมิโกะเป็นคนหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าอายุจะมากขึ้น แต่ความชราก็ไม่สามารถพรากความงามไปได้ ทั้งบุคลิกก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความสง่างามจากวัยสาว กิริยาท่าทางของเธอยังดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้เหมือนในอดีต ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกผู้คนที่เดินสวนทางกับเธอก็อดไม่ได้ที่จะหันมามอง และมักนึกในใจว่า “อายุมากแล้วยังสวยสง่าเช่นนี้ ตอนเป็นสาวจะน่ารักสักเพียงไหน”
เมื่อเติบโตขึ้นเป็นสาวเต็มตัว สุมิโกะวนเวียนอยู่ในสังคมชั้นสูงที่กรุงปารีส ความงามของเธอเป็นที่กล่าวขวัญกันมากในหมู่นักการเมืองและนักการทูต ทำให้นายกฯ ฝรั่งเศสอดชื่นชมไม่ได้ “ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ยังมีผู้หญิงที่สวยถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ทว่าความงามกลับสร้างปัญหาให้ตัวเธอตั้งแต่วัยรุ่น เมื่อเธอถูกบังคับให้ออกจากโรงเรียน ทั้งๆที่ ไม่ได้กระทำผิดอะไรเลย เหตุเพราะความงามทำให้หนุ่ม ๆ ในโรงเรียนมาออกันแน่นอยู่ที่หน้าโรงเรียน และพากันส่งเสียงตะโกนว่า “สุมิจัง สุมิจัง” ดังก้องไปทั่วบริเวณ
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุให้ทางโรงเรียนเดือดร้อนมาก แม้ว่าทางโรงเรียนจะเรียกสุมิโกะไปตักเตือนว่าไม่ให้โปรยเสน่ห์หรือยุ่งเกี่ยวกับหนุ่ม ๆ เหล่านั้น แต่ไม่ว่าสุมิโกะจะวางตัวอย่างไรก็ไม่สามารถยับยั้งความคลั่งไคล้ของพวกหนุ่ม ๆ ได้ สถานการณ์เช่นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น “สุมิโกะฟีเวอร์” เลยก็ว่าได้
อาชิดะ ก็เป็นอีกรายที่โคจรมาพบกับสุมิโกะ ได้ทำความรู้จัก ชอบพอกัน และเป็นสามีภรรยากัน แต่ไม่ได้ลงเอยกันโดยง่าย
อิมาอิ ฮิซาโอะ เล่าว่า ตอนที่ทั้งสองคนบอกรักกันนั้น ทั้งคู่ต่างมีคู่หมั้นที่บิดามารดาทั้งสองฝ่ายกำหนดไว้ให้แล้ว การแหวกม่านประเพณีในสมัยนั้นย่อมทำให้ถูกมองว่าเป็นความอกตัญญู ทั้งคู่ละทิ้งข้อกำหนดทางสังคม ไปจนถึงคุณธรรมตามครรลองของสังคมสมัยนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องหลีกหนีไปครองรักในมุมหนึ่งของสังคมโดยไม่ข้องเกี่ยวกับโลกภายนอก แต่คู่นี้ไม่ได้ทำเช่นนั้น และยังวนเวียนอยู่ในสังคมชนชั้นสูง แม้ผู้คนแวดล้อมจะไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อาชิดะ สมรสที่โตเกียว และพาสุมิโกะไปที่รัสเซีย
เมื่อหมดวาระ อาชิดะ ถูกย้ายไปที่ฝรั่งเศส ตุรกี และเบลเยียม ตามลำดับ โดยทุกที่ที่เขาปฏิบัติงานก็พาสุมิโกะไปด้วย
หลังจากแต่งงานกันแล้ว ความงามของภรรยายังได้สร้างปัญหาให้กับหน้าที่การงานของผู้เป็นสามี กล่าวคือ ไม่ว่าอาชิดะจะปฏิบัติหน้าที่ใดก็จะถูกผู้คนเขม่น อีกทั้งไม่มีใครอยากเข้าใกล้เขาเท่าใดนัก เหตุเพราะภรรยาของเขามีหน้าตาที่สวยงามเกินไป จึงนำปัญหามาให้มากมาย และทุกครั้งที่อาชิดะพาสุมิโกะไปงานรับรองที่สถานทูตจัดขึ้น เธอก็จะได้รับความสนใจเป็นอันมากจากแขกในงาน ผู้คนต่างพากันทำความรู้จักกับเธอเหมือนเป็นราชินีของงานเลี้ยงนั้นไปโดยปริยาย
ช่วงที่อาชิดะ ทำงานที่กรุงปารีส เขาก็ผ่านสถานการณ์เจรจาสงบศึกสงครามโลกครั้งที่ 1 ในฐานะนักการทูตเขามีโอกาสเข้าร่วมประชุมด้วย แต่ไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก สร้างความผิดหวังให้กับเขาพอสมควร
สุมิโกะจึงกลายเป็นผู้หญิงที่ภรรยาทูตญี่ปุ่น หรือภรรยาของเพื่อนๆนักการทูตต่างพากันอิจฉาริษยา เกลียดชัง อาจกล่าวได้ว่ายิ่งสุมิโกะได้รับความสนใจมากเท่าไร ย่อมสร้างปัญหาให้กับอาชิดะมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อสามีเล่นการเมือง
ต่อมาเมื่ออาชิดะเปลี่ยนเส้นทางอาชีพจากนักการทูตสู่การเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว ทำให้สุมิโกะมีความเป็นอยู่ไม่สู้ดีนัก แม้เธอจะแต่งตัวอย่างเรียบง่าย ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอาภรณ์คุณภาพดีหรือสวมแหวนเพชรบนนิ้วอันเรียวงาม แต่ก็ยังคงมีบุคลิกที่สง่างาม และเป็นคนสวยมีเสน่ห์อยู่นั่นเอง
สำหรับอาชิดะ เขาไม่เคยคิดว่าความงามของภรรยาเป็นตัวปัญหาแต่อย่างใด แต่สุมิโกะเป็นทั้งความภาคภูมิใจ ขวัญใจ และเป็นเทพธิดาองค์เดียวใจของเขา
หากจะบอกว่าเส้นทางการเมืองของอาชิดะในช่วงท้ายไม่ค่อยราบรื่นนักก็ว่าได้ ถึงได้เป็นนายกฯ สมใจ แต่บริหารประเทศได้แค่ 7 เดือนก็ต้องลาออก เมื่อมีคดีความเข้าใจผิดเรื่องรับเงินบริจาค กับเรื่องรับสินบนมาปะปนกันในจังหวะเวลาที่ช่างสร้างปัญหาให้กับอาชิดะ แต่ช่วงท้ายเขาค่อนข้างมีความสุขกับชีวิตครอบครัว คู่สามีภรรยามีบุตร 1 คน และธิดา 3 คน
อ่านเพิ่มเติม :
อ้างอิง :
อิมาอิ ฮิซาโอะ. 15 สตรีหมายเลขหนึ่งแห่งแดนอาทิตย์อุทัย. แปลและเรียบเรียงโดย รศ.อาทร ฟุ้งธรรมสาร. กรุงเทพฯ : มติชน, 2555
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 11 มกราคม 2562